Skip to content

สู่วิถีอสุรา 241

ตอนที่ 241 เฉินเซียง

ซูหมิงที่หมุนตัวจะเดินกลับไปทางหู่จื่อถึงกับหยุดชะงัก ทว่าก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่ได้หันหน้ากลับ แต่เดินลงไปทางหู่จื่อที่กำลังนอนกรนบนพื้นดิน

ไป๋ซู่เห็นซูหมิงมีท่าทีเหมือนไม่ได้ยิน จึงขมวดคิ้วงาม ทำสีหน้ารังเกียจ แล้วหมุนตัวตามซือหม่าซิ่นไป เงาร่างของนางอรชรอ้อนแอ้น โดยเฉพาะแผ่นหลังขณะกำลังจากไป วาดออกมาเป็นเค้าโครงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความงามแบบดื้อรั้นท่ามกลางสายลม

จนถึงตอนนี้ซูหมิงก็มิได้หันกลับไปมองไป๋ซู่ สตรีคนนี้สำหรับเขาแล้วไม่ต่างจากคนอื่น มีเพียงอย่างเดียวคือใบหน้าของนางที่ทำให้เกิดคลื่นความรู้สึกลูกใหญ่ก่อนหน้านี้

เพียงแต่ตอนนี้คลื่นลูกใหญ่ได้สงบลงแล้ว

ความสงสัยในใจเขามิใช่เรื่องไป๋ซู่

แต่เป็นการกระทำของอาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายของยอดเขาลำดับสี่ เสียงที่ดังกึกก้องเข้ามาก่อนหน้านี้เหมือนจะปกป้องเขาอย่างเห็นได้ชัด

‘ข้าไม่สนิทชิดเชื้อกับอาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้าย เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้…..’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ในความคิดปรากฏเงาร่างของอาจารย์เทียนเสียจื่อ

หู่จื่อยังคงนอนกรน น้ำลายไหลมาจากมุมปากไม่น้อย ใบหน้ายิ้มซื่อๆ ราวกับกำลังฝันดียิ่ง จื่อเชอยืนอย่างนอบน้อมด้านข้าง พอเห็นซูหมิงกลับมาก็รีบประสานมือคารวะ

“คารวะอาจารย์อาซู”

ความนอบน้อมของเขาไม่เหมือนแสร้งทำ แต่มาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ หลังจากเห็นซูหมิงต่อสู้กับซือหม่าซิ่นแล้ว ในใจเขารู้สึกว่าตนโชคดีหลายครั้ง ตอนแรกที่ตนไปหาเรื่องซูหมิง ดีที่เจอศิษย์พี่รองของซูหมิงก่อน

มิเช่นนั้นแล้ว หากเขาประมือกับซูหมิงในตอนนั้น เผชิญหน้ากับวิชาและอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ที่เห็นในวันนี้ เขาจื่อเชอไม่มั่นใจเลยว่าจะเอาชนะซูหมิงได้

‘บีบให้ซือหม่าซิ่นต้องใช้ยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจ ภายภาคหน้าในสำนักเหมันต์สวรรค์ ซูหมิงจะต้องยิ่งใหญ่เป็นแน่!’ จื่อเชอมั่นใจในจุดนี้ยิ่งนัก โดยเฉพาะตอนนึกถึงพลังชั่วร้ายจากในตัวอีกฝ่ายกับคำพูดสงบนิ่งตอนอยู่ในถ้ำของหู่จื่อ ความเคารพพลันกลายเป็นความยำเกรง

ซูหมิงพยักหน้า ช่วงที่เขาเหยียบเท้าบนพื้นดิน เหอเฟิงบนท้องฟ้าก็ห้อเหยียดเข้ามาในสภาพย่ำแย่ เพราะซือหม่าซิ่นไปแล้ว วิญญาณหมาป่าน้ำแข็งก็เลยตามไปด้วย ยามนี้เหอเฟิงเข้ามาใกล้ซูหมิง เงาร่างของเขาดูสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าสายตาที่มองซูหมิงกลับยำเกรงมากกว่าจื่อเชอ

พูดได้ว่าเขาเห็นซูหมิงตั้งแต่ตอนยังอ่อนหัดเดินมาทีละก้าวจนถึงวันนี้ อีกฝ่ายตอนนี้ต่างจากยามนั้นราวฟ้ากับดิน และเป็นเพราะเขาเห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นความเคารพยำเกรงต่อซูหมิงจึงมากกว่าคนอื่น

เขารู้ว่าซูหมิงมิใช่พวกคนมีใจบุญสุนทาน แต่เป็นคนลงมือเหี้ยมโหด เจ้าคิดเจ้าแค้น

“นายท่าน…” เหอเฟิงก้มคารวะซูหมิง สีหน้าอับอายขายหน้า

“นายท่าน พลังข้าน้อยสู้วิญญาณหมาป่านั่นไม่ได้ แต่นายท่านวางใจเถอะ ข้าน้อยจะหมั่นเพียรเพิ่มการฝึกฝน ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันหนึ่งที่เป็นกำลังแขนให้กับนายท่านได้! จะไม่ให้นายท่านขายหน้าแน่นอน” เหอเฟิงเงยหน้าตบหน้าอก กล่าวรับรองไม่หยุด

“กลับมาเถอะ” ซูหมิงมองเหอเฟิงแวบหนึ่ง ยกมือขวาคว้าอากาศ โอสถชิงวิญญาณกับระฆังเขาหานตรงเข้ามาหาเขา บินวนรอบตัวหลายรอบ ก่อนโอสถชิงวิญญาณจะเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ ส่วนระฆังเขาหานหลอมรวมกับซูหมิงแล้วค่อยๆ หายไป

จนกระทั่งเหอเฟิงก็หายเข้าไปในตัวซูหมิงอย่างรวดเร็ว ซูหมิงจึงค่อยหมุนตัวกลับ มองไปทางวิหารวัตถุด้านหลังหรือเป้าหมายที่เขามาในครั้งนี้

เวลานี้นอกวิหารวัตถุ ชายหนุ่มที่หู่จื่อบอกว่าเป็นหญิงแต่งชาย

พอเห็นซูหมิงมองมา สีหน้าท่าทางต่างจากตอนก่อนซือหม่าซิ่นมาอย่างชัดเจน เขาในตอนนั้นทั้งรังเกียจและจำใจ หากหลบได้ก็หลบ เพราะรังเกียจหู่จื่อก็เลยเกลียดทุกคนที่มากับหู่จื่อตามไปด้วย

ทว่าตอนนี้เขามีสีหน้าเคารพยำเกรง ยามซูหมิงมองมา เขาเดินหน้ามาหลายก้าว แล้วประสานมือก้มคารวะซูหมิง

“ผู้เยาว์เฉินเซียง คารวะอาจารย์อาซู”

เฉินเซียงเกิดมาหล่อเหลายิ่งนัก คิ้วและดวงตาดุจภาพวาด เพียงแต่ว่าเพราะการอำพราง ผิวหนังจึงค่อนข้างคล้ำ เหมือนกับอำพรางประกายแสงไข่มุกล้ำค่า ทำให้มองไม่ออกในแวบแรกว่าเป็นชายหรือหญิง

อาภรณ์หลวมของเขาซ่อนรูปร่างโฉมงามไว้ภายใน หากหู่จื่อไม่บอกว่าบุคคลนี้เป็นหญิงแต่งชาย ซูหมิงคงมองไม่ออก ทว่ายามนี้เขามองอีกฝ่าย จึงเริ่มมองเห็นถึงความต่างเล็กน้อย

แต่ซูหมิงมิได้มองมากนัก ละสายตากลับ

“ข้าอยากเข้าไปเลือกกระดาษสักเล็กน้อยในวิหารวัตถุ หวังว่าจะเปิดทางให้”

ซูหมิงมิได้วางมาดอาจารย์อา กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

เฉินเซียงรีบพยักหน้า ถอยหลังไปหลายเพื่อก้าวเปิดทางให้ด้วยสีหน้าเคารพ

“อาจารย์อาซูเชิญ ปกติผู้เยาว์จะดูแลวิหารวัตถุนี้ ผู้อาวุโสเชิญเข้าไปรอด้านในก่อนสักครู่ ผู้เยาว์จะไปนำกระดาษที่ต้องการมาให้ท่าน”

ภายใต้การนำทางด้วยความนอบน้อมของเฉินเซียง ซูหมิงเดินเข้ามาในวิหารวัตถุ ส่วนจื่อเชอรออยู่ด้านนอกคอยดูแลหู่จื่อที่กำลังนอนกรน ไม่มีคำสั่งจากซูหมิง เขาเลยไม่กล้าตามเข้ามา

หากเปลี่ยนเป็นก่อนซูหมิงต่อสู้กับซือหม่าซิ่น เขาจื่อเชออาจเป็นเช่นนี้ ทว่าก็จะไม่มีคำถามว่ากล้าหรือไม่กล้า แต่ตอนนี้ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของซูหมิงด้วยตาตัวเอง จื่อเชอจึงมองยอดเขาลำดับเก้าในมุมใหม่

ในความคิดเขา คนยอดเขาลำดับเก้าล้วนมีนิสัยแปลก แม้จะแปลก แต่นอกจากหู่จื่อแล้วทุกคนน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่ง ชายอ่อนโยนที่ชอบปลูกพืชดอกก็เป็นเช่นนี้

ซูหมิงที่เผยพลังชั่วร้ายตรงหน้าก็เป็นเช่นนี้ และยังมีศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขา คนที่ชอบปิดด่านฝึกพลังตลอดทั้งปี ในการคาดเดาของจื่อเชอก็น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า!

‘นี่คือยอดเขาลำดับเก้าขนานแท้ ข่าวลือพวกนั้นเป็นของปลอม…มีแต่ต้องอยู่ยอดเขาลำดับเก้าเท่านั้น ถึงจะเข้าใจความน่ากลัวของคนประหลาดพวกนี้…’ จื่อเชอสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกรางๆ ว่าการเข้ามาอยู่ยอดเขาลำดับเก้า สำหรับตนแล้วมิใช่เรื่องเลวร้าย มีความเป็นไปได้สูงมากว่านี่จะเป็นโอกาสของตน

คิดไปคิดมา เสียงกรนที่เป็นจังหวะของหู่จื่อดังแว่วมาข้างหู เสียงนั้นตอนกลางวันดูเหมือนจะไม่ดังมากนัก ทว่าเมื่อเป็นยามค่ำคืนเงียบสงบ หากคนอื่นได้ยินเสียงนี้ในป่าเขา จะต้องหน้าเปลี่ยนสี คิดว่าเป็นสัตว์ร้ายแน่นอน

เสียงกรนของหู่จื่อราวกับเสียงคำราม สั่นสะเทือนสองหู

จื่อเชอหันกลับไปมองหู่จื่อแวบหนึ่ง นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจ

‘เกรงว่าเขาก็น่าจะไม่ธรรมดาเช่นกัน…’ จื่อเชอนึกถึงตอนอยู่ในถ้ำของหู่จื่อ ถูกอีกฝ่ายจับสองมือพาเข้าฝัน ใบหน้าก็ค่อยๆ ซีดขาว

‘เข้าฝัน…เข้าฝัน….หากเขาพาคนอื่นเข้าฝันได้ตลอดเวลา พลังแบบนี้มันน่ากลัวยิ่งนัก!

สัตว์ประหลาด ยอดเขาลำดับเก้ามีแต่สัตว์ประหลาด!’ จื่อเชอยิ่งคิดยิ่งร้อนรน ขณะเดียวกัน ยิ่งเขาตื่นตะลึงเท่าไรก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น!

ซูหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในวิหารวัตถุ โต๊ะตรงหน้าเขาวางตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง แม้เป็นยามกลางวัน ทว่าแสงไฟก็ยังคงส่องสว่างโดยรอบ

วิหารวัตถุนี้ไม่นับว่าใหญ่มากและก็ไม่เล็กมาก มีชั้นวางเรียงเป็นแถวๆ ด้านบนวางสิ่งของหลากชนิด บ้างดูชำรุด บ้างก็ยังใหม่อยู่

อีกทั้งข้างชั้นวางเหล่านั้นยังปรากฏเงาร่างของเฉินเซียงบ่อยครั้ง เขาเดินไปเดินมาอย่างเร็ว แยกกระดาษที่ต่างกันแต่ละชนิด ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หยิบกระดาษเหล่านั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง หลังจากวางไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อมแล้ว ก็ถอยหลังไปหลายก้าว ก้มหน้าลงกล่าวเบาๆ

“อาจารย์อาซู ของในวิหารวัตถุนี้ยังไม่ครบถ้วน ก็เลยมีแต่กระดาษชนิดเหล่านี้ ท่านดูหน่อยว่าต้องการชนิดไหน ข้าจะไปเอามาเพิ่มให้ กระดาษพวกนี้ปกติแล้วจะมีศิษย์แต่ละยอดเขามาลงนามขอไปใช้เป็นประจำ หากท่านคิดว่าไม่พอ ข้ายังมีบันทึกไม้ไผ่อีกเยอะ” เฉินเซียงกล่าวพลางเหลือบตามองซูหมิง

ซูหมิงพยักหน้า มองกระดาษเหล่านั้นบนโต๊ะ ส่วนใหญ่หยาบยิ่งนัก เป็นสีน้ำตาลเข้ม ในนั้นมีไม่น้อยที่เทียบไม่ได้กับหนังสัตว์

“เอ่อ…..อาจารย์อาซู ที่นี่มีแค่นี้ ถ้าไม่อย่างนั้นท่านลองไปดูด้วยตัวเองและหาของที่แทนกันได้ดีหรือไม่” เฉินเซียงเห็นซูหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงรีบกล่าว

ซูหมิงได้ยินดังนั้นจึงยืนขึ้น เดินไปทางชั้นวางเรียงราย เดินมาได้ไม่ไกลก็พลันหยุดชะงัก ชี้ไปข้างกายแล้วมองเฉินเซียง

“สิ่งนี้มีเท่าไร”

เฉินเซียงเดินตามหลังซูหมิง พลันมองไปตามมือของเขา มันเป็นแผ่นไม้สีขาวกว้างราวฝ่ามือ ยาวเท่าแขนแผ่นหนึ่ง สีของมันเป็นสีขาวมันวาว ดูสะอาดบริสุทธิ์

“นี่คือไม้แรดขาว ไม้ชนิดนี้ไม่มีในบริเวณสำนักเหมันต์สวรรค์ ได้ยินว่าอยู่ทางตะวันออกของสำนัก เติบโตนอกเขตประมาณหนึ่งแสนกว่าลี้ เพราะสีสวยจึงถูกนำมาใช้ทำเป็นเก้าอี้บ่อยๆ…มันยังมีเหลืออยู่อีกเล็กน้อย” ขณะเฉินเซียงกล่าว เขารีบสาวเท้าเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ไม้ลักษณะแบบเดียวกันมาสิบกว่าแผ่น

“อาจารย์อาซู มีแค่เท่านี้”

“ขอบใจเจ้ามาก แค่นี้ก็พอแล้ว” ซูหมิงยิ้มบาง รับแผ่นไม้สีขาวเหล่านั้นมา ก่อนสะบัดมือขวา แผ่นไม้เหล่านั้นพลันหายเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ

“ส่วนราคาไม้พวกนี้…” ซูหมิงมองเฉินเซียง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

“อาจารย์อาซูคิดมากเกินไปแล้ว ท่านเพิ่งมาสำนักเหมันต์สวรรค์ ของพวกนี้มิใช่ของล้ำค่าอะไร ผู้เยาว์จะจัดการให้เอง ท่านเอาไปได้เลย” เฉินเซียงรีบโบกมือปฏิเสธส่งเสียงหัวเราะ รอยยิ้มของเขายามนี้มองไปแล้วเผยช่องโหว่เรื่องหญิงแปลงชายออกมาโดยธรรมชาติ

ทว่าเรื่องแบบนี้ ซูหมิงเชื่อว่าไม่ใช่หู่จื่อที่มองออกเป็นคนแรก ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ไม่อยากพูดของตัวเอง เฉินเซียงปลอมตัวเช่นนี้ในสำนักเหมันต์สวรรค์มาหลายปีได้ จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก” ซูหมิงไม่ปฏิเสธ พยักหน้าให้เฉินเซียง

“ใช่แล้ว อาจารย์อาซู ท่านใช้ไม้แรดขาวพวกนี้ ดูท่าคงอยากจะทำเป็นแผ่นไม้บันทึก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องใช้เชือกพิเศษด้วย…” ระหว่างเฉินเซียงกล่าว เขาดึงเส้นสีขาวออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ซูหมิง

“ตอนข้าหาไม้แรดขาวก็เจอสิ่งนี้พอดี มันวางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ได้ยินว่าเป็นเส้นเอ็นของสัตว์ร้ายบางชนิด มีความทนทานยิ่งนัก น่าจะใช้เป็นเชือกเอาไว้ร้อยบันทึกไม้ได้”

ซูหมิงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปรับ แต่หลังจากมองเฉินเซียงกล่าวแล้ว สีหน้าก็ดูทีเล่นทีจริง บุคคลตรงหน้ามอบแผ่นไม้ให้เขาก็ยังพอเข้าใจได้ว่าอยากจะผูกมิตร แต่พอมอบเส้นเอ็นสัตว์ร้ายให้อีก นี่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่แค่การผูกมิตร ถึงอย่างไรซูหมิงก็มิใช่อาจารย์อาในความหมายจริงๆ

เห็นซูหมิงทำสีหน้าเช่นนี้ เฉินเซียงพลันมีสีหน้าวางตัวไม่ถูก หลังจากลังเลครู่หนึ่งแล้ว จึงกัดฟันขาวคารวะซูหมิง

“อาจารย์อาโปรดช่วยข้าด้วย….”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!