Skip to content

สู่วิถีอสุรา 227

ตอนที่ 227 เข้าใจแล้ว

จื่อเชอตัวสั่นเทา สีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าพลันซีดขาว โซเซถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว หลังจากกระอักโลหิตกองโตก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ทั้งตัวลอยขึ้นคิดจะออกไปจากภูเขาลูกนี้

เขาหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม ความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ทุกอย่างในจิตใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบนยอดเขาลำดับเก้าของสำนักเหมันต์สวรรค์จะมีคนที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่

สองมือน่าหวาดเกรงคู่นั้นราวกับเป็นสองมือกุมความเป็นและความตาย เป็นสองมือที่ทำให้สภาพจิตใจเขาสั่นสะท้าน เพียงลงมือก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส

“คิดจะหนีอย่างนี้รึ…” ศิษย์พี่รองในอาภรณ์ขาวยังคงยิ้มมองจื่อเชอ รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก ไม่มียินดีหรือโทสะ ทว่าช่วงที่กล่าวจบ พืชดอกทั้งยอดเขาที่เก้าสั่นไหวพร้อมกัน

“ก่อนหน้านี้ที่ข้ายังไม่ลงมือก็เพราะเจ้ายังไม่เคยล้ำเส้นยอดเขาลำดับเก้า ทุบตีหู่จื่อยังไม่เท่าไร เขาเป็นคนหนังหนา ต่อยตีเยอะแค่ไหนกลับไปนอนก็หายดีแล้ว”

ศิษย์พี่รองยิ้มกล่าว ขณะพืชดอกทั้งยอดเขาลำดับเก้าสั่นไหว กลิ่นอายพลังสะเทือนฟ้าพลันปะทุออกมา กลิ่นอายพลังนี้แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุด ปลดปล่อยออกมาจากพืชดอกทั้งหมดบนยอดเขาพร้อมกัน

จื่อเชอสีหน้าเปลี่ยน ขณะทะยานล่าถอยก็แอบร้องทุกข์ในใจ ในความคิดเขา คนอื่นๆ บนยอดเขาลำดับเก้าล้วนเป็นขยะไร้ค่า แต่มีแค่ชายตรงหน้าคนนี้เท่านั้นที่มิใช่!

ระดับความน่ากลัวไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด!

‘เพียงกลิ่นอายพลังขยับก็เหนี่ยวนำพืชดอกทั้งหมด…นี่…นี่มิใช่เคล็ดวิชาหมานธรรมดา นี่…’ จื่อเชอสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะล่าถอย ใบหน้าคนหิมะยักษ์ด้านหลังพลันรวมตัวกันแผดเสียงร้องใส่ศิษย์พี่รอง

“ทว่าครั้งนี้เจ้าเหยียบทำลายพืชดอกของข้าจำนวนมาก ทำลายน้ำเต้าของหู่จื่อ และยังคิดทำร้ายศิษย์น้องเล็กของข้า เรื่องแบบนี้ ไม่ดี…” ศิษย์พี่รองถอนหายใจเบา ยามกล่าวคำว่าไม่ดี พืชดอกทั้งยอดเขาลำดับเก้าพลันลอยขึ้น และตรงเข้าใส่จื่อเชออย่างมืดฟ้ามัวดินด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยาย

จื่อเชอมีสีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าคนหิมะด้านหลังพลันห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ เพื่อต่อต้านพร้อมกับล่าถอย แต่ช่วงที่ใบหน้าคนหิมะปะทะกับพืชดอกจำนวนมากเหล่านั้น มันกลับระเบิดกระจาย

การระเบิดของมันเกิดเป็นเสียงอึกทึกสนั่นฟ้าดิน กลายเป็นเกล็ดหิมะมากมายตกลงสู่พื้น ขณะเดียวกัน จื่อเชอที่อยู่ข้างในกระอักโลหิตอีกครั้ง ใบหน้าพลันขาวซีด ยังไม่ทันล่าถอยต่อ พืชดอกเหล่านั้นก็ตรงเข้ามาหาและโอบล้อมรอบตัวเขาในชั่วพริบตา มีไม่น้อยที่มุดเข้าไปในร่างกายเขา ทำให้จื่อเชอเหมือนมนุษย์พืชในเวลานี้

เขาตัวสั่นเทิ้ม ช่วงที่ศีรษะดิ่งลงสู่พื้น ก็มีพืชดอกเข้ามาม้วนตัวเอาไว้แล้วพากลับยอดเขาลำดับเก้า

“ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่เจ้าต้องอยู่ยอดเขาลำดับเก้าและซ่อมน้ำเต้าให้ศิษย์น้องสามของข้าใหม่ ถือเป็นการลงโทษ จากนั้นต้องช่วยข้าเฝ้ายามกลางคืน คอยดูว่าใครขโมยพืชดอกของข้ากันแน่ ส่วนเวลาอื่นๆ ให้รอฟังคำสั่งจากคนบนเขานี้ อย่างเช่นดูแลความปลอดภัยช่วงที่ศิษย์น้องเล็กข้าลงเขา ให้เป็นเช่นนี้ไปสามปี” ศิษย์พี่รองยังคงอ่อนโยน อมยิ้มกล่าว

ยามนี้ หู่จื่อแผดเสียงตะโกนด้วยความโกรธแค้น จากนั้นตรงมาจากถ้ำของเขา คว้าตัวจื่อเชอที่มีพืชดอกปกคลุมทั้งตัวทว่ากลับยังไม่หมดสติไว้ ก่อนแสยะยิ้มหิ้วตัวเขาลอยขึ้น

“มารดาเถอะ กล้าทำลายน้ำเต้าของท่านหู่คนนี้ เจ้าคอยดูว่าท่านหู่จะสั่งสอนเจ้าอย่างไร สมควรตาย ข้าจะพาเจ้าไปเข้าฝันพร้อมกับข้า”

นัยน์ตาจื่อเชอฉายแววโกรธแค้น ทว่าทั้งตัวราวเสียพละกำลังไปทั้งหมด ยิ่งโดนหู่จื่อที่ตนมองว่าเป็นขยะก่อนหน้านี้หิ้วตัว ความรู้สึกคับอกคับใจยิ่งอัดแน่นไปทั้งร่าง

ทันใดนั้นมีสายรุ้งลากยาวมาจากท้องฟ้าสองสาย เผยให้เห็นเป็นเงาร่างของหานชางจื่อและสหายร่วมเดินทาง พวกนางยืนอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง

“มีแขกคนสำคัญมาเยือน แต่มาเยี่ยมศิษย์น้องเล็กอย่างนั้นรึ?” ศิษย์พี่รองมองสตรีงดงามสองคนบนท้องฟ้า รอยยิ้มอ่อนโยนมากกว่าเดิม

“ชางหลัน…..คารวะอาจารย์อาสอง” ฟางชางหลันตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนรีบโค้งตัวคำนับศิษย์พี่รอง

ส่วนสตรีข้างกายใบหน้าเขียวปัด ถลึงตามองศิษย์พี่รองผู้อ่อนโยนข้างซูหมิง ก่อนมองจื่อเชอที่กำลังถูกหู่จื่อหิ้วตัวค่อยๆ เดินจากไปไกล เพียงแต่นางกลับไม่กล่าวอะไร

“สตรีงดงามผู้นี้ เมื่อก่อนพบเห็นได้ไม่บ่อยนักบนยอดเขาลำดับเก้า ดูท่าศิษย์น้องเล็กคงจะมีโชคด้านเสน่ห์…ทว่าเจ้ามาไม่ถูกเวลา เขากำลังนั่งฌานอยู่ เช่นนั้นเจ้ามาช่วยข้าดูแลเขาที่นี่ดีรึไม่?” ศิษย์พี่รองขยิบตา ส่งเสียงหัวเราะ

เสียงหัวเราะของเขาทำให้ฟางชางหลันหน้าแดงขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่อย่างนั้น คือ…” นางรีบอธิบาย

ยามนี้ สตรีใบหน้ารูปไข่ห่านข้างกายนางถลึงตามองศิษย์พี่รองอย่างโหดเหี้ยม ทำเสียงหึด้วยความเย็นชา ก่อนหมุนตัวจากไป

ฟางชางหลันลังเลครู่หนึ่ง มองซูหมิงกำลังหลับตานั่งสมาธิ แล้วมองศิษย์พี่หญิงที่กำลังโมโหอย่างเห็นได้ชัด ก่อนแสดงสีหน้าขออภัยกับศิษย์พี่รอง

“ในเมื่อซูหมิงไม่เป็นอันตรายแล้ว เช่นนั้น….เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน หลังจากเขาตื่นแล้วรบกวนอาจารย์อาสองบอกเขาด้วยว่า…” ขณะฟางชางหลันกำลังกล่าวก็เห็นแววตาหยอกล้อของศิษย์พี่รอง ใบหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง รีบกล่าวลาและตามศิษย์พี่หญิงไป เหมือนกำลังอธิบายอะไรบางอย่าง

ศิษย์พี่รองมองเงาคนทั้งสองจากไปไกล ส่ายศีรษะแล้วมองซูหมิงอีกครั้ง ยามกำลังจะทอดถอนใจ สีหน้าเขาพลันเคร่งขรึม มองฟ้าดินไกลๆ อีกคราหนึ่ง

ยามนี้มีชายชราคนหนึ่งอยู่บนท้องฟ้าไกล เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงอมแดง เดินมาทีละก้าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขามาเพียงลำพัง ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้ สายลมโดยรอบกลับแข็งค้าง แรงกดดันแผ่ขยายออกมาปกคลุมภูเขาน้ำแข็งทุกหย่อมหญ้าบนยอดเขาลำดับเก้า

“เฮ้อ…จัดการรุ่นเยาว์แล้ว รุ่นอาวุโสก็โผล่มาอีกจริงๆ อาจารย์ คราวนี้ศิษย์รับมือไม่ไหว ต้องให้ท่านช่วยแล้ว” ศิษย์พี่รองยิ้ม นั่งอยู่ข้างกายซูหมิง

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเพิ่งขึ้นเขามาเหตุใดถึงล่วงเกินคนอื่นเข้าแล้ว…เฮ้อ ควรตื่นได้แล้ว!” ศิษย์พี่รองมองซูหมิง สีหน้าไม่เข้าใจ ทันใดนั้นพลันเผยรอยยิ้ม ภายในรอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยการเฝ้ารอ

“ไม่รู้ว่าวิธีทำจิตใจสงบของเจ้าจะเป็นอะไร…” ศิษย์พี่รองกล่าวพึมพำ ข้างกายเขา ในตัวซูหมิงมีเส้นหมอกหลายเส้นแผ่ออกมาตามรูขุมขน ค่อยๆ ปกคลุมโดยรอบ หมอกนั้นไหลเชี่ยวกรากเหมือนกำลังก่อรูปอย่างช้าๆ

ภายในจิตใจของซูหมิง ในโลกที่เขามองเห็น หมอกอบอวลเหล่านั้นค่อยๆ ลดน้อยลง ทำให้ไม่มีหมอกมาขวางการมองเห็นของเขาอีก และมองเห็นดินแดนด้านหลังหมอกได้

สิ่งที่เขาเห็นด้านหลังหมอกมิใช่ดินแดนอะไร แต่เป็นภาพผืนหนึ่ง ภายในภาพค่อยๆ มีสายน้ำภูเขา มีต้นไม้ใบหญ้าและเงาคน ไม่นานการรู้แจ้งจึงค่อยๆ ปรากฏในจิตสำนึกของเขา…

“คำตอบของข้า ข้าเป็นคนสร้าง ข้า…..ก็คือการสร้าง…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาเข้าใจแล้ว

บนท้องฟ้าโลกภายนอก ชายชราเสื้อคลุมยาวสีม่วงอมแดงเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ยืนอยู่กลางอากาศนอกยอดเขาลำดับเก้า แววตาของเขาไม่มีปีติหรือโทสะยามมองเทียนเสียจื่อบนยอดเขาลำดับเก้า

“เทียนเสียจื่อ ปล่อยศิษย์ของข้า” น้ำเสียงหนักแน่นดังกึกก้องฟ้าดิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!