ตอนที่ 240 ข้าชื่อไป๋ซู่
วินาทีที่ซือหม่าซิ่นกล่าวจบ ทุกคนโดยรอบล้วนถอยหลังกันอีกครั้ง เพื่อขยายขอบเขตสนามรบให้ใหญ่ขึ้น
สายตาของคนเหล่านี้มิได้มองแค่ซือหม่าซิ่นอย่างเดียวแล้ว บางครั้งก็มองซูหมิงด้วยความสับสนเช่นกัน
ซูหมิงพูดน้อยยิ่งนัก พวกเขาคล้ายเคยชินกับความเงียบแล้ว ทว่าการต่อสู้ระหว่างซือหม่าซิ่นกับซูหมิง กลับทำให้ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ที่มาจากยอดเขาทั้งแปดโดยรอบจดจำเขาอย่างลึกซึ้ง คำพูดเหยียดยามก่อนหน้านี้หายไปไม่เหลือร่องรอย
ซูหมิงใช้การกระทำของเขาทำลายการดูถูกและเหยียดหยามเหล่านั้นทั้งหมด แต่ละคำหลอมละลายอยู่ในใจของคนที่พูดทุกคน
ในสายตาของทุกคน ซูหมิงในตอนนี้อยู่ระดับเดียวกับซือหม่าซิ่นแล้ว
ต่อให้เทียบมิได้เล็กน้อย แต่ก็ต่อกรกับซือหม่าซิ่นมาจนถึงตอนนี้ได้ อีกทั้งยังบีบให้ซือหม่าซิ่นต้องใช้ยอดวิชาไร้ใจ เท่านี้ก็เห็นถึงความต่างแล้ว
ชื่อของซูหมิงจากนี้จะเหมือนกับพายุน้ำวน เป็นที่รู้จักของผู้คนจำนวนมากและฝังอยู่ในจิตใจ โอรสแห่งสวรรค์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ บางทีหลังจากนี้อาจมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนจากยอดเขาลำดับเก้า! เขามิใช่ศิษย์พี่หรือศิษย์น้อง เขาเป็น…อาจารย์อา
มาจากยอดเขาลำดับเก้า จัดเรียงตามอาวุโสอยู่ลำดับสี่ อาจารย์อาซู
ทว่าหลังจากหานชางจื่อบนยอดเขาลำดับสามได้ยินคำพูดของซือหม่าซิ่นกลับเปลี่ยนสีหน้า นางรู้สึกได้ว่าคำพูดของซือหม่าซิ่นมีบางอย่างแปลกไป ราวกับว่าในคำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายที่ทำให้นางรู้สึกขนลุก
เหมือนมันมิได้ง่ายขนาดนั้น ทั้งยังแฝงความชั่วร้ายไว้โดยไม่ทราบสาเหตุ!
“ไม่ถูกต้อง…คำพูดนี้มีบางอย่างผิดไป…” หานชางจื่อกล่าวพึมพำเบาๆ ขมวดคิ้วงาม ขบคิดถึงคำพูดนั้นอย่างละเอียด
ขณะเดียวกันบนยอดเขาลำดับสี่ หานเฟยจื่อก็มองอยู่เช่นกัน
จุดที่ต่างจากหานชางจื่อคือนางไม่สนใจคำพูดของซือหม่าซิ่น แต่จ้องซูหมิงด้วยสีหน้าตกตะลึง
ความแข็งแกร่งของซูหมิงเกินการคาดเดาของนางอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะถูกทิ้งห่างมากขึ้นเรื่อยๆ
บนยอดเขาลำดับสี่ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายหรือชายชราเสื้อคลุมม่วง ยามนี้นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจ คนอื่นอาจไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของซือหม่าซิ่น ทว่าเขาเข้าใจ
“ก่อเรื่อง!” ชายชราแค่นเสียงหึเย็นชา กวาดสายตามองยอดเขาลำดับเก้าที่เงียบสงบคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง
บนแท่นหินราบที่นูนออกมา ณ ยอดเขาลำดับเจ็ด หญิงสาวผมยาวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ยามนี้ขมวดคิ้วงามเช่นเดียวกัน พลางมองซือหม่าซิ่นด้วยความรังเกียจ
“ข้าเคยอ่านคัมภีร์โบราณอยู่บ้าง ในนั้นเคยบันทึกเกี่ยวกับต่างแดนไว้ประโยคหนึ่ง คำพูดนั้นคือ…” หญิงสาวกล่าวเบาๆ เหล่าเด็กสาวด้านหลังนางล้วนมีสีหน้าตั้งใจ ทั้งยังมีความตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยเล็กน้อย การได้รับการสั่งสอนจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ สำหรับพวกนางแล้วถือเป็นเรื่องโชคดียิ่งนัก
“มีเต๋าแต่ไร้วิชาก็สำเร็จวิชาได้ มีวิชาแต่ไร้เต๋าวิชาก็จบสิ้น! แม้ข้าไม่เข้าใจคำว่าเต๋าของต่างแดนคืออะไร ทว่าตอนนี้…” นางกวาดสายตามองซูหมิงกับซือหม่าซิ่นไกลๆ เหมือนกำลังขบคิดบางอย่าง
ยอดเขาลำดับเก้า เทียนเสียจื่อกำลังนั่งอยู่บนยอดเขา ยังคงดื่มสุราจากน้ำเต้า ราวกับมิได้สนใจเหตุการณ์ภายนอก
ตรงกลางยอดเขา ศิษย์พี่รองที่กำลังนั่งยองปลูกพืชดอกอยู่พลันขมวดคิ้วขึ้น วางพืชดอกในมือลง ยืนขึ้นแล้วมองทอดไปไกล
ใต้ฝ่ายนภา บนอากาศเหนือกลุ่มวิหารตรงใจกลางเก้ายอดเขา
คำพูดของซือหม่าซิ่นยังคงดังกึกก้อง ยามเขาจะแสดงอภินิหาร ทุกอย่างล้วนใช้ยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจเป็นรากฐาน ต่อให้เป็นวิชาเปลี่ยนเทพหมานก็ตาม เนื่องด้วยคนที่ฝึกฝนต่างกัน จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันเล็กน้อย และซือหม่าซิ่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจนี้
วิชานี้สร้างโดยเทพหมานรุ่นสอง มีพลังมหาศาล ตำนานเล่าว่าเทพหมานรุ่นสองใช้วิชานี้กดขี่คนจากต่างแดนจนมีคุณสมบัติเป็นเทพหมาน แม้บอกว่าท้ายที่สุดยังไม่สูงส่งเท่าเทพหมานรุ่นหนึ่ง ทว่าก็มีอิทธิพลมากพอ
ซือหม่าซิ่นฝึกฝนวิชานี้ ใช้กำลังกายและความคิดไปมาก ลำพังแค่หาเมล็ดพันธุ์หมานเหล่านั้นก็กินเวลาและกำลังของเขาไปมากแล้ว หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่มีทางฝืนใช้วิชานี้ต่อสู้กับศัตรูเด็ดขาด
เพราะหากใช้มันแล้ว บุตรชายหมานที่ถูกปลุกเมล็ดพันธุ์หมานเหล่านั้นจะเหมือนกับฟางมู่ในตอนแรกสุด นั่นคือความตาย
มันคือผลลัพธ์ที่เขาซือหม่าซิ่นยากจะยอมรับได้ เพราะจะทำให้ยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจของเขาหายไป จะต้องตามบุตรชายหมานที่มากพออีกครั้งถึงจะเริ่มใหม่ได้
หากแต่ตอนนี้ซือหม่าซิ่นกลับมิได้ลังเลมากนัก เขาตัดสินใจแสดงวิชานี้กับซูหมิง นี่มิใช่ว่าเขาเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุอะไร แต่เป็นการเลือกที่ผ่านการตรึกตรองมาอย่างดี!
เขายอมทิ้งบุตรชายหมานทั้งหมด เพื่อบุตรชายหมานคนใหม่ผู้เดียว…บุตรชายหมานคนใหม่นี้ก็คือ…ซูหมิง!
ความเร็วในการเติบโตของซูหมิง ศักยภาพที่น่ากลัว และยังมีการสะบัดมือทำลายวิชาเปลี่ยนเทพหมานของเขาเมื่อครู่ ขณะเดียวกับที่ตื่นกลัว ในใจเขาก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น
ความคิดนี้คือปลูกเมล็ดพันธุ์หมานในตัวซูหมิง
ทำให้ซูหมิงเป็นบุตรชายหมานของเขาซือหม่าซิ่น!
‘หากมันเป็นเมล็ดพันธุ์หมานของข้า เช่นนั้นด้วยความเร็วในการเติบโตและศักยภาพของมัน แม้ข้าต้องละทิ้งบุตรชายหมานทั้งหมดก็คุ้มค่า!
ถึงแม้บุตรชายหมานดีๆ จะหายาก ทว่าคนอย่างซูหมิงแบบนี้กลับหายากยิ่งกว่า หากพลาดโอกาสนี้ไป ข้าจะไม่ยอมเด็ดขาด!’ นัยน์ตาซือหม่าซิ่นขยับประกาย สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความแปลกใจซึ่งซ่อนอยู่ลึกยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงกล่าวประโยคเมื่อครู่ หากซูหมิงรับวิชานี้ของเขาได้ พบซูหมิงเมื่อไรเขาจะคุกเข่าลงคารวะทันที ทว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย
หากไม่มีความหมายแฝงพิเศษเขาคงไม่โง่งมทำเช่นนั้น คำพูดประโยคนี้เท่ากับบีบตัวเองให้จนมุม ทำให้ต้องชนะเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็คงยากจะทำใจยอมรับผลลัพธ์
เขาพูดประโยคนี้ออกไป ความจริงแล้วนี่คือการแสดงให้รู้เป็นนัยๆ อันสอดคล้องกับวิชาของเขาก่อนใช้เมล็ดพันธุ์หมาน และกล่าวได้อีกอย่างว่าเป็นการเกริ่นนำ
ฝังคำพูดประโยคนี้ในใจของซูหมิง ให้มันกลายเป็นคำเกริ่นนำ ยิ่งซูหมิงสนใจมากเท่าไร คุณค่าของคำพูดก็จะมีน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้น เมื่อใช้สิ่งนี้เป็นการโน้มนำ เขากับอีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ประหลาด ความสัมพันธ์นี้แม้บอกว่าเป็นมายาหรือจินตนาการก็ตามแต่การเกริ่นนำเช่นนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ยอดวิชาหมานไร้ใจ
ใช้การตัดสินแพ้ชนะเป็นตัวโน้มนำ กล่อมเกลาเป็นคำพูดและปลูกฝังลงไป จากนั้นจึงรวมออกมาเป็นเงื่อนไขของเมล็ดพันธุ์หมาน หากเขาซือหม่าซิ่นชนะการต่อสู้ครั้งนี้ เขาก็จะใช้วิธีการพิเศษบางอย่างค่อยๆ ทำให้มันกลายเป็นเมล็ดพันธุ์หมานที่แท้จริง
ต่อให้เขาพ่ายแพ้ เช่นนั้นทุกครั้งที่เขาพบซูหมิงแล้วต้องคุกเข่าคารวะ
ขอแค่ซูหมิงจิตใจสั่นไหวสักเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นคุณประโยชน์หล่อเลี้ยงการเติบโตของเมล็ดพันธุ์หมานโดยไม่รู้ตัว
นี่คือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในอำนาจเผด็จการและความพิลึกของยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจ ในช่วงเวลาหลายปีมีน้อยคนนักจะทำได้ ขอแค่จิตใจมีช่องโหว่ ก็จะใช้วิชานี้ทำให้รอยโหว่ขยายใหญ่ขึ้นโดยไร้ขีดจำกัด จากนั้นจึงอาศัยจังหวะรุกล้ำเข้าไป มิใช่การชิงจิตวิญญาณ แต่เป็นการยืมจิตวิญญาณและพลังมามอบให้ตัวเอง
วิชานี้ช่างใช้อำนาจบาตรใหญ่ยิ่งนัก หากไม่เข้าใจการใช้อย่างถ่องแท้ เช่นนั้นโอกาสสำเร็จจะมีไม่สูง เว้นแต่จะเป็นการระงับขั้นพลัง ฝืนบังคับปลูกลงไป มิเช่นนั้นก็ต้องพึ่งพาโชค
หากชนะ เขาจะได้ครอบครองบุตรชายหมานที่น่าตกตะลึงเช่นนี้อย่างสมบูรณ์ หากพ่าย เขาจะมีโอกาสค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายเข้ามาติดกับได้เหมือนกัน สำหรับซือหม่าซิ่นแล้ว สิ่งที่ต้องเสียไปอย่างเดียวคือชื่อเสียงเล็กน้อยเท่านั้น ในจุดนี้เขายังพอรับได้
เขาในยามนี้ลอยอยู่กลางอากาศ กางแขนทั้งสองข้าง พลังในตัวเขาทะยานขึ้นด้วยความเร็วน่าทึ่ง กระทั่งยังมีความรู้สึกเหมือนขั้นเซ่นไหว้กระดูก
ซูหมิงขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าซิ่น ก็รู้สึกว่าประโยคคำพูดนี้มีความรู้สึกบอกไม่ถูกแฝงอยู่ เหมือนกับมันทะลวงเข้ามาถึงกลางใจ และดังกึกก้องอยู่ในนั้นไม่หยุด ทันใดนั้นมีเสียงร้อนรนพลันดังแว่วมาจากยอดเขาลำดับสาม
“ซูหมิง ไม่ต้องไปสู้ เขาจะปลูกเมล็ดพันธุ์ในตัวเจ้า…” เสียงนั้นเป็นของหานชางจื่อ ทว่าเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ซือหม่าซิ่นแค่นเสียงหึเย็นชา ทำให้นางพลันเงียบงัน
ถึงแม้นางยังกล่าวไม่จบ แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่อาจยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีก เพราะหลังจากซือหม่าซิ่นแค่นเสียงหยัน เสียงเย็นชาของอาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายจากยอดเขาลำดับสี่ก็ดังกึกก้องในสำนักเหมันต์สวรรค์
“ห้ามต่อสู้กันในสำนัก พวกเจ้าสองคนไม่เข้าใจกฎอย่างนั้นรึ!”
เสียงดังกล่าวไม่ดังมากนัก แต่กลับน่าเกรงขาม ช่วงที่มันดังแว่วเข้ามา ทุกคำล้วนเหมือนกับสายฟ้าน่าสะพรึง ส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็นคลื่นเสียงเหลือคณานับ ราวกับมีคนนับหมื่นกำลังแผดเสียงตะโกนพร้อมกัน สั่นสะเทือนฟ้าดินจนเปลี่ยนสี ชั้นเมฆม้วนตัวถอย กระทั่งแผ่นดินน้ำแข็งยังสั่นสะเทือน
ซือหม่าซิ่นพลันหยุดชะงัก เหมือนมีสายฟ้าผ่าลงมาข้างหู พลังของเขาถูกขัดอย่างสมบูรณ์ กระเด็นถอยไปสามก้าว มุมปากมีโลหิตไหลริน
ซูหมิงก็เช่นเดียวกัน มีเสียงระเบิดลงข้างหู ใบหน้าพลันซีดขาว ถอยหลังไปห้าก้าวพร้อมกระอักโลหิต ระฆังเขาหานในร่างกายพลันมีเสียงก้องเบาๆ
“ซือหม่าซิ่น ซูหมิงเป็นผู้อาวุโสของเจ้า เขาขวางภูเขาเจ็ดสีของเจ้าก็เป็นเรื่องสมควร เรื่องนี้เจ้าผิด! ลงโทษเจ้าปิดด่านฝึกพลังสามเดือน ห้ามออกจากยอดเขาลำดับหนึ่ง ยังไม่รีบไปอีก!”
ซือหม่าซิ่นสีหน้าเปลี่ยน ท้ายที่สุดก็ก้มหน้าลง คารวะไปทางยอดเขาลำดับสี่ด้วยสีหน้าทะมึนทึบ ก่อนหมุนตัวเก็บภูเขาเจ็ดสี มองเด็กสาวที่ยังคงมองเขาตลอด เมื่อพยักหน้าให้แล้วจึงบินไปทางยอดเขาลำดับหนึ่ง
“ส่วนพวกเจ้า ยังไม่สลายตัวกันไปอีกรึ!” ท่ามกลางเสียงกังวานของอาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้าย ผู้คนโดยรอบพากันคารวะไปทางยอดเขาลำดับสี่ ก่อนมองซูหมิงอีกครั้ง กระทั่งบางคนยิ้มแล้วประสานมือคารวะ
พวกเขาสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ที่นี่ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
ส่วนเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนไป๋หลิงทุกประการแต่มิใช่ไป๋หลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางมองซูหมิง แววตายังคงไม่เป็นมิตร ทว่าก็พูดกับซูหมิงเป็นครั้งแรก
“ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่าชื่ออะไร เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ความลับ เจ้าเป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วคงได้รู้ ข้าชื่อไป๋ซู่ หวังว่าเจ้าจะคืนของพี่ใหญ่ซือหม่ามา อย่าเอาของคนอื่นไปอย่างไร้เหตุผล เพราะมันน่ารังเกียจ!”