ตอนที่ 206 ข้ารู้
“ข้า…” ฟางเซินอ้าปากราวกับอยากกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากลับพูดไม่ออก เขาตัวสั่นเทา หัวใจของเขาเจ็บปวด ใบหน้าพลันขาวซีด มองฟางมู่ที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเด็กหนุ่มดิ้นรนเหมือนถึงขีดสุดแล้ว
“พี่…” หานชางจื่อมองฟางเซินพลางกล่าวเบาๆ แต่นางพูดได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเลือกอย่างไรนางก็ออกจากเผ่าบูรพาสงบและเป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว นางจะมาเลือกแทนฟางเซินมิได้
“ฟางเซิน เจ้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบ สิ่งที่เจ้าแบกรับคือโชคชะตาของเผ่าเรา…” จ้าวหมานบูรพาสงบกล่าวเรียบๆ
“ไม่ช้าก็เร็ว…ต้องมีวันนี้…” ฟางเซินมองบุตรชายของตัวเอง แววดิ้นรนในดวงตาค่อยๆ หายไปกลายเป็นความเด็ดขาด
“เกิดเป็นคนยากจะหลีกหนีความตาย…เขาเป็นบุตรชายของข้า…เขาไม่ควรเป็นบุตรชายของข้า…” ฟางเซินกล่าวพึมพำ
ซูหมิงเงียบ เขามองฟางมู่ข้างกาย มองใบหน้าสีม่วงอมดำของเขา ราวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย บางทีความเจ็บปวดนี้อาจเกิดเพียงแค่ร่างกาย ทว่าหากตอนนี้ฟางมู่ได้ยินคำพูดจากโลกภายนอก ความเจ็บปวดเพียงนั้นจะเกิดขึ้นกับจิตใจของเขา
เผชิญหน้ากับความเป็นและความตาย อำนาจการตัดสินใจอยู่ในกำมือของบิดาตัวเอง ควรจะเลือกอย่างไร จะล่วงเกินซือหม่าซิ่นและอุทิศตนช่วยรักษา หรือว่า…ไม่ช่วย
“เขายังมีจิตสำนึก ได้ยินการตัดสินใจของเจ้า” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า เขาเห็นหางตาของฟางมู่มีน้ำตาไหลมาหยดหนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย ยังไม่ทันไหลลงมาก็กลายเป็นผลึกน้ำแข็ง
ฟางเซินตัวสั่นเทามากขึ้น เขาเดินโซเซเข้าไปในเรือนพัก เข้าใกล้ฟางมู่ท่ามกลางความหนาวเยือก ชายร่างกำยำที่ดูไม่สูงวัย ยามนี้ใบหน้าเหมือนแก่ชราในพริบตา เขาตัวสั่นคุกเข่าลงข้างเตียง ใช้มือขวาลูบใบหน้าของฟางมู่โดยไม่สนใจความเย็นเยือก
“มู่เอ๋อร์ ข้าขอโทษ…ข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบก่อน จากนั้นถึงจะเป็นบิดาของเจ้า…ดังนั้นหลายปีมานี้ แม้ข้าจะรู้ถึงสาเหตุอาการบาดเจ็บของเจ้า ทว่าก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ แสร้งหาวิธีมารักษา ใช้มันเพื่อปิดบังสิ่งที่ข้ารู้…ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้าพยามพิสูจน์อะไรบางอย่างต่อหน้าข้า หัวใจของข้าจะเจ็บปวดเสมอ” ฟางเซินกล่าวพึมพำ บนใบหน้ามีน้ำตา
“ฟางเซิน ให้บุตรของเจ้าไปเองเถอะ พวกเรา….ช่วยเขาไม่ได้ และไม่สามารถช่วยได้…” จ้าวหมานบูรพาสงบถอนหายใจ สีหน้าสลับซับซ้อน
“ช่วยไม่ได้รึ ใช่ ข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบ…” ฟางเซินหัวเราะ ก่อนค่อยๆ หัวเราะเสียงดังขึ้น เพียงแต่ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกอย่างเห็นได้ชัด
“ก็เพราะข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบ ข้ารู้ทุกอย่างแต่กลับบอกเขาไม่ได้ กลับกัน ข้าจำต้องเสแสร้ง…ท่านโม่ ท่านบอกข้าทีว่าโอกาสช่วยฟางมู่มีกี่ส่วน?”
ดวงตาฟางเซินมีเส้นเลือดฝอย เขาหันหน้ามามองซูหมิง
ซูหมิงมองฟางเซินตรงหน้า นัยน์ตาแอบเป็นประกายเล็กน้อย
“ไม่มีความหวัง ส่วนเดียวก็ไม่ถึง” เขากล่าวอย่างเนิบนาบ
“ทว่าเพียงแค่ข้าลงมือ ต่อให้ไม่สำเร็จซือหม่าซิ่นก็จะสัมผัสได้ ดังนั้นเจ้าต้องคิดให้ดี” ซูหมิงไม่มองฟางเซินอีก เบนสายตาไปทางฟางมู่
‘ฟางมู่ ขอโทษที่ข้าไม่ได้บอกความจริงกับเขา ข้าอยากรู้นักว่าท่ามกลางทางเลือกแบบนี้ บิดาของเจ้าจะทำอย่างไร’ ซูหมิงขบคิดอย่างเงียบๆ ภาพนี้ทำให้เขานึกถึงตัวเอง
ใบหน้าฟางเซินไร้ซึ่งเลือดฝาด เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงเหม่อมองฟางมู่
“ฟางเซิน ท่านโม่ก็บอกแล้ว โอกาสช่วยฟางมู่น้อยยิ่งนัก เช่นนั้นตัดสินแบบนี้เถอะ!” จ้าวหมานบูรพาสงบแอบถอนหายใจยาว กล่าวเสียงหนักแน่น
หานชางจื่ออยู่นอกเรือนพัก ยามนี้ใบหน้างามไร้สีเลือด ยืนพิงผนังหินด้านข้างราวกับหมดแรง นัยน์ตาฉายแววเศร้าโศกมากขึ้น
ฟางเซินนิ่งเงียบ จนผ่านไปพักหนึ่งจึงค่อยๆ ยืนขึ้น หลับตาลงเพื่อปิดกั้นสายตาที่มองบุตรชาย เขายังคงตัวสั่นเทา หมุนตัวกลับ และค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างยากลำบาก
วินาทีที่เขาหมุนตัวกลับ เขามองไม่เห็นเลยว่าผลึกน้ำแข็งใต้ดวงตาของฟางมู่เพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
ใบหน้าของฟางเซินคล้ายแก่ชราลงในชั่วพริบตา เขาหันหลังให้ฟางมู่แล้วเดินจากไปทีละก้าว
เดินก้าวแรก หัวใจของเขาเหมือนแหลกสลาย ตรงหน้าเขาปรากฏภาพฟางมู่ในวัยเยาว์กำลังขี่คอของเขาอย่างมีความสุข ส่งเสียงหัวเราะด้วยความสดใสร่าเริง
‘ท่านพ่อ ท่านพ่อ….’
ฟางเซินน้ำตาไหลริน เดินก้าวที่สองไป แต่ช่วงที่เขาเหยียบก้าวที่สอง ฟางเซินพ่นลมหายใจยาวแล้วพลันหยุดชะงัก
“จ้าวหมาน” ฟางเซินกล่าวอย่างหนักแน่น
จ้าวหมานบูรพาสงบเงียบงัน ทว่าดวงตากลับเฉียบคม
“ข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบมาสิบเก้าปี ในสิบเก้าปีมานี้ข้าเป็นจ้าวเผ่าบูรพาสงบ มิใช่บิดาของฟางมู่…ทว่าวันนี้ ข้าจะทำหน้าที่บิดาเขา!
ข้าฟางเซิน ยินยอมออกจากเผ่าบูรพาสงบ ยินยอมคืนตำแหน่งจ้าวเผ่า! จากนี้ไป ข้ากับเผ่าบูรพาสงบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก หากฟางมู่รอดข้าจะพาเขาจากไป…หากฟางมู่เสีย ข้าจะปลิดชีพตัวเอง”
“เจ้าว่าอะไรนะ! แม้แต่ท่านโม่ยังไม่มั่นใจว่าจะช่วยได้ เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้เพื่อเด็กคนหนึ่งที่หมดหวังแล้ว!” นัยน์ตาจ้าวหมานเฉียบคมมากขึ้น
ฟางเซินเงยหน้ามองจ้าวหมานบูรพาสงบ สีหน้าเด็ดขาด
“ข้าเป็นบิดาของเขา!”
เมื่อซูหมิงได้ยินประโยคนี้ เขาพลันตัวสั่น มองฟางเซินแล้วมองฟางมู่ พลางถอนหายใจเบาๆ เขาเห็นจ้าวหมานบูรพาสงบเหมือนเกิดโทสะ จึงพลันสะบัดมือขวาไปทางฟางเซิน
การลงมือของเขากะทันหันยิ่งนัก ขณะสะบัดมือ รอบตัวฟางเซินเกิดกระแสไฟขึ้นจำนวนมาก หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ฟางเซินกระอักโลหิตกระเด็นออกไปนอกเรือนพัก ก่อนร่วงลงสู่พื้น เขาพยามดิ้นรนยืนขึ้น แต่กลับหมดสติท่ามกลางกระแสไฟวูบวาบรอบตัว
จากนั้นมีเสียงระฆังดังกังวานมาจากร่างกายของซูหมิง เสียงมิได้แผ่ขยายไปไกลมากนัก เพียงแค่สะท้อนอยู่ภายในเรือนพักหลังนี้ เมื่อจ้าวหมานบูรพาสงบได้ยินก็ตัวสั่นสะท้านทันใด ถอยหลังติดกันไปหลายสิบจั้งจึงค่อยหยุดลงทั้งใบหน้าซีดขาว
เขามองซูหมิงราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนมองฟางเซินที่หมดสติอย่างเงียบๆ แล้วจึงถอนหายใจยาว ยกมือขวาขึ้นแล้วตบไปยังหน้าอกตัวเอง เขากระอักโลหิตล้มลงกับพื้น
“ข้ามาแดนอรุณใต้ก็พบเจ้าเป็นคนแรก นั่นคือโชคชะตา…ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะแบกรับเรื่องของซือหม่าซิ่นเอง…เจ้ามีบิดาที่ดี”
ซูหมิงพลันวางมือขวาบนระหว่างคิ้วของฟางมู่ ช่วงที่วางมือลง ฟางมู่ตัวสั่นอย่างรุนแรง หิมะบนตัวเขาพลันมีสายฟ้าแลบแผ่ขยาย เกิดเสียงดังกึกๆ ก่อนแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทว่าขณะเดียวกับที่ชั้นหิมะแตกกระจาย มีไอหนาวเยือกแผ่มาจากร่างกายของฟางมู่อีกครั้ง เสมือนกำลังจะสร้างน้ำแข็งค้างขึ้นมาใหม่ แล้วกินพลังชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจนเขาสิ้นใจลง
ดวงตาซูหมิงเป็นประกายวูบไหว แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หิมะสร้างขึ้นมาใหม่ แสงสายฟ้าในมือขวาของเขาพลันปรากฏเม็ดโอสถสีขาวหนึ่งเม็ด
มันมีขนาดราวกำปั้นของเด็กทารก เป็นลูกกลมมน ลักษณะไม่เหมือนไว้ใช้กิน แต่คล้ายสมบัติล้ำค่ามากกว่า ยามที่มันปรากฏมีแรงดึงดูดแผ่กระจายออกมา ทำให้ไอหนาวเยือกในเรือนพักหลั่งทะลักเข้ามาจำนวนมาก ราวกับโอสถเม็ดนี้เป็นหลุมดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
โอสถชิงวิญญาณ!
เมล็ดพันธุ์หมานในตัวฟางมู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้ซูหมิงไม่ทราบชื่อและที่มาของมัน ทว่าก็มองออกว่าในนั้นแฝงไว้ด้วยพลังของลวดลายหมาน กำลังบ่มเพาะอยู่ สำหรับลายหมาน ซูหมิงเชื่อว่าโอสถชิงวิญญาณจะมีผลกับมัน
อีกทั้งตอนนี้ลายหมานที่ถูกบ่มเพาะอยู่ในร่างกายของฟางมู่เสื่อมถอยลง จึงมีเหลืออยู่ไม่มาก แต่เพราะเหตุนี้เอง ฟางมู่ที่เสียพลังชีวิตไปจำนวนมากจึงแบกรับไม่ไหว ดังนั้นชีวิตจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย
การกำจัดลวดลายของเมล็ดพันธุ์หมานที่เสื่อมลงนี้ ความมั่นใจของซูหมิงหลังจากไปถึงขั้นชำระล้างมิใช่แค่หนึ่งส่วน แต่เป็นเต็มสิบ!
โอสถชิงวิญญาณ นอกจากจะดูดกินไอหนาวเยือกโดยรอบแล้ว มันยังทำให้สีม่วงอมดำบนใบหน้าฟางมู่เหมือนมีชีวิต กลายเป็นหมอกบนผิวหนัง หลั่งทะลักขึ้นมาราวกับอยากเข้าไปซ่อนอยู่ในร่างกายของฟางมู่
ทว่าเมื่อซูหมิงสะบัดมือขวา โอสถชิงวิญญาณค่อยๆ ลอยขึ้น แนบชิดตรงระหว่างคิ้วของฟางมู่ หมอกสีม่วงอมดำเหล่านั้นก็พลันถูกสูบเข้าไปในเม็ดโอสถ
หมอกดำจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เม็ดโอสถอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ก่อเป็นชั้นเกล็ดน้ำแข็งบนเม็ดโอสถ แต่ความเร็วในการดูดกลืนกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย มีแต่จะเร็วขึ้น
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มีเสียงคำรามดังแว่วมาจากร่างกายของฟางมู่ พบว่าเมื่อหมอกม่วงอมดำหายไปหมดแล้ว บนใบหน้าของเขาปรากฏเป็นเกล็ดหิมะสีม่วง
เกล็ดหิมะนี้เหมือนกับถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของร่างกายเขา จนในที่สุดตอนนี้ก็ถูกบีบเค้นออกมา ขณะฟางมู่ตัวสั่นอย่างรุนแรง มันก็ถูกโอสถชิงวิญญาณสูบหายไปในชั่วพริบตา
หลังจากนั้นสีของเม็ดโอสถพลันเปลี่ยนเป็นสีม่วง!
ไอหนาวยะเยือกแผ่ออกมาจากภายใน ลักษณะใหญ่ขึ้น เมื่อบินวนอย่างเชื่องช้าหลายรอบแล้วจึงค่อยๆ ลอยมาทางซูหมิง แล้วลดระดับลงตรงกลางฝ่ามือขวาเขา
ในช่วงที่สัมผัสกับเม็ดโอสถ ไอหนาวหลั่งไหลเข้าสู่กายซูหมิง ทว่าไม่นานก็ละลายหายไป ขณะเดียวกัน ความรู้สึกคล้ายสมบัติล้ำค่าปรากฏบนเม็ดโอสถนี้
สีของมันค่อยๆ เปลี่ยนไป จนท้ายที่สุดกลายเป็นสีขาวอีกครั้ง ภายในค่อนข้างโปร่งใส มองเห็นได้ว่าลึกๆ มีหิมะสีม่วงถูกผนึกอยู่ภายใน
“ช่วยชีวิตได้ ทว่าพลังชีวิตที่เสียไปไม่อาจนำกลับคืนมา ดูแลตัวเองให้ดี ข้ากับเจ้าหมดวาสนาต่อกันแล้ว” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง เก็บโอสถชิงวิญญาณแล้วมองฟางมู่ที่กำลังพยามลืมตาขึ้น มองใบหน้าที่ไม่มีสีม่วงอมดำและร่างกายที่ไม่มีน้ำแข็งเกาะอีก ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“ผู้อาวุโส…” ฟางมู่ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สิ่งที่เห็นคือเงาแผ่นหลังล่องลอย เพียงแต่เขาไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดขณะมองเงาแผ่นหลังนี้กลับมองเห็นความเหงาและความโดดเดี่ยวที่แอบซ่อนอยู่ภายใน
นอกเรือนพัก หานชางจื่อมองเงาแผ่นหลังของซูหมิงแล้วก้มหน้าลง
บนพื้น จ้าวหมานบูรพาสงบลืมตาขึ้น สายตาทั้งเคารพและซับซ้อน ก่อนหลับตาลงอีกครั้ง
ฟางเซินด้านข้าง ขณะตัวสั่นเทาก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน นัยน์ตามีความซาบซึ้งและละอายใจ เขามิได้หมดสติไป
ณ ตีนยอดเขาบูรพาสงบ ซูหมิงกำลังมุ่งหน้าไปทางเมืองเขาหาน เส้นผมยาวปลิวไสวท่ามกลางสายลม หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเงามืด
“เอ่อ…นายท่าน เหมือนว่าท่านจะถูกหลอกแล้ว…”
“ข้ารู้” “หา? แล้วเหตุใดเมื่อครู่ท่านยังช่วยอีก?”
ซูหมิงมองดาราแปลกตาบนท้องฟ้า ไม่ตอบคำถาม