ตอนที่ 233 เจ้าชื่ออะไร
ทั้งน่านฟ้ายามนี้ถูกประกายแสงเจ็ดสีสว่างจ้าปกคลุม แสงเจ็ดสีนั้นราวกับสายรุ้ง ทว่ากลับไม่มีความอ่อนโยนของสายรุ้ง เป็นเพียงแสงสว่างกระจายอยู่ทุกมุมของฟ้าดินที่ซูหมิงมอง
แสงเจ็ดสีที่ราวกับสามารถแผดเผาดวงตาตกกระทบทุกยอดเขา หลอมรวมกับอากาศ สาดส่องแผ่นดินใหญ่ อยู่ในสายตาของทุกคน
การปรากฏตัวของแสงแฝงไว้ด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างบอกไม่ถูก ทำให้แผ่นดินเหมันต์ของสำนัก นอกจากยอดเขาลำดับเก้าแล้ว ศิษย์จำนวนมากทั้งในและนอกยอดเขาทั้งแปด ยามนี้แทบทุกคนเงยหน้ามองใจกลางของแสงเจ็ดสี
เสียงดังเกรียวกราวกึกก้องแปดทิศ เพราะในสำนักเหมันต์สวรรค์ แสงเจ็ดสีเช่นนี้เป็นตัวแทนของบุคคลหนึ่ง!
การใช้วิธีป่าวประกาศให้ทุกคนในสำนักรู้เช่นนี้ก็เป็นตัวแทนของบุคคลหนึ่ง!
นั่นคือโอรสแห่งสวรรค์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ ผู้ได้รับขนานนามว่ามีโอกาสเป็นเทพหมานรุ่นสี่มากที่สุด ซือหม่าซิ่น!
“เป็นศิษย์พี่ซือหม่า เขากลับมาแล้ว!”
“ได้ยินว่าศิษย์พี่ซือหม่าออกไปข้างนอกหลายปี ตอนไปขั้นพลังอยู่ที่จุดสูงสุดของชำระล้าง ยามนี้กลับมา หรือว่าจะทะลวงสู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูกแล้ว!”
“ตอนศิษย์พี่ซือหม่าออกสำนักไปฝึกฝนเคยพูดไว้ว่า หากไม่ถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูก เขาจะไม่กลับสำนักเด็ดขาด!”
เสียงฮือฮาสะเทือนฟ้าดิน การปรากฏตัวของแสงเจ็ดสีทำให้ศิษย์แปดยอดเขาของแผ่นดินเหมันต์ตื่นตะลึง ทั้งยังมีคนสนิทของซือหม่าซิ่นจำนวนหนึ่งกลายเป็นสายรุ้งลากยาวมาจากแต่ละยอดเขา
พริบตาเดียว มีเงาเลือนรางจำนวนมากทยอยกันเข้ามา ลอยอยู่ตรงนั้นพลางมองอยู่ไกลๆ
ผู้คนที่เพิ่งเข้าๆ ออกๆ ตรงวิหารใจกลางเก้ายอดเขาใต้ฝ่ายนภาข้างซูหมิง ยามนี้ต่างพากันบินออกมาเช่นกัน มองท้องฟ้าด้วยความเคารพและฮึกเหิม ก่อนประสานมือคารวะอยู่ตรงนั้น
กระทั่งชายหนุ่มที่หู่จื่อบอกว่าเป็นหญิงแต่งชาย เวลานี้ยังสาวเท้าออกไปไวๆ แล้วคารวะท้องฟ้า
“ยินดีต้อนรับศิษย์พี่ใหญ่ซือหม่ากลับสำนัก!” เสียงแบบเดียวกันกังวานบนแผ่นดิน ผู้คนจำนวนมากพูดออกมาราวหลอมรวมเข้าด้วยกันจนเป็นเสียงเดียว กลายเป็นคลื่นเสียงสะเทือนฟ้าดิน
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น เขาแสบดวงตาเล็กน้อย เหมือนจะถูกแสงเจ็ดสีบนท้องฟ้าทะลวงผ่าน เขามองคนจำนวนมากรอบตัวกำลังคารวะ ภาพนี้เขากับหู่จื่อหรือกระทั่งจื่อเชอเหมือนกับถูกโลกลืม ในสายตาของทุกคนคล้ายมีแค่แสงเจ็ดสีเท่านั้น
ความรู้สึกเช่นนี้ซูหมิงไม่แปลกใจนัก ภาพนี้ทำให้เขานึกถึงตอนอยู่ภูเขาทมิฬ เมื่อเหยียบขึ้นบนลานหน้าภูเขาร่องลม เขายืนอยู่ตรงมุมเงียบๆ เช่นเดียวกัน พลางมองโอรสแห่งสวรรค์เข้ามาทีละคนและเป็นที่จับตามองของผู้คน
ทว่าซูหมิงในวันนี้กลับมิใช่เขาในตอนนั้น เขาในตอนนั้นต้องบังคับตัวเองให้นิ่งเงียบ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เขายืนอยู่ตรงนั้นก็สงบนิ่งแล้ว
ดวงตาสงบนิ่ง สีหน้าสงบนิ่ง ร่างกายสงบนิ่ง จิตใจสงบนิ่ง
เขามองท้องฟ้าไกลๆ ตรงต้นตอของแสงเจ็ดสี เป็นภูเขาสูงลอยอยู่กลางอากาศ นั่นคือภูเขาเจ็ดสี!
บนยอดเขาลูกนั้น เขาพอเห็นรางๆ ว่าเหมือนมีบุรุษยืนอยู่ผู้หนึ่ง แสงเจ็ดสีทำให้มองเห็นสีเสื้อผ้าของบุรุษคนนั้นไม่ชัด เห็นเพียงเส้นผมยาวปลิวไสวท่ามกลางสายลม และเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา เพียงแต่ใบหน้ากลับมองเห็นไม่ชัด
ภูเขาเจ็ดสีค่อยๆ เข้ามาใกล้ เสียงฮือฮาดังกึกก้องบนแผ่นดินใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงกล่าวคารวะเหล่านั้นขึ้นลงข้างหูซูหมิงราวกับลูกคลื่นยักษ์ เขาเห็นคนจากแต่ละยอดเขายืนอยู่กลางอากาศ ยามนี้ประสานมือคารวะภูเขาเจ็ดสีที่กำลังใกล้เข้ามา
“ซือหม่าขอบคุณการต้อนรับของสหายทุกคน กลับมาสำนักในครั้งนี้ ซือหม่าเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย หลังจากกลับถึงยอดเขาแล้ว จะให้คนนำไปให้เหล่าสหายที่ยอดเขา” น้ำเสียงอ่อนนุ่มของซือหม่าซิ่นดังกังวาน ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ประสานมือคารวะทุกคน
สีหน้าของเขาดูสุภาพยิ่งนัก ทั้งยังมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกภายใน มองแวบแรกจะเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังอาบน้ำท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ และเกิดไมตรีจิตต่อเขาโดยธรรมชาติ
“เสแสร้ง ซือหม่าซิ่นคนนี้ ตอนนั้นท่านหู่เคยเห็นเขาหลายครั้ง รอยยิ้มปลอมยิ่งนัก ศิษย์พี่รองยังยิ้มจริงใจกว่าเขาเยอะ ตอนแรกอาจารย์คิดจะรับเขาเป็นศิษย์ โชคดีที่สุดท้ายแล้วก็มิได้รับ” หู่จื่ออยู่ข้างซูหมิง ยืนแคะจมูกกล่าวอย่างไม่แยแส
จื่อเชอเงียบงัน สายตาที่มองภูเขาเจ็ดสีกลับเย็นชา
เขามีความแค้นต่อซือหม่าซิ่น หากมิใช่เพราะซือหม่าซิ่นให้เขามาล่วงเกินซูหมิงที่ยอดเขาลำดับเก้า เขาก็คงไม่ต้องมีสภาพอย่างนี้
ซูหมิงเงียบ เขายังคงมองภูเขาเจ็ดสีที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บนท้องฟ้า ไม่นานเขาก็เห็นลักษณะของซือหม่าซิ่นชัดเจน สวมเสื้อขาวทั้งตัว รูปลักษณ์ภายนอกหล่อเหลายิ่งนัก ดูแล้วกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนเหมือนไม่มีเพลิงโทสะแม้แต่น้อย คิ้วกระบี่ดวงตาดารา ยิ้มมุมปากน้อยๆ ตลอดเวลา
ลักษณะเฉพาะที่ต่างจากคนรอบข้างเผยออกมาจากตัวซือหม่าซิ่นอย่างเป็นธรรมชาติ ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลาแล้วกลายเป็นเสน่ห์ที่บอกไม่ถูก
ซูหมิงกับซือหม่าซิ่นมิใช่ว่าเคยเจอกันเป็นครั้งแรก ทว่ากล่าวให้ถูกคือ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซือหม่าซิ่นจริงๆ มันดูต่างจากตอนที่ซือหม่าซิ่นยืมร่างของฟางมู่ลงมือในเมืองเขาหาน ซูหมิงมองซือหม่าซิ่น มองกิริยาท่าทางมีระดับของอีกฝ่าย มองรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ซูหมิงก็ยังคงสงบนิ่งไม่กล่าว
หู่จื่อไม่แยแส ซูหมิงสงบนิ่ง จื่อเชอเย็นชา พวกเขาสามคนยืนอยู่ด้วยกัน ต่างจากศิษย์สำนักโดยรอบที่มีแต่ความเคารพโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากกวาดสายตามองย่อมเป็นที่สังเกตบ้าง
บางทีซือหม่าซิ่นอาจสังเกตเห็นซูหมิง ทว่าเขากลับยังคงยิ้มบาง มิได้เปลี่ยนแม้แต่น้อย
“ไปกันเถอะศิษย์พี่สาม เอากระดาษเสร็จแล้วจะได้กลับยอดเขา”
ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ความแค้นระหว่างเขากับซือหม่าซิ่นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าซับซ้อนก็ว่าซับซ้อน แต่สุดท้ายแล้วก็มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว
เว้นแต่เขาจะคืนระฆังเขาหานอย่างนอบน้อม อีกทั้งยังปฏิเสธสัญญาระหว่างหานชางจื่อ ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องของฟางมู่ จนได้รับการให้อภัยจากซือหม่าซิ่น มิเช่นนั้นแล้วไม่มีความเป็นไปได้อื่นๆ อีก
ทว่าเรื่องแบบนี้ซูหมิงทำไม่ได้
ขณะกล่าว ซูหมิงกำลังหมุนตัวไปทางวิหารวัตถุด้านหลังเพื่อไปเอากระดาษ แต่ทันใดนั้น เพราะภูเขาเจ็ดสีเข้ามาใกล้จึงทำให้แสงเจ็ดสีบนเขานี้ค่อยๆ หายไป
หางตาซูหมิงไม่เพียงแต่เห็นลักษณะของซือหม่าซิ่นชัดเจนเท่านั้น เขายังเห็นใบหน้างามหยาดเยิ้มดูตื่นเต้นเล็กน้อยด้านหลัง
นางเป็นเด็กสาวงดงามผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าสีม่วงดูอายุไม่มาก ผิวเนียนราวกับหยก ตาทั้งสองข้างเหมือนดวงจันทร์ นางยืนอยู่ด้านหลังซือหม่าซิ่น ท่าทางว่าง่ายอย่างยิ่ง ทว่าความปราดเปรียวในแววตากลับทำให้คนมองตะลึงในความงาม ขณะเดียวกันยังสัมผัสได้ถึงความสวยแบบดื้อรั้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ความงามแบบนี้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มิได้ปรุงแต่งภายหลังหรือสร้างขึ้นมา แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมในการเติบโต เพราะปัจจัยหลายอย่างจำพวกนิสัย จึงเกิดมาเป็นความงามแบบดื้อรั้นอย่างที่พบเห็นได้ยาก
ดวงตาสว่างไสว คิ้วโก่ง มุมปากเป็นลักษณะโค้งน่าหลงใหล วาดออกมาเป็นความหมายแท้จริงของงดงามสะดุดตา แม้ยังเยาว์วัยเล็กน้อย แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่เด็กสาวคนนี้กลับทำให้ซูหมิงพลันสั่นสะท้านในช่วงที่เขากำลังหมุนตัวกลับแล้วหางตาเหลือบไปเห็น
ในความคิดซูหมิงราวกับมีสายฟ้านับแสนผ่าลงมา ทั้งยังระเบิดกระจายในเวลาเดียวกัน ทำให้เขาตัวสั่นเทา ลมหายใจกระชั้นถี่อย่างรุนแรงแบบที่แทบไม่เคยเป็นมาก่อน เสมือนช่วงเวลานี้ลมหายใจเขาตามเสียงอึกทึกในความคิดและเสียงเต้นของหัวใจไม่ทัน
ตรงหน้าซูหมิงในชั่วพริบตานี้ฟ้าดินสงบนิ่ง เมฆลมไม่เคลื่อนไหว เสียงดังเกรียวกราวทุกอย่างข้างหูพลันเงียบลง โลกตรงหน้าเขาไม่มีผู้คนอื่น ไม่มียอดเขาทั้งเก้า แสงเจ็ดสีบนท้องฟ้าในสายตาหายไป ไม่มีภูเขาเจ็ดสี ไม่มีซือหม่าซิ่น
ในสายตาของเขา ในโลกของเขา ยามนี้มีได้เพียงหนึ่งเดียวนั่นคือร่างสวมชุดสีม่วง เผยรอยยิ้มดื้อรั้น ร่างที่ดวงตาเป็นประกายแฝงไว้ด้วยความปราดเปรียว
นั่นคือ…
เด็กสาวผู้มีความงามแบบดื้อรั้น…
ความสงบเงียบในแววตาของซูหมิงพังทลายลง
ความสงบนิ่งทางสีหน้าแหลกสลาย
ความสงบนิ่งทางร่างกายสั่นเทา
ความสงบนิ่งทางจิตใจหายไป…
เขาในยามนี้ลืมว่าตนยืนอยู่ในสำนักเหมันต์สวรรค์ ลืมว่าสิ่งที่ตนมองคือเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังซือหม่าซิ่น เขาลืมทุกอย่าง ตอนนี้ในหัวขาวโพลน ไม่มีความคิด ไม่มีจิตใจ มีเพียงบทเพลงซวินอันเศร้าโศกหมุนวนอยู่กลางใจเขาโดยไร้เสียง สิ่งที่อยู่กับบทเพลงซวินยังมีภาพที่ทำให้เขาเจ็บปวด
ในภาพนั้นมีหิมะขาวปลิวว่อน ท่ามกลางลมหิมะมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจูงมือกันเดิน หิมะเหล่านั้นโปรยปรายใส่เส้นผมพวกเขา ราวกับเดินกันไปจนถึงวันที่แก่ชราแล้ว
‘ซูหมิง นี่คือสัญญานะ….’
‘ข้าจะต้องไปแน่นอน!’
แต่ละฉากในภาพนั้นทำให้ซูหมิงตัวสั่น เขาเหม่อมองเด็กสาวบนท้องฟ้าที่กำลังใกล้เข้ามา มองทุกอย่างตรงหน้า
“ไป๋หลิง…นี่….นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ นัยน์ตาเขาฉายแววเหลือเชื่อเป็นที่สุด เขาในยามนี้พลันเกิดอารมณ์ชั่ววูบอย่างรุนแรงในร่างกาย
อารมณ์ชั่ววูบนี้เขาไม่อยากระงับ และจะไม่ระงับ ยิ่งไปกว่านั้นยังระงับมิได้!
แม้อารมณ์ชั่ววูบจะทำให้การฝึกฝนจิตใจสงบหยุดลง ทว่าเขายังคงไม่ยอมยับยั้งมันไว้…..เขาพลันยกเท้าขวาเดินขึ้นไปบนอากาศ มุ่งหน้าไปทางภูเขาเจ็ดสี
การกระทำของซูหมิงทำให้หู่จื่อตะลึงงัน แม้ประหลาดใจทว่าก็รีบตามไปทันที
ส่วนจื่อเชอลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตามหลังไป
บนท้องฟ้า ท่ามกลางแสงเจ็ดสีเบาบาง ยามนี้ซูหมิงยืนอยู่ตรงหน้าภูเขาเจ็ดสี เขาขวางภูเขาลูกนี้เอาไว้!
ภาพนี้เป็นที่สังเกตของทุกคน พวกเขาต่างพากันมองมา ชั่วพริบตาเดียว สายตาหลายพันคนจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของซูหมิงซึ่งแปลกตาสำหรับพวกเขา
“เจ้า ชื่ออะไร…” ในสายตาของซูหมิงไม่มีภูเขาเจ็ดสี ไม่มีซือหม่าซิ่น ไม่มีคนอื่น มีแค่ร่างเด็กสาวคนนั้น บางทีอาจกล่าวได้ว่าเป็นร่างท่ามกลางหิมะใต้ภูเขาทมิฬคนนั้น