Skip to content

สู่วิถีอสุรา 251

ตอนที่ 251 การเชิญของเทียนหลันเมิ่ง

“เฉินฉานเอ๋อร์ ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด รับคำสั่งจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ให้มาที่นี่ เชิญอาจารย์อาซูแห่งยอดเขาลำดับเก้าออกมาพบด้วย” น้ำเสียงใสดังแว่วมาจากนอกยอดเขาลำดับเก้าในยามเช้าตรู่

นางเป็นเด็กสาวสวมอาภรณ์สีเขียวมรกตผู้หนึ่ง เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปด กำลังยืนสูงสง่าอยู่ใต้ยอดเขาลำดับเก้า สีหน้าดูประหลาดใจเล็กน้อยยามพิจารณายอดเขาที่นางไม่เคยมาก่อน

น่าเสียดายที่นางไม่รู้จักยอดเขาลำดับเก้าดีนัก เมื่อนางส่งเสียงไปแล้ว หู่จื่อยังคงดื่มสุรา นอนกรน ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไร

ศิษย์พี่รองยังคงให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้า พร้อมกับปลูกพืชดอกเหล่านั้น

จื่อเชอนั่งฌานอยู่นอกถ้ำของซูหมิง จัดกลุ่มคำพูดในความคิด บ้างก็พึมพำเพลงกลอนที่ตนแต่งขึ้น มีความสุขอยู่ในนั้น

ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งเป็นคนพูดน้อย เอาแต่ปิดด่านตลอดทั้งวัน

ยอดเขาลำดับเก้าเป็นเช่นนี้ ผ่านไปพักหนึ่งแล้วเด็กสาวก็ยังมิได้คำตอบใด

ซูหมิงได้ยินแต่ไม่สนใจ เขาไม่รู้จักศิษย์พี่หญิงใหญ่จากยอดเขาลำดับเจ็ดอะไรนั่น และไม่อยากพบกับคนแปลกหน้าที่มาขอเข้าพบคนนี้ด้วย

เด็กสาวรออีกครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วงาม กระโดดลอยขึ้นแล้วทะยานมาตรงบันไดภูเขา แม้นางไม่เคยมายอดเขาลำดับเก้า ทว่าก่อนมาไม่รู้ว่านางไปเอาข้อมูลตำแหน่งถ้ำของซูหมิงมาจากที่ใด ถึงได้ดูรู้จักดียิ่งนัก ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จากบนยอดเขาลำดับเก้าที่เงียบสงัด นางก็มาถึงนอกถ้ำของซูหมิง มีจื่อเชอขวางทางเอาไว้

จื่อเชอนั่งฌานอยู่ตรงนั้น มองเด็กสาวด้วยสีหน้าเย็นชา

“อาจารย์อาไม่รับแขก เชิญกลับไป”

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่จื่อเชอ น้องคือเฉินฉานเมิ่ง ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของยอดเขาลำดับเจ็ดเป็นใครท่านก็น่าจะรู้ดี ข้ารับคำสั่งจากศิษย์พี่หญิงใหญ่มาขอพบอาจารย์อาซู ช่วยบอกให้ด้วย” เด็กสาวมีสีหน้าปกติ น้ำเสียงใสดังกึกก้อง ราวกับไม่สนใจระดับพลังของจื่อเชอแม้แต่น้อย

จื่อเชอขมวดคิ้ว เขาย่อมรู้แน่นอนว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ของยอดเขาลำดับเจ็ดคือเทียนหลันเมิ่ง สตรีผู้นี้ติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับของแผ่นดินเหมันต์ ได้รับขนานนามว่าเป็นว่าที่เทพหมานเหมือนกับซือหม่าซิ่น

เขาลังเลครู่หนึ่ง ยืนขึ้นเดินเข้าไปในถ้ำของซูหมิง ไม่นานจื่อเชอก็ออกมา โบกมือด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“ไม่พบ”

เด็กสาวขมวดคิ้ว มองถ้ำของซูหมิงซึ่งอยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป

ครู่ต่อมา ณ ยอดเขาลำดับเจ็ด

บนหินก้อนใหญ่ที่นูนขึ้นจากปลายยอดเขา หญิงผมยาวที่ดูการต่อสู้ของซูหมิงกับซือหม่าซิ่นและลอกแบบพลังลายเส้นของซูหมิงอย่างง่ายดายในวันนั้นยิ้มบางๆ

“ไม่พบรึ?”

“จริงดังว่าหรือ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ข้าว่าซูหมิงคนนี้เหิมเกริมยิ่งนัก คงจะคิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์อาจริงๆ ขนาดข้าบอกว่ารับคำสั่งจากศิษย์พี่หญิงใหญ่…”

คนกล่าวคือเด็กสาวที่เพิ่งกลับมา นางมีสีหน้าไม่ยินยอม

“ช่างเถอะ เจ้านำสิ่งนี้ไปขอพบเขาอีกครั้ง” หญิงผมยาวมีใบหน้างดงามยิ่งนัก ยามนี้ยกมืองามม้วนเส้นผมดำ แล้วหยิบกล่องหยกส่งให้เด็กสาว

เด็กสาวรับมา อยากรู้ยิ่งนักว่าภายในบรรจุอะไร ทว่ากลับมิได้ถาม เพียงพยักหน้าแล้วจากไป

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ณ ยอดเขาลำดับเก้า ภายในถ้ำของซูหมิง จื่อเชอยืนอยู่ด้านหน้าด้วยความนอบน้อม นำกล่องหยกวางไว้ตรงหน้าซูหมิง ถอยไปหลายก้าว แล้วรอคำสั่ง

ซูหมิงมองกล่องหยก เงียบไปสักครู่ก็เปิดกล่องออก ช่วงที่เปิดกล่อง ภายในถ้ำพลันสว่างไสว พบว่าภายในกล่องมีเหรียญหินสีทองหนึ่งเหรียญ!

เหรียญหินสีทองมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ดูสว่างพร่างพราว มอบความรู้สึกขมุกขมัวเหมือนความฝัน ราวกับว่าดูดวิญญาณเข้าไปภายในได้

“เหรียญหินระดับล้ำเลิศ!” จื่อเชอสูดลมหายใจ เหรียญหินสีทองแม้จะเป็นเพียงเหรียญเดียว มูลค่าของมันก็สูงส่งยิ่งนัก อีกทั้งยังหายาก เหรียญหินสีทองหนึ่งเหรียญมีค่าพอจะแลกกับเหรียญหินธรรมดาหลายแสนเหรียญ

ที่ไม่เหมือนกับจื่อเชอคือความรู้สึกของซูหมิง เหรียญหินสีทองนี้แฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณน่าทึ่ง ความเข้มข้นของพลังวิญญาณทำให้จิตสัมผัสของเขาเหมือนจะถูกดึงดูดเช่นกัน

‘ขอพบเพียงครั้งเดียว ก็หยิบเหรียญหินระดับนี้ออกมา…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ใช้มือขวาปิดกล่องหยก ผลักไปตรงใต้เท้าของจื่อเชอ

“ไม่พบ”

จื่อเชอเลียริมฝีปาก ก่อนหยิบกล่องหยกเดินออกจากถ้ำ

ณ ยอดเขาลำดับเจ็ด ตรงแท่นเรียบกลางหินนูน หลังจากสายรุ้งยาวบินมา ไม่นานก็มีน้ำเสียงโมโหของเฉินฉานเอ๋อร์ดังขึ้น

“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ซูหมิงอวดดีเกินไปแล้ว ยังไม่ยอมพบอีก เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน ท่านให้เขาออกมาสองครั้ง เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย”

เด็กสาวหอบหายใจด้วยความโกรธข้างหญิงสาว เมื่อส่งกล่องให้แล้วก็มองไปทางยอดเขาลำดับเก้าไกลๆ อย่างดุดัน

“ไม่เป็นไร เจ้านำกล่องนี้ไปส่งให้เขาอีกครั้ง” หญิงสาวผมยาวยิ้มบางๆ ส่งอีกกล่องหนึ่งให้เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้เตรียมกล่องแบบนี้เอาไว้เพียงหนึ่ง

ทว่าเด็กสาวกำลังโกรธจึงมิได้สนใจเรื่องเหล่านี้ พอได้ยินคำพูดของหญิงสาว เดิมทีนางจะไม่ยอมไป แต่ก็ยังคล้อยตามรับกล่องมาแล้วกลายเป็นสายรุ้งจากไป

‘ซูหมิง ข้าอยากรู้นัก เจ้าต้องให้ข้าหยิบของออกมากี่ชิ้นถึงจะยอม’ หญิงสาวผมยาวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ หลับตาลง

ณ ยอดเขาลำดับเก้า เสียงลมหายใจหนักของจื่อเชอดังกังวานภายในถ้ำ

เขามองซูหมิงเปิดกล่องตรงหน้า ภายในเป็นหนังสัตว์หลายผืนซ้อนทับกัน ด้านบนมีอักษรสามตัวคือ…เปลี่ยนเทพหมาน!

“มีเพียงศิษย์ที่ได้รับการยอมรับจากสำนักและมีโอกาสเป็นเทพหมานในอนาคตเท่านั้นถึงจะได้รับถ่ายทอดฤทธิ์เปลี่ยนเทพหมาน…ไม่อยากเชื่อว่าเทียนหลันเมิ่งจะมอบสิ่งนี้ให้!” จื่อเชอเลิกสนใจเหรียญหินสีทองได้ กลับไม่อาจเลิกสนใจหนังสัตว์เหล่านี้ ลมหายใจเขากระชั้นถี่มากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นเขาจะรับสิ่งนี้ไว้อย่างไม่ลังเล

“ก็แค่พบเพียงครั้งเดียวมิใช่รึ…..” จื่อเชอละสายตาจากหนังสัตว์เหล่านั้นอย่างยากเย็น มองยังซูหมิง

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองหนังสัตว์เหล่านั้นแวบหนึ่งแล้วหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาลืมตา แล้วผลักกล่องไปทางจื่อเชออีกครั้ง

“ไม่พบ!”

จื่อเชอตะลึงงัน อ้าปากเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเห็นสีหน้าของซูหมิง เขาก็รีบกลืนคำพูดลงไป ยกกล่องใบนั้นเดินออกไปพร้อมกับความเสียดายและทำใจมิได้ลึกๆ

“ใช้สมบัติมาลองใจคน จะต้องมีเป้าหมายใหญ่อย่างแน่นอน…ข้าไม่เคยพบสตรีผู้นี้มาก่อน จะโลภมิได้!”

ณ ยอดเขาลำดับเจ็ด หลังจากน้ำเสียงใสเงียบไปไม่นาน ก็มีเสียงดังแว่วมาอีกครั้ง ในครั้งนี้ดูมีอารมณ์มากขึ้นไม่น้อย ทั้งยังโมโหมากกว่าเดิม

“ไม่ไปแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่ไปแล้ว! เขาคิดว่าเป็นใคร แม้แต่ซือหม่าซิ่นยังเอาชนะมิได้ แต่กลับอวดดีเช่นนี้! ศิษย์พี่หญิงใหญ่เชิญสามครั้ง นั่นก็ถือว่าให้เกียรติเขามากพอแล้ว แต่กลับยังปฏิเสธ!”

หญิงสาวผมยาวยังคงยิ้ม รอยยิ้มนั้นมิได้เย็นชา ในทางตรงกันข้ามกลับมีความหมายลึกซึ้งที่เด็กสาวไม่เข้าใจ เหมือนว่าการกระทำของซูหมิงมิได้น่ารังเกียจ แต่น่าชื่นชม

“ข้าคงจะประเมินเขาต่ำไปหน่อย เจ้าส่งสิ่งนี้ไปให้เขา” หญิงสาวผมยาวขบคิดชั่วครู่ ยกมือขวาจับอากาศ ปรากฏกล่องอีกหนึ่งใบ กล่องใบนี้ต่างจากกล่องก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด มีความยาวราวเจ็ดฉื่อ

“หากเขายังส่งสิ่งนี้กลับมาอีก เจ้าเอาแผ่นไม้บันทึกนี้ส่งให้เขา”

หญิงสาวส่งกล่องยาวให้เด็กสาวก่อน จากนั้นหยิบแผ่นไม้ขนาดเท่าสองนิ้วมือมาจากอกเสื้อ แล้ววางไว้กลางมือของเด็กสาว

“เอาล่ะ น้องฉานเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หากเขาไม่ออกมาก็ช่างมัน” หญิงสาวกล่าวอย่างอ่อนโยน ภายในน้ำเสียงมีความรู้สึกที่ทำให้เฉินฉานเอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธ ทำได้เพียงก้มหน้าลง แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“ครั้งสุดท้ายรึ?”

“ใช่ ครั้งสุดท้าย” หญิงสาวยิ้ม รอยยิ้มของนางสวยงามยิ่งนัก ก่อนลูบศีรษะของเด็กสาว

เฉินฉานเอ๋อร์ยอมกลายเป็นสายรุ้งห้อเหยียดจากไปอีกครั้ง

บนยอดเขาลำดับเก้า วันนี้ลิขิตเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นวันที่ไม่เงียบสงบ ภายในถ้ำของซูหมิง ลมหายใจของจื่อเชอกระชั้นถี่มากขึ้น กระทั่งยังรุนแรงกว่าตอนเห็นหนังสัตว์วิชาเปลี่ยนเทพหมาน

“กระบี่เหมันต์สวรรค์! สำนักเหมันต์สวรรค์จะสร้างขึ้นมาหนึ่งเล่มในทุกห้าร้อยปี! มีเพียงศิษย์ที่สร้างคุณูปการให้กับสำนักเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองกระบี่เล่มนี้…ไม่อยากเชื่อว่าเทียนหลันเมิ่งจะมอบสิ่งนี้ให้ นี่…..นี่…..” จื่อเชอมองกล่องที่เปิดอยู่ตรงหน้าซูหมิง จิตใจตื่นตะลึง เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดอีกฝ่ายต้องทำเช่นนี้

ซูหมิงมองกระบี่ในกล่องอย่างสงบนิ่ง มันเป็นกระบี่น้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ ทุกส่วนโปร่งใส ปล่อยไอหนาวจนทำให้เขาขนลุก และเป็นสมบัติชั้นเยี่ยมด้วย!

“ทั้งสำนักเหมันต์สวรรค์ จะมอบกระบี่เหมันต์สวรรค์ให้เพียงสิบสี่เล่ม ทุกเล่มล้วนมีอาคมแฝงเอาไว้ หากมีกระบี่เล่มนี้ ได้ยินว่าจะช่วยประหยัดแรงตอนอยู่ในอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ได้ไม่น้อย…” จื่อเชอมีสีหน้ากระหายมากยิ่งขึ้น

ซูหมิงเงียบขรึม เขามองกระบี่เล่มนี้ แม้สายตาอยู่ที่กระบี่ ใจเขากลับมิได้อยู่ตรงนี้ แต่ตกอยู่ในห้วงความคิด

‘ครั้งแรกเป็นเหรียญหิน จากนั้นเป็นวิชาเปลี่ยนเทพหมาน สุดท้ายเป็นกระบี่เหมันต์สวรรค์…ศิษย์พี่หญิงใหญ่แห่งยอดเขาลำดับเจ็ดคนนี้คือเทียนหลันเมิ่ง อันดับหนึ่งในตารางจัดอันดับแผ่นดินเหมันต์…..เจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่!’ ซูหมิงขมวดคิ้ว

“อาจารย์อา กระบี่เล่มนี้…ควรจะรับเอาไว้!” จื่อเชอลังเลครู่หนึ่ง กล่าวโน้มน้าวด้วยเสียงเบา

‘นางกำลังดึงข้าเข้าไปติดกับ…..’ ซูหมิงเงยหน้ามองจื่อเชอแวบหนึ่ง ก่อนใช้มือขวาปิดกล่องตรงหน้าแล้วผลักไปอีกครั้ง

“ไม่พบ!”

จื่อเชออ้าปากกว้าง ผ่านไปพักหนึ่งจึงหายใจออก ลังเลใจอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็แอบถอนหายใจแล้วจำใจยกกล่องเดินออกไป

หากแต่ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาก็รีบกลับมาอีกครั้ง เขาในครั้งนี้มีสีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก ยามซูหมิงมองไป เขาส่งแผ่นไม้ให้ซูหมิงด้วยความนอบน้อม

“อีกฝ่ายบอกว่านี่เป็นชิ้นสุดท้ายแล้ว” จื่อเชอกล่าวเสียงเบา

ซูหมิงรับแผ่นไม้มามองแวบหนึ่ง ทว่าเมื่อเขามองแวบแรก สีหน้าก็พลันเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ต่อให้เขาเห็นเหรียญหินสีทอง เห็นวิชาเปลี่ยนเทพหมาน เห็นกระบี่เหมันต์สวรรค์ ก็ยังไม่เคยออกอาการเด่นชัดเช่นนี้มาก่อน

จื่อเชอตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นแผ่นไม้ก็พบว่าด้านบนว่างเปล่า ไม่มีอะไรสลักลงไปสักอย่าง ยามนี้เห็นสีหน้าของซูหมิงก็ยิ่งทำให้เขาสับสน

ซูหมิงเหม่อมองแผ่นไม้ในมืออยู่นานก่อนหลับตาลง ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง เขายืนขึ้น

“จื่อเชอ ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าไม่ต้องตามมา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!