Skip to content

สู่วิถีอสุรา 24

ตอนที่ 24 นางชื่อไป๋หลิง

ซูหมิงตึงเครียดยิ่ง ความรู้สึกจากโลหิตของชายฉกรรจ์ตรงหน้า มันเหนือกว่าเหลยเฉินไปไกลนัก น่าจะอยู่ลำดับห้าหรือหกขั้นรวมโลหิต

บุคคลเช่นนี้ สำหรับซูหมิงแล้วเขาไม่อาจรับมือได้ หากอีกฝ่ายเกิดโทสะ

เขาซูหมิงก็ยากจะหลีกหนีภัยพิบัตินี้ไป ทว่าด้วยความที่เขาอยากได้ใบตาข่ายเมฆา จึงต้องทำเช่นนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญหินจำนวนมาก

ฉะนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงสักครั้ง อีกทั้งหลังจากล่าสังหารอวี้ฉื่อไปในครั้งนั้น เขารู้สึกว่าจิตใจของตนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลายปีที่เขาได้อ่านตำราหนังสัตว์ของท่านปู่ ความรู้ต่างๆ เหล่านั้นหยั่งลึกเข้าไปในสมองของเขา

เขาคิดว่าหากขั้นพลังไม่อาจกดดันอีกฝ่ายได้ เช่นนั้นจึงมีแต่ต้องใช้วิธีอื่น คือการทำให้อีกฝ่ายตรงข้ามระแวงสงสัย ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า

ดังนั้นก่อนเขามาถึงที่นี่ จึงได้อำพรางใบหน้า และจับสัตว์ป่ามาหนึ่งตัว เพื่อใช้มันทำให้อีกฝ่ายตกใจกลัวในยามที่เหมาะสม

ดูท่ายามนี้ผลของมันนับว่าเยี่ยมยอด ทว่าความตึงเครียดของซูหมิงกลับไม่คลายลงแม้แต่น้อย

ความจริงแล้วคนที่ตึงเครียดไม่ได้มีเพียงแค่ซูหมิงเท่านั้น เพราะในใจของชายฉกรรจ์ตึงเครียดยิ่งกว่าซูหมิงเสียอีก เขาเหล่ตามองจุดที่จิ้งจอกเตียวตายตกหลายครั้ง เห็นเพียงเถ้ากระดูกหนึ่งกอง หัวใจพลันเต้นโครมครามเร็วขึ้น ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว

กระทั่งในความคิดของเขา บุคคลที่อำพรางตัวด้วยหนังสัตว์เบื้องหน้าคนนี้ เต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่อาจหยั่งถึง ความรู้สึกลึกลับรวมกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แรงกดดันที่ซูหมิงให้แก่ชายฉกรรจ์ มากยิ่งกว่าที่เขาวิตกกังวลยิ่งนัก

‘คนนี้ทักษะช่ำชอง พูดจาสงบนิ่ง ลงมือได้อย่างเลือดเย็น จะต้องเป็นหมานชั่วร้ายจากแดนลับแลบางแห่งใกล้ป่าทึบเป็นแน่….ทว่าฟังจากคำพูดแล้ว ดูเป็นคนใช้เหตุผลพอสมควร…ส่วนสมุนไพรพิลึกนี้ เดาว่าไม่น่าจะมีประสิทธิผลอะไรมากนัก’ ยามชายฉกรรจ์หัวใจเต้นตึกตึก มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกกระโจม ม่านถูกเปิดออกพร้อมกับชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามา

ชายฉกรรจ์คนนี้มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเข้ามาแล้วไม่กล่าวสักคำ แต่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อรอคำสั่งจากชายฉกรรจ์ตาเดียว

ช่วงที่ชายฉกรรจ์คนนี้ก้าวเข้ามา ซูหมิงกวาดสายตามองอย่างตั้งใจ โลหิตในกายอีกฝ่ายไม่เข้มข้นนัก อยู่ลำดับสองขั้นรวมโลหิตเช่นเดียวกับตน

“กินมัน รวมทั้งสิ่งนี้ด้วย!” ชายตาเดียวหยิบเม็ดโอสถส่งให้ชายฉกรรจ์พร้อมสมุนไพรหนึ่งต้น ให้เขากินเข้าไปพร้อมกัน

สีหน้าชายฉกรรจ์เรียบเฉย เมื่อรับมาแล้วจึงใส่ปากแล้วเคี้ยวทันที ก่อนนั่งลงขัดสมาธิโคจรโลหิตในกาย ทว่าสีหน้าพลันเปลี่ยนราวกับมีบางอย่างผิดแผกไป ไม่นานเขาลืมตาขึ้น และมองชายตาเดียวด้วยความสับสน

“ไม่มีผลอะไร….เพียงแต่รู้สึกถึงสมุนไพรได้มากกว่าตอนกินปกติเล็กน้อย ประมาณหนึ่งส่วน”

ชายฉกรรจ์ได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันหรี่ลง หัวใจเต้นตึกตึกเร็วขึ้นจนคุมไม่อยู่ เขาทราบดี คำว่าเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนหมายถึงอะไร หากเป็นสมุนไพรธรรมดาอาจจะส่งผลได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าหากเป็นสมุนไพรที่ใช้สำหรับลำดับแปดขั้นรวมโลหิตขึ้นไป ราคาของมันแทบไม่อาจประเมินค่าได้

“สมุนไพรธรรมดาราคาสิบเหรียญหิน เจ้าสิ่งนี้อย่างมากก็แค่หนึ่งเหรียญหิน แต่หากเป็นหนึ่งร้อยเหรียญหิน กระทั่งพันเหรียญหิน เช่นนั้นเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน….”

ชายตาเดียวยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ทว่าเขายังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไรว่ามันจะส่งผลแบบเดียวกันกับสมุนไพรราคาสูง

“น่าเสียดาย ตอนนี้เหรียญหินติดตัวข้ามีไม่พอ…” ขณะครุ่นคิด เขาพยามกดความตื่นเต้นในใจลง เมื่อไล่ชายฉกรรจ์ออกไปแล้ว จึงยันกายขึ้นเบื้องหน้าซูหมิงด้วยความนอบน้อม ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

“ผู้อาวุโส เจ้าสิ่งนี้มันมหัศจรรย์ยิ่งนัก เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้สามสิบเหรียญแลกหนึ่งเม็ด คิดว่าอย่างไร?” ชายตาเดียวไม่กล้าล่วงเกินซูหมิง ในสายตาของเขาซูหมิงเป็นหมานชั่วร้าย อีกทั้งยังหยิบเม็ดโอสถเช่นนี้ออกมาได้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“สามสิบเหรียญ?” ราคาเช่นนี้ทำให้ซูหมิงใจเต้นตึกตัก ทว่าน้ำเสียงกลับพลันเย็นเยือกลง

“เอ่อ…ผู้อาวุโส สามสิบเหรียญคือเต็มที่แล้ว อีกทั้งยังไม่แน่ชัดด้วยว่ามันจะส่งผลเช่นเดียวกับสมุนไพรราคาสูง” ชายฉกรรจ์รีบกล่าวขึ้น ทว่าไม่ทันได้กล่าวจบ ก็ถูกซูหมิงตัดบทเสียก่อน

“ของสิ่งนี้ไม่ว่าเจ้าจะกินสมุนไพรอะไร จะเพิ่มประสิทธิผลให้หนึ่งส่วน หากไม่ใช่เพราะข้าต้องการศาสตราวุธหมาน คงไม่ขายมันแน่นอน”

ชายตาเดียวต่อรองอยู่นาน จนท้ายที่สุดจึงกัดฟันพยักหน้ากล่าว “ผู้อาวุโสมีเท่าไร?”

“ถ้านับจากที่เจ้าทำเสียของไป เหลือเม็ดสุดท้าย!” ซูหมิงกล่าวพลางหยิบขวดเล็กจากอกเสื้อ ด้านในมีโอสถชำระล้างอีกหนึ่งเม็ด

ชายฉกรรจ์ได้ยินดังนั้นพลันนึกได้ ในใจรู้สึกเสียดาย ขณะลังเลอยู่นั้น กลับเห็นซูหมิงยันกายขึ้นแล้วเก็บขวดเล็กกลับไป ชูมือซ้ายที่ทำให้จิ้งจอกเตียวกลายเป็นหมอกโลหิตขึ้น เผยแววเย็นชาจากในผ้าคลุมหนัง ชายฉกรรจ์จึงพลันนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ตนได้ทดลองใช้ไปหนึ่งเม็ด จึงรีบกล่าวขึ้น

“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส เอ่อ….ห้าสิบเหรียญ! ข้าให้เต็มที่แล้วจริงๆ!”

ซูหมิงไม่อยากอยู่ตรงนี้นานนัก แววตาเป็นประกาย พลันกล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาด “ได้ รวมกับอีกหนึ่งเม็ดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดหนึ่งร้อยเหรียญหิน!”

ชายตาเดียวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนหยิบถุงหนังจากอกเสื้อ แล้วมอบให้ซูหมิงด้วยความนอบน้อม ด้านในมีเหรียญหินสีขาวสองเหรียญ

เหรียญหินจะแบ่งมูลค่าตามสี สีเทาเป็นสอง สีดำเป็นสิบ ส่วนสีขาวเป็นห้าสิบ หากสีม่วงจะเป็นหนึ่งร้อย

“เอาเหรียญหินสีดำให้ข้า!” ซูหมิงมองแวบหนึ่ง พลันกล่าว

ชายตาเดียวตื่นตะลึง ทว่าไม่ได้ถามอะไรมาก แต่หยิบเหรียญหินสีดำสิบเหรียญส่งให้ซูหมิงใหม่

ซูหมิงหยอดเหรียญหินใส่ถุง ก่อนโยนขวดเล็กให้อีกฝ่าย แล้วจึงแบกตะกร้าสานขึ้นหลัง หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่มองแม้แต่หางตา เมื่อออกมาแล้ว ซูหมิงไม่ได้ผลีผลามลงมือแต่อย่างใด แต่กลับเดินทอดน่องในตลาดหลายรอบ ยามนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง ดวงดาราเบาบาง มีคบเพลิงตั้งเอาไว้หลายจุด ทว่าผู้คนในตลาดกลับไม่ได้น้อยลงเลย เพียงแต่บุคคลที่ปรากฏในยามนี้ส่วนใหญ่อำพรางตัวเฉกเช่นซูหมิง

เมื่อเดินทอดน่องอยู่หลายรอบจนมั่นใจแล้วว่าไม่เป็นที่สังเกต ซูหมิงจึงเร่งฝีเท้าไปยังร้านขายใบตาข่ายเมฆาที่ตนเลือกไว้เมื่อยามเช้า เลือกซื้อมาหกสิบกว่าต้น ก่อนหามุมอับแสงเปลี่ยนชุดกลับอย่างเดิม แล้วจากไปอย่างเร่งรีบ จนมาถึงจุดที่นัดไว้กับเหลยเฉิน เขาเห็นเหลยเฉินกำลังยืนรอหาววอดๆ แต่เดินผ่านไปโดยไม่เอ่ยอันใด เหลยเฉินงุนงง ทว่าก็ตามไปโดยไม่ปริปาก ไม่นานทั้งสองก็ลับหายไปในป่าทึบ ห้อเหยียดทะยานปานลมกรด ซูหมิงเปลี่ยนเส้นทางหลายครั้งและต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดพักใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งตะวันเริ่มทอแสง เขาถึงได้ชะลอฝีเท้า ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด ยังรู้สึกหวาดผวา

เหลยเฉินหอบหายใจแรง แม้เขาจะไม่เข้าใจ ทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรมาก โดยเฉพาะตอนซูหมิงสะบัดมือแล้วมี เหรียญหินห้าเหรียญลอยมาทางตน เมื่อรับเอาไว้รอยยิ้มซื่อๆ พลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น

ทั้งสองคนหยุดพักเพียงชั่วครู่ ก่อนยันกายขึ้นแล้วพุ่งทะยานต่อไปทางชนเผ่าของตน ครั้งนี้เขาไม่หยุดพักอีก แต่เร่งความเร็วสุดกำลัง เงาร่างกระโดดไปมารวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ขั้นพลังของเขาจะไม่แกร่งเท่าเหลยเฉิน ทว่าในด้านความเร็ว แม้แต่เหลยเฉินยังต้องตกใจจนพูดไม่ออก

‘ได้มาครั้งนี้นับว่าไม่เลว….ตอนแรกคิดว่าหากขายเม็ดโอสถไม่ได้ ก็ว่าจะซื้อใบตาข่ายเมฆามาทดลองห้าต้นก่อน แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะง่ายถึงเพียงนี้’ ซูหมิงขบคิดในใจขณะพุ่งทะยาน

“ชายตาเดียวนั่นน่าจะตกใจกลัวข้าไปแล้ว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ ต้องรีบกลับเผ่าให้เร็วที่สุด” ซูหมิงหวาดระวัง แม้ว่ายามนี้จะห่างจากตลาดมาไกลมากแล้วก็ตามที ทว่าเขายังคงเปลี่ยนเส้นทางอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังใช้ประสบการณ์ในป่าลบร่องรอยของตนทิ้ง

เมื่อตะวันลอยสูงสู่ฟ้า ห่างยามเที่ยงวันเพียงช่วงเวลาหนึ่ง ซูหมิงกับเหลยเฉินมองเห็นเผ่าของตนอยู่ใกลๆ เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ซูหมิงจึงค่อยวางใจได้จริง สีหน้าเผยรอยยิ้ม

“ในที่สุดก็ถึงบ้านเสียที ซูหมิง เจ้ายังไม่บอกข้าเลยว่าเมื่อวานเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไป๋หลิงเป็นคนจากเผ่ามังกรทมิฬ?” เหลยเฉินหอบหายใจแรง อาศัยจังหวะที่ซูหมิงชะลอฝีเท้า รีบถามถึงปัญหาที่ตนสงสัยมาแต่เมื่อวาน

“ไป๋หลิง?” ในหัวซูหมิงปรากฏภาพเด็กสาวใบหน้างดงามรูปร่างสูงผอม โดยเฉพาะยามเด็กสาวคนนั้นย่นจมูก ดวงตาเป็นประกาย ยิ่งเผยความงามอันแสนดื้อรั้นออกมา

“ข้าไม่รู้ว่านางเป็นคนจากเผ่ามังกรทมิฬ” ซูหมิงยกมุมปากเผยรอยยิ้ม เด็กสาวนามไป๋หลิงคนนั้นเป็นคนที่สวยที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา

“เป็นไปไม่ได้ หากเจ้าไม่รู้แล้วเหตุใดถึงพูดออกมาได้” เหลยเฉินขบคิดถึงเรื่องนี้อยู่นาน ทว่าท้ายที่สุดกลับไม่ได้คำตอบ ยามนี้เห็นซูหมิงทำท่าไม่อยากจะสนทนาด้วย จึงร้อนใจขึ้นทันที

ซูหมิงมองเหลยเฉิน แล้วหัวเราะเสียงดัง

“เหลยเฉิน อย่าบอกนะว่าเจ้าชอบนาง?”

“เหลวไหล!” เหลยเฉินออกแรงสั่นศีรษะพลางกล่าวพึมพำ

“นางผอมเกินไป ข้าไม่ชอบ ข้าชอบอวบหน่อยๆ…” เหลยเฉินเกาศีรษะ ตั้งแต่เยาว์วัยเขาชอบเด็กสาวในเผ่าที่แข็งแรงกว่าเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น

ซูหมิงหัวเราะกับเหลยเฉินพลางทะยานร่างเข้าไปยังเผ่า รอยยิ้มและมิตรภาพที่ไร้กังวลค่อยๆ ละลายความเย็นเยือกจากฤดูหนาว

“สามคนที่อยู่ข้างหลังไป๋หลิง บนตัวพวกเขามีสัญลักษณ์เผ่ามังกรทมิฬ เผ่าที่ชอบวาดลายมังกรทมิฬใกล้ๆ แถบนี้ก็มีแต่เผ่ามังกรทมิฬเท่านั้น”

เมื่อใกล้ถึงเผ่า ซูหมิงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหลยเฉินได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะแห้งๆ เขาไม่คิดเลยว่ามันจะง่ายถึงเพียงนี้

ซูหมิงและเหลยเฉินกลับถึงเผ่าโดยสวัสดิภาพ ภายในเรือนพักของตน ซูหมิงถือใบตาข่ายเมฆาที่เขาซื้อมา นัยน์ตาฉายแววคาดหวัง

‘โอสถวิญญาณผา ไม่รู้ว่าเมื่อหลอมสำเร็จแล้วมันจะมีสรรพคุณเป็นอย่างไร! ท่านปู่ห้ามไม่ให้ข้าออกไปข้างนอก….แต่ข้าก็ไปเร็วกลับเร็ว ไม่น่าเสียหายอะไรมากนัก’ ซูหมิงขบคิดขึ้นในใจ

ขณะนี้ในตลาดห่างจากเผ่าเขาทมิฬไปไกล มีเรื่องใหญ่หลวงกำลังจะเกิดขึ้น!

สาเหตุมาจากเม็ดโอสถลักษณะกลมเม็ดนั้น!

เมื่อซูหมิงจากไป ชายตาเดียวลังเลอยู่นานมาก อีกทั้งยังหยุดรับแขกที่เข้ามาซื้อขาย ก่อนกัดฟันถือขวดเล็กบรรจุเม็ดโอสถ เดินไปยังหน้ากระโจมใหญ่ยักษ์สีม่วงอันเป็นที่พักของจ้าวตลาดแห่งนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!