Skip to content

สู่วิถีอสุรา 250

ตอนที่ 250 การแปรเปลี่ยนของเหอเฟิง

“ทุกครั้งที่อาจารย์ใส่ชุดคลุมม่วงจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น…นั่นเป็นความทรงจำที่ทำให้ข้าไม่มีวันลืมมาจนถึงทุกวันนี้…” ศิษย์พี่รองถอนหายใจยาว ยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ แล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าวเบาๆ ให้แสงตะวันส่องซีกหน้า เอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้า มีสีหน้าหวนคะนึงคิด

หู่จื่อด้านข้างเหม่อมองศิษย์พี่รอง กลืนน้ำลายลงคอ กล่าวพึมพำหลายประโยค เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่รองมีนิสัยแปลกเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไร มักจะชอบเอียงศีรษะมองคนอื่นภายใต้แสงตะวันเช่นนี้

จื่อเชออยู่ไม่ไกล น้อยนักที่เขาจะเห็นอาจารย์อาฮวามีสีหน้าเช่นนี้ จึงอดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้

ซูหมิงมองศิษย์พี่รองแวบหนึ่ง ก้มหน้าลง แล้วลอกแบบกระบี่ของซือหม่าซิ่นบนกระดานภาพต่อ

“ข้าไม่มีวันลืมความทรงจำช่วงนั้นไปชั่วชีวิต มันเกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีก่อน ในค่ำคืนพายุเดือนมืด…” ศิษย์พี่รองเงยหน้า สีหน้าซับซ้อน

“ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ยังปิดด่านฝึกพลังอยู่ ข้ากำลังนั่งฌานอยู่ในถ้ำ ทันใดนั้น…” ศิษย์พี่รองพลันหยุด กวาดสายตามองจื่อเชอและหู่จื่อ ท้ายที่สุดก็มองซูหมิง

เห็นซูหมิงเงยหน้ามองเช่นกัน ศิษย์พี่รองจึงกล่าวเสียงดังกังวานอีกครั้ง

“อาจารย์สวมชุดม่วงบุกมาถ้ำของข้า…ข้าลืมไม่ลงจริงๆ ตอนนั้นอาจารย์ถามข้าประโยคหนึ่ง เขาถามข้าว่า…ประลองฝีมือเป็นหรือไม่…ข้าตอบไปว่าเป็น ผลสุดท้าย…พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี หากเห็นอาจารย์สวมชุดคลุมม่วงมาถ้ำของพวกเจ้าแล้วถามคำถามนี้ ให้ตอบไปว่าไม่เป็น!” ศิษย์พี่รองมองหู่จื่อกับซูหมิงอย่างจริงจัง จากนั้นส่ายศีรษะเดินไกลออกไป จังหวะก้าวของเขาแปลกยิ่งนัก แม้จะเดินไกลออกไป ทว่าก็ยังคงให้แสงตะวันส่องเสี้ยวหน้าเขาตลอด

หู่จื่อกะพริบตาปริบๆ เขาคิดเสมอว่าเขาฉลาดที่สุด ในความคิดผุดคำพูดเมื่อครู่ของศิษย์พี่รอง แต่ไม่ได้คล้อยตาม แอบคิดว่าศิษย์พี่รองใช้คำพูดลึกลับเพื่อให้ตัวเองยากจะคาดเดา หากอาจารย์สวมชุดม่วงมาหาเขาจริงๆ เขาจะไม่เชื่อคำพูดของศิษย์พี่รองเด็ดขาด จะตอบไปว่าเป็นแน่

‘ข้าอยากรู้นัก ถ้าตอบว่าเป็นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น’ หู่จื่อเงยหน้าด้วยความลำพองใจ แล้วคุยเรื่อยเปื่อยกับซูหมิงอีกสักพัก ก่อนหิ้วน้ำเต้าสุราจากไป

หลายวันมานี้ พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องมารวมตัวกันบ่อยครั้ง หนึ่งคนดื่มสุรา หนึ่งคนให้แสงตะวันส่องใบหน้าพร้อมทั้งปลูกพืชสีเขียวที่เดิมทีก็เต็มพื้นอยู่แล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งถือกระดานภาพวาดลายเส้น

ซูหมิงไม่รู้ว่าตัวเองวาดไปแล้วกี่ลายเส้น บนกระดานภาพดูเหมือนว่างเปล่า แต่ความจริงแล้วหากสัมผัสมันอย่างละเอียด จะค่อยๆ พบว่ามีกลิ่นอายพลังที่ถูกผนึกเอาไว้กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

วันสงครามหมอกนภาล่าเชมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ช่วงนี้เหล่าศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์เริ่มเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ และมีการค้าขายแลกเปลี่ยนเป็นการส่วนตัวกันมากครั้ง

กระทั่งศิษย์ที่ออกไปข้างนอกหลายปีบางส่วนยังทยอยกันกลับมา เป้าหมายคือเพื่อเข้าร่วมสงครามหมอกนภาล่าเชมัน สงครามครั้งนี้เป็นสงครามในรอบหนึ่งร้อยปี ฉะนั้นจึงดึงดูดความสนใจอย่างยิ่ง

เผ่าเชมันเป็นกลุ่มลึกลับที่คล้ายกับเผ่าหมาน ทว่ากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาโอบล้อมอยู่รอบกำแพงหมอกนภา ขวางกั้นเผ่าหมานของแดนอรุณใต้ ครอบครองอรุณใต้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งขวางทางของผู้คนจำนวนมาก ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกจากที่นี่ ไม่อาจไปจากแดนอรุณใต้ และมองไม่เห็นแผ่นดินเผ่าหมานอื่นๆ บนโลกใบนี้ว่ามีอยู่เหมือนกันหรือไม่

สำหรับคนสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว สงครามล่าเผ่าเชมันทำให้พวกเขาได้เห็นวิชาที่ต่างจากวิชาหมานอย่างชัดเจน บางทีอาจได้โชคลาภ อีกทั้งสัตว์ของเผ่าเชมันแทบทุกตัวล้วนมีโอสถสัตว์ สิ่งนี้เป็นยาบำรุงชั้นเยี่ยมสำหรับเผ่าหมาน

บวกกับตามกฎของกำแพงหมอกนภา ยิ่งสังหารเผ่าเชมันมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รางวัลมากเท่านั้น สงครามหมอกนภาล่าเชมันทุกครั้ง เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์กับทะเลตะวันออกรวมถึงทางสำนักจะมีรางวัลชิ้นใหญ่มอบให้ศิษย์สำนักที่สังหารศัตรู

โดยเฉพาะสงครามในรอบร้อยปีครั้งนี้ รางวัลจะยิ่งใหญ่ที่สุด

ของรางวัลเหล่านี้เป็นเพียงอย่างแรกเท่านั้น สำหรับผู้คนที่อยากเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ ยังมีเรื่องชื่อเสียงอีกด้วย ภายในเมืองหมอกนภามีภูเขาหินผายักษ์อยู่ลูกหนึ่ง ภูเขาหินผาลูกนี้สูงตระหง่านยิ่งนัก ทุกคนในแดนอรุณใต้ที่เข้าร่วมสงคราม หลังจากมาเมืองหมอกนภาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือประทับตราฝ่ามือและทิ้งกลิ่นอายพลังเอาไว้ที่นี่

หลังจากนั้นบนภูเขาหินผาจะปรากฏตารางจัดอันดับที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และจัดเรียงตามจำนวนการสังหารคนเผ่าเชมัน! เมื่อสงครามหมอกนภาล่าเชมันสิ้นสุดลง อันดับรายชื่อก็จะแพร่สะพัดไปทุกชนเผ่าหมานในแดนอรุณใต้ ทำให้ทุกคนได้รับรู้ทั่วกัน!

แม้ว่าจะเป็นช่วงทำสงครามอยู่ ทว่าจะมีผู้แข็งแกร่งมาดูตารางจัดอันดับด้วยตาตัวเอง ยิ่งอันดับสูงก็จะยิ่งเป็นที่จับตามอง ขณะเดียวกันอันดับหนึ่งร้อยคนแรกจะได้รับสมญาหมอกนภาชั่วคราว

หากติดหนึ่งในสิบ ก็จะได้รับขนานนามว่าผู้พิทักษ์หมอกนภา หากติดหนึ่งในสาม อีกทั้งยังรักษาระดับต่อไปได้ จะมีสิทธิ์อยู่ในเมืองหมอกนภาตลอดชีวิต ส่วนลำดับหนึ่งจะได้รับของศักดิ์สิทธิ์หมอกนภา เพียงแต่ว่าสมบัติชิ้นนี้ อันดับหนึ่งจะใช้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากไม่ใช่อันดับหนึ่งแล้ว สมบัติชิ้นนี้จะหายไปและปรากฏอยู่ในมือของอันดับหนึ่งคนใหม่แทน

จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง สมบัติชิ้นนี้จึงจะหายไป และปรากฏตัวอยู่ในเมืองหมอกนภาเพื่อรับการบูชา

แม้จะเป็นเช่นนั้น ข่าวลือเกี่ยวกับของศักดิ์สิทธิ์หมอกนภาชิ้นนี้ก็มีมากมาย ในข่าวลือเหล่านั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันแล้ว วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มอบให้อันดับหนึ่งถือชั่วคราวในทุกหนึ่งร้อยปีนั้น หากครองมันได้ตลอด จะทำให้ขั้นพลังของผู้ถือครองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองปี!

ชื่อเสียง ความนิยม ลาภยศอำนาจ ทุกอย่างเหล่านี้ทำให้การเตรียมพร้อมเข้าร่วมสงครามหมอกนภาล่าเชมันในครั้งนี้ทะยานถึงจุดที่ดุเดือดที่สุด เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบเดือนสงครามก็จะเริ่มแล้ว!

ยอดเขาทั้งเก้าของแผ่นดินเหมันต์ นอกจากยอดเขาลำดับเก้าแล้ว แปดยอดเขาที่เหลือล้วนกำลังเตรียมพร้อม มีเพียงคนไม่กี่คนจากยอดเขาลำดับเก้าที่ยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และทำความเข้าใจกับวิชาจิตใจสงบของตน

ซูหมิงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายยิ่งนัก เขาเห็นคุณค่าของชีวิตแบบนี้มาก ตั้งแต่มาถึงแดนอรุณใต้ น้อยนักที่เขาจะมีช่วงเวลาแบบนี้ โดยเฉพาะที่นี่ ภูเขาลูกนี้เป็นเหมือนกับบ้าน ศิษย์พี่ที่นี่ดีกับเขามาก ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น

สำหรับเรื่องหมอกนภาล่าเชมัน แม้ว่าซูหมิงมิได้แสดงความทะเยอทะยานให้เห็น ทว่าในใจเขากลับตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

เขาอยากไป!

อยากเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ มีแต่ต้องอยู่ในสงครามแบบนี้เท่านั้นถึงจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว การทะลวงขั้นพลังเป็นเป้าหมายเดียวของเขา

เขาอยากแข็งแกร่งขึ้น!

‘คิดจะออกจากแดนอรุณใต้ กลับดินแดนพันธมิตรตะวันตก ขั้นพลังของข้ายังห่างไกลนัก…’ ซูหมิงใช้มือขวาวาดเส้นบนกระดานภาพตรงหน้า เงยหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้าในยามนี้มืดสลัว เห็นแสงอาทิตย์อัสดงไกลๆ จางลงไม่น้อยแล้ว

ซูหมิงยืนขึ้นเดินออกจากถ้ำ หลายวันมานี้ นอกจากลอกแบบกระบี่ของซือหม่าซิ่นแล้ว เขายังทำอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือหนึ่งในการเตรียมตัวสำหรับสงครามล่าเชมันครั้งนี้

เทียบกับเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ถ้ำของเขาขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อย ภายในถ้ำถูกเปิดเป็นอีกสามห้องน้ำแข็ง ภายในห้องน้ำแข็งค่อนข้างใหญ่ หนึ่งในนั้นมีเสียงคำรามดังเป็นพักๆ คนนอกมิได้ยิน มีเพียงซูหมิงที่มีจิตสัมผัสเท่านั้นถึงจะได้ยินมัน

ซูหมิงเดินมาถึงห้องน้ำแข็งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วเดินเข้าไป

ช่วงที่เขาเหยียบเข้าไปในนั้น มีไอหนาวกระทบใบหน้า เงาคนเลือนรางตรงเข้ามาในชั่วพริบตา ทว่าเพิ่งเข้าใกล้ซูหมิง เงาคนนั้นกลับร้องเสียงน่าเวทนา กระเด็นถอยไปหลายจั้ง เผยให้เห็นลักษณะชัดเจน

สิ่งนั้นมีปีกของค้างคาวจันทรา มีรูปร่างเป็นคน ดวงตาแดงก่ำ เผยกลิ่นอายดุร้ายมหาศาล ขณะกระเด็นถอยก็จ้องซูหมิงเขม็ง

รูปร่างของเขาอยู่ระหว่างมายากับความจริง ดูเหมือนจะกลายเป็นภาพมายาได้ทุกเมื่อ ทั้งตัวเป็นสีแดง มวลอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว ทำให้เหมือนถูกโอบล้อมไว้ด้วยเปลวเพลิงไร้รูป กำลังแผดเผาทั้งตัว

เขามีร่างกายเป็นสีแดงฉาน บนผิวหนังคล้ายมีเกล็ดเป็นชั้นๆ เล็กน้อย สองมือเป็นกรงเล็บ แผดเสียงคำรามใส่ซูหมิง

“เหอเฟิง นี่เป็นความต้องการของเจ้าเองที่อยากผสานกับวิญญาณค้างคาวจันทราในตัวข้า ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการผสาน เจ้าทนไม่ไหวแล้วรึ!” ซูหมิงกล่าวอย่างเย็นชา

เสียงเขากึกก้องในห้องน้ำแข็ง เข้าถึงหูมนุษย์ประหลาด ทำให้ฝ่ายนั้นตัวสั่นเทา ดวงตาแดงโลหิตเหี้ยมโหดเหมือนกำลังต่อสู้ดิ้นรน

เขาก็คือเหอเฟิง!

หลังจากต่อสู้กับซือหม่าซิ่นในวันนั้น เมื่อซูหมิงกลับมาถึงถ้ำและจัดระเบียบทุกอย่างเสร็จ เหอเฟิงได้ขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วบอกกับซูหมิงว่า เขาอยากผสานกับวิญญาณไม่ทราบชื่อเหล่านั้นในตัวซูหมิง

เหอเฟิงเป็นคนรอบคอบยิ่งนัก เขาไม่อยากเป็นวิญญาณวัตถุ ทว่าหากเขาไม่อยากเป็นวิญญาณวัตถุ ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้เขาว่ามิใช่ภาระ การต่อสู้กับกายวิญญาณหมาป่าของซือหม่าซิ่นเป็นเรื่องยากสำหรับเหอเฟิง ขั้นพลังของเขาไม่มากพอ เลยต้องตัดสินใจทำแบบนี้

หลังจากซูหมิงนิ่งเงียบไปอีกหลายวัน ก็ยอมรับคำร้องของเหอเฟิง เปิดห้องน้ำแข็งแห่งนี้ให้เป็นที่สำหรับการผสานของเหอเฟิงกับวิญญาณค้างคาวจันทรา

ตอนเริ่มผสานยังถือว่าราบรื่น ทว่านานเข้าก็เกิดเหตุร้าย เหอเฟิงผสานกับวิญญาณค้างคาวจันทราหลายครั้งเข้า เขาก็สูญเสียสติปัญญา กลายสภาพเป็นอย่างนี้

ช่วงที่เหอเฟิงมีสีหน้าต่อสู้ดิ้นรน ซูหมิงพลันเดินเข้ามา ใช้นิ้วชี้มือขวาวาดเป็นวงกลมตรงระหว่างคิ้วเหอเฟิง

วาดเสร็จมันพลันเปล่งแสงโลหิต วงกลมนั้นเหมือนกับจันทร์โลหิตอยู่ตรงหว่างคิ้วเหอเฟิง

เมื่อจันทร์โลหิตปรากฏ เหอเฟิงหลับตาแล้วค่อยๆ นั่งขัดสมาธิ จิตสงบนิ่งลง

ในทุกๆ หลายวัน ซูหมิงจะต้องใช้วิธีแบบนี้มายับยั้งการแปรเปลี่ยนระหว่างการผสานของเหอเฟิงกับค้างคาวจันทรา มีแต่ต้องทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าการผสานจะสำเร็จ เมื่อนั้นเหอเฟิงจึงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริง

ในขั้นตอนนี้ ซูหมิงคาดเดาว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน หรือบางทีอาจนานกว่านั้น

ซูหมิงมองเหอเฟิงอยู่นาน ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องน้ำแข็งไปนั่งสมาธิอยู่ด้านนอก หลับตาลง แล้วลอกแบบบนกระดานภาพครั้งแล้วครั้งเล่า

หากไม่มีอะไรมารบกวน เขาอาจจะลอกแบบเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

เพียงแต่เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน มีแขกคนหนึ่งมายังยอดเขาลำดับเก้า บุคคลนี้มาหาซูหมิงโดยเฉพาะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!