ตอนที่ 247 พี่สาว
“พี่สาว…” เส้นเลือดบนใบหน้าจื่อเชอเต้นตุบๆ พลันยืนขึ้นเดินออกไป พริบตาเดียวก็มาถึงก้อนน้ำแข็ง ก่อนปล่อยหมัดเข้าใส่ เสียงโครมดังสนั่น ก้อนน้ำแข็งพลันแหลกเป็นเสี่ยงๆ
เงารางบนก้อนน้ำแข็งหายตามไปด้วย ทว่าก่อนหายไป สตรีในนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ราวกับหันมามองแวบหนึ่ง
หู่จื่อบังเกิดโทสะ เขาถลึงตามอง กระโจนเข้ามาประดุจพยัคฆ์ พร้อมแผดเสียงตะโกน
“เจ้ากล้าทำลายสิ่งประดิษฐ์ชั้นยอดที่ท่านหู่คนนี้อุตส่าห์ทำขึ้น ข้าจะสู้กับเจ้า!”
ซูหมิงมีสีหน้าประหลาดใจ เขาเคารพและให้ความสำคัญกับนิสัยแปลกของหู่จื่อ แต่เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ช่วงที่จื่อเชอทำลายก้อนน้ำแข็ง เขาเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจสองเสียงดังเบาๆ มาจากโดยรอบ
“นางเป็นพี่สาวข้า! เป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้า!” จื่อเชอมีสีหน้าโกรธแค้น แผดเสียงตะโกนใส่หู่จื่อที่กำลังตรงเข้ามา
เดิมทีหู่จื่อโมโหยิ่งนัก ทว่าพอได้ยินคำพูดของจื่อเชอกลับตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนสลายพลังหายไป ร่างหยุดชะงักอย่างรวดเร็ว เขาส่ายศีรษะ มีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลายเป็นเมินเฉย
“ช่างเถอะๆ ท่านหู่คนนี้ใจกว้างจะตาย พังแล้วก็ช่างมันเถิด อย่างมากข้าก็แค่สร้างใหม่”
จื่อเชอหายใจกระชั้นถี่ จ้องหู่จื่อเขม็ง เส้นเลือดดำปูดบนใบหน้ามากขึ้น
“โอ๊ย เอาละๆ ข้าจะไม่มองพี่สาวเจ้าอีก” หู่จื่อเสียความมั่นใจเล็กน้อย รีบกล่าว
“จริงรึ!” จื่อเชอกล่าวทันที
“จริงๆ สำนักเหมันต์สวรรค์มีคนอีกตั้งเยอะ บอกว่าไม่ดูก็ไม่ดูแล้วสิ แต่เจ้าอย่าบอกพี่สาวของเจ้าล่ะ” หู่จื่อรีบกล่าวรับรอง
จื่อเชอมีสีหน้าทะมึน พอเห็นสีหน้าและท่าทางเสียความมั่นใจของหู่จื่อ ก็อดยิ้มแห้งๆ มิได้ ตัวเขากลับมีเหงื่อโซม มองไปทางซูหมิงโดยไม่รู้ตัว
ซูหมิงมีสีหน้าประหลาดใจ ไม่ได้สนใจหู่จื่อและจื่อเชอ แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็เดินวนไปรอบๆ คล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง
ท่าทางแปลกๆ ของเขาดึงความสนใจของหู่จื่อและจื่อเชอทันที ทั้งสองคนก็มองไปรอบๆ เช่นกัน
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ากำลังหาอะไร?” หู่จื่อเผยสีหน้าตื่นเต้น รีบเดินย่องเข้ามาใกล้ซูหมิงแล้วกระซิบถาม กล่าวพลางสังเกตอย่างละเอียด
ซูหมิงหยุดฝีก้าว มองธารน้ำแข็งตรงหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ส่ายหน้าแล้วมองหู่จื่อ
“ศิษย์พี่สาม ห้องของเฉินเซียง…ไม่ต้องไปแอบมองอีกแล้วได้รึไม่”
หู่จื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า ทว่าไม่นานสีหน้าก็เกิดความลังเลใจ ยิ้มน้อยๆ มองซูหมิงอย่างมีเลศนัย
เห็นหู่จื่อยิ้ม ซูหมิงจึงคิดจะกล่าว
“ข้าเข้าใจๆ…เฮอะๆ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่ต้องอธิบายแล้ว มีเรื่องไหนบ้างที่ศิษย์พี่สามของเจ้าจะไม่รู้ ศิษย์พี่สามของเจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดบนยอดเขาลำดับเก้านะ”
ซูหมิงเพียงฝืนยิ้ม เขารู้ดีว่าเรื่องนี้อธิบายยากเลยไม่อธิบายมันเสียเลย และประสานมือคารวะหู่จื่อ
“เกรงใจอะไร พวกเราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ใช่แล้วศิษย์น้องเล็ก วิชาเข้าฝันของศิษย์พี่สามร้ายกาจใช่รึไม่ คงจะไล่ตะเพิดซือหม่าซิ่นไปได้ล่ะสิ
หึหึ จากนี้ศิษย์น้องเล็กวางใจเถอะ การเข้าฝันของข้ายังไม่สมบูรณ์ หากสมบูรณ์เมื่อไรจะน่ากลัวกว่านี้” ยามหู่จื่อกล่าว เขามีสีหน้าลำพองใจพลางตบหน้าอกตัวเอง
ขณะกำลังจะเอ่ย เขาพลันเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่คุยกับเจ้าไม่ได้แล้ว ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ศิษย์พี่ต้องรีบไปยอดเขาลำดับแปด เจ้าจะไปด้วยหรือไม่?” หู่จื่อมองซูหมิง เห็นซูหมิงส่ายหน้าจึงบินจากไปด้วยความว่องไว กลายเป็นสายรุ้งยาวทะยานหายไปในเงามืด เพียงแต่เงาแผ่นหลังของเขา ในสายตาซูหมิงดูเหมือนสลดลงเล็กน้อย
โดยเฉพาะหลังจากเห็นสีหน้าอดกลั้นของจื่อเชอ เห็นได้ชัดว่าเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา เขาก็เก้อเขินและเสียความมั่นใจเล็กน้อย จึงรีบร้อนจากไป
“คราวหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก ไม่ว่าเขาจะทำผิดต่อเจ้าอย่างไร หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะใช้เจ้าเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถ” ซูหมิงหมุนตัวกลับ มองจื่อเชอด้วยความเย็นชา
จื่อเชอจิตใจสั่นไหว รู้สึกคับอกคับใจเล็กน้อย แต่พอเห็นความเย็นชาจากแววตาซูหมิงก็ก้มหน้าลงขานรับ
“ก้อนน้ำแข็งนั่นขมุกขมัวจนมองไม่เห็นอะไรเลย อีกอย่างศิษย์พี่ข้าก็บอกแล้ว จะไม่ดูพี่สาวเจ้าอีก ปล่อยวางเถอะ” ซูหมิงกล่าวพลางเดินไกลออกไป
จื่อเชอลอบถอนหายใจโล่งอก มิใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเหตุผล แม้ซูหมิงจะกล่าวเช่นนั้น ก็มิได้ทำอะไรเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ เพียงกล่าวเตือนว่าอย่าทำเช่นนี้อีก นี่ถือเป็นการให้เกียรติเขาไปโดยปริยาย
หลังจากซูหมิงกับจื่อเชอไปแล้ว ตรงจุดเศษน้ำแข็งกระจายเต็มพื้นมีเงาคนบินเข้ามาจากไกลๆ อย่างรวดเร็ว เงาร่างคนนั้นเข้ามาอย่างระมัดระวัง ยืนมองไปมารอบๆ อยู่ตรงนั้น แล้วรีบนั่งยองโกยเศษน้ำแข็ง
เขาก้มตัวแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ดูจากเงาคนร่างกำยำแล้วเห็นได้ชัดว่าคือหู่จื่อ
“ซวยจริง เพิ่งทำของสิ่งนี้ครั้งแรก กำลังมองเพลินๆ เลย ไม่คิดเลยว่าจะเจอน้องชายของนาง เหตุใดข้าถึงได้ลืมเรื่องนี้ไป…ช่างเถอะ ครั้งหน้าระวังให้มากกว่านี้ก็พอ” หู่จื่อพึมพำเบาๆ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
หู่จื่อจากไปเพียงครู่หนึ่ง ตรงธารน้ำแข็งที่ซูหมิงเพ่งมองไปก่อนหน้านี้ ยามนี้มวลอากาศบิดเบี้ยว ค่อยๆ มีร่างคนหล่อเหลาเดินออกมา
เขามีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงอ่อนโยนเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิ บุคคลนี้ก็คือศิษย์พี่รอง
เมื่อเขาปรากฏตัว ก็กระแอมเสียงหลายครั้ง
“เกือบถูกศิษย์น้องเล็กจับได้แล้ว นี่ต้องโทษน้องสาม ดันสร้างของดีๆ แบบนี้ขึ้นมา…” ศิษย์พี่รองพึมพำก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากศิษย์พี่รองจากไป ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ระหว่างที่มวลอากาศเกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยวอีกครั้ง มีชายชราสวมเสื้อคลุมยาวเป็นสีสันดอกไม้เดินออกมาจากด้านใน
ชายชราคนนี้ก้าวเท้าออกมาไวๆ แล้วตบเสื้อคลุมอย่างสงบนิ่ง เอามือไพล่หลังเดินไปทางส่วนยอดเขาอย่างมั่นคง สีหน้าเขาเหมือนเป็นปกติ ทว่าแววตากลับภูมิใจ
“ไม่เลวเลยเจ้าสาม สร้างของเล่นดีๆ แบบนี้ได้…น่าเสียดายที่ถูกทำลายเสียแล้ว…ทว่าด้วยนิสัยของศิษย์สาม อีกไม่กี่วันก็จะสร้างขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังทนทานกว่าเดิม ไม่มีทางถูกทำลายในหมัดเดียวแน่นอน น่าเสียดายๆ…แต่เจ้าสี่เองก็ว่องไวและเฉียบแหลมยิ่งนัก ไม่อยากเชื่อว่าเกือบจะจับเจ้ารองได้…หึหึ ทว่าหากคิดจะจับอาจารย์ พวกเจ้ายังอ่อนเกินไป” ชายชรากล่าวพึมพำ เดินอย่างลำพองใจ
เขาก็คือ…เทียนเสียจื่อ!
เวลาค่อยๆ ผ่านไปท่ามกลางความเงียบสงบ ช่วงเวลานั้นหู่จื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์และแอบมอง ส่วนศิษย์พี่รองก็ปลูกพืชยามกลางวันและมาขโมยยามกลางคืน บางครั้งก็มาเห็นหู่จื่อกำลังมองก้อนน้ำแข็งโดยมิได้ตั้งใจ แน่นอนยังมีเทียนเสียจื่อเงาคนเสื้อคลุมสีสันดอกไม้เคลื่อนไหวเป็นบางครั้ง
ไม่นานก็ผ่านไปสองเดือน
ภายในสองเดือนนี้ การต่อสู้ระหว่างซูหมิงกับซือหม่าซิ่นเริ่มแพร่สะพัดไปในสำนักเหมันต์สวรรค์ ศิษย์ยอดเขาทั้งแปดแทบทุกคนเริ่มรู้ว่ายอดเขาลำดับเก้ามีคนที่มีขั้นพลังสูงส่งพอจะประมือกับซือหม่าซิ่น และยังรู้อีกว่าบุคคลนั้นเป็นแม่ทัพเทพชำระล้าง
ชื่อเสียงของเขาเลื่องลืออย่างรวดเร็ว การต่อสู้ระหว่างเขากับซือหม่าซิ่น ทำให้กระดานจัดอันดับของแผ่นดินเหมันต์มีชื่อเขาเพิ่มเข้ามา
กระดานจัดอันดับแผ่นดินเหมันต์ อันดับเก้า เข้ามาแทนที่จื่อเชอ
เหตุที่เขาอยู่อันดับเก้าก็เพราะการต่อสู้กับซือหม่าซิ่นยังไม่รู้ผล
แม้ว่าผู้คนจะทราบถึงพลังของซูหมิง ทว่าไม่รู้โดยละเอียด ในการต่อสู้กับซือหม่าซิ่น เห็นได้ชัดว่าซือหม่าซิ่นแข็งแกร่งกว่าซูหมิง
โดยเฉพาะการปะทะกันครั้งสุดท้ายที่ต้องหยุดลง ผู้คนมากมายเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ภายในเวลาสองเดือนนี้ นอกจากชื่อเสียงเลื่องลือของซูหมิงแล้ว ในสำนักเหมันต์สวรรค์ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือการเตรียมตัวครั้งสำคัญ
มันคือสงครามหมอกนภาล่าเชมันในทุกๆ สิบปี เหลืออีกสิบเดือนก็จะมาถึงแล้ว พูดถึงสงครามหมอกนภาล่าเชมัน เป็นขนบธรรมเนียมที่สำคัญของสำนักเหมันต์สวรรค์
มันจัดขึ้นในทุกๆ สิบปี ศิษย์ที่เข้าร่วมทุกครั้งมีหลายพันเฉียดหมื่นคน ขณะเดียวกัน เผ่าใหญ่ทะเลตะวันออกอีกด้านหนึ่งของแดนอรุณใต้
สำนักทะเลตะวันออกของทางเผ่าก็จะส่งศิษย์ออกไปต่อสู้กับเผ่าเชมันเคียงข้างกับสำนักเหมันต์สวรรค์
ถึงตอนนั้น เมื่อสงครามล่าเชมันเริ่มต้นขึ้น ศิษย์ของทั้งสองสำนักจะอยู่บนกำแพงหมอกนภาและสร้างความน่าสะพรึงให้กับเผ่าเชมัน อีกทั้งยังจัดแบ่งคนที่มากพอเดินทางออกนอกกำแพงหมอกนภา แล้วเข้าไปในเขตของเผ่าเชมันที่กำหนดไว้
สงครามหมอกนภาล่าเชมันทุกครั้งจะใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม
หนึ่งปีนี้ สำหรับศิษย์ที่เข้าร่วมสงครามทั้งหมดแล้ว ถือเป็นการทดสอบและขัดเกลาที่หฤโหดยิ่งนัก กระบี่ล้ำค่าจะหักหรือเปล่งแสงเฉียบคมก็ต้องดูที่หนึ่งปีนี้
ทว่า มิใช่การล่าเชมันทุกครั้งที่จะเกิดสงครามครั้งใหญ่ ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการล่าเชมันนับครั้งไม่ถ้วน แต่มีเพียงสิบกว่าครั้งเท่านั้นที่ดุเดือดถึงขีดสุด ช่วงเวลาที่เหลือส่วนใหญ่จะค่อนข้างสงบ
เพียงครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ โดยสิ้นเชิง หมอกนภาล่าเชมันอีกสิบเดือนให้หลังนี้คือสงครามครั้งใหญ่ในทุกๆ หนึ่งร้อยปี!
หมอกนภาล่าเชมันที่จัดขึ้นในทุกสิบปีถือเป็นสงครามขนาดเล็ก และหลังจากจัดขึ้นสิบครั้งก็จะเป็นสงครามร้อยปี ขนาดของมันใหญ่กว่าไม่น้อย นี่คือแบบแผนที่สองเผ่าใหญ่ในแดนอรุณใต้ยึดถือเมื่อนานมาแล้ว สาเหตุที่จัดบ่อยเช่นนี้ อีกทั้งทุกร้อยปียังจัดครั้งใหญ่ ก็เพื่อให้เข้าใจถึงความเร็วในการพัฒนาขุมพลังของเผ่าเชมันตลอดเวลา
เพื่อดูว่ามีอัจฉริยะถือกำเนิดหรือไม่ มีวิชาเชมันอะไรใหม่ๆ หรือไม่ มีนักรบเชมันเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญของสงครามในทุกสิบปี
ในสำนักเหมันต์สวรรค์ ศิษย์ที่เข้าร่วมสงครามหมอกนภาล่าเชมันติดต่อกันหลายครั้งมีเยอะมาก แต่ก็มีคนที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อนเช่นกัน ทว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ศิษย์ส่วนใหญ่จะคุ้นชินกับเรื่องนี้ ภายในเวลาสิบเดือน คนที่รู้ตัวว่าจะเข้าร่วมสงครามล้วนต้องเตรียมตัวและปิดด่านฝึกพลัง
บนยอดเขาลำดับเก้า ท่ามกลางความเงียบสงบตลอดสองเดือน ยังมีเรื่องที่ไม่สงบอีกหลายเรื่อง พี่สาวของจื่อเชอบุกมายอดเขาแห่งนี้หลายครั้ง และพุ่งเป้าหมายไปที่หู่จื่อ
ยามนี้ซูหมิงกำลังนั่งฌานอยู่บนแท่นราบนอกถ้ำ ท้องฟ้าสดใส เขานั่งอยู่ตรงนั้น วางมือขวาบนแผ่นกระดานภาพตรงหน้า และตวัดลายเส้นหลายครั้ง
การเคลื่อนไหวของเขาช้ายิ่งนัก ทว่าคล้ายมีความรู้สึกของกาลเวลาโชกโชนค่อยๆ ปล่อยออกมาจากนิ้วมือขณะกำลังวาด
เขากำลังลอกแบบ สองเดือนมานี้เขาลอกแบบกระบี่เล่มนั้นของซือหม่าซิ่นตลอด อยากจะหาความรู้สึกในตอนนั้นให้พบ
จื่อเชออยู่ด้านข้าง มองด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ราวกับอยากหาความเข้าใจของตัวเองจากลายเส้นนั้น
ทว่าทันใดนั้น!
“ซุนต้าหู่ เจ้าโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเย็นเยือกของสตรีดังมาจากนอกยอดเขาลำดับเก้า
“ยายแก่เหม็นโฉ่ เหตุใดถึงมาหาเรื่องแต่ข้า ตอนนั้นน้องชายเจ้าก็เห็น ศิษย์น้องเล็กซูหมิงก็เห็น!” เสียงของหู่จื่อดังแว่วเข้ามา ดูจะคับอกคับใจยิ่งนัก
จื่อเชอพลันมีสีหน้าทำตัวไม่ถูก ซูหมิงเงยหน้าขึ้นยิ้มเฝื่อน



