Skip to content

สู่วิถีอสุรา 254

SVTASR
BC

ตอนที่ 254 ลางสังหรณ์

ซูหมิงกำลังเดินทางกลับยอดเขาลำดับเก้า ตลอดทางเขาหยุดสองครั้ง

C

ครั้งแรกหยุดเพราะเห็นหานเฟยจื่อ หลังจากเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว ซูหมิงเพิ่งเคยเจอสตรีผู้นี้เป็นครั้งแรก การพบกันครั้งแรกนี้ ทั้งสองคนอยู่กลางอากาศ ประสานสายตากันไม่นาน

หานเฟยจื่อมิได้มาเพียงคนเดียว ด้านหลังนางยังมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งติดตามมาด้วย ซูหมิงคุ้นหน้าพวกเขาดี พวกเขาคือแซ่เฉินและแซ่สวี่

วันนี้พวกเขาตามหลังหานเฟยจื่อ มีท่าทางนอบน้อบ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ติดตามไปแล้ว

หานเฟยจื่อยังคงมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม ใบหน้านางราวกับน้ำแข็ง แม้จะดูน่าหลงใหล ทว่าความเย็นชาจากนิสัยกลับมิใช่ทุกคนที่รับได้

นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวทั้งตัว เส้นผมงามพาดบ่า สีหน้าเรียบเฉย ช่วงที่เห็นซูหมิงก็ยังไม่เปลี่ยนทีท่ามากนัก

“คารวะอาจารย์อาซู”

“คารวะอาจารย์อาซู” เฉินและสวี่ด้านหลัง พอเห็นซูหมิงก็พลันมีสีหน้าซับซ้อน แต่ไม่นานก็กลายเป็นเคารพ พวกเขารู้ถึงความต่างระหว่างตนกับซูหมิงดี อีกทั้งยังตะลึงในเรื่องที่ว่าซูหมิงมาสำนักเหมันต์สวรรค์ได้เพียงครึ่งปี แต่กลับผงาดได้เร็วถึงเพียงนี้

การต่อสู้กับซือหม่าซิ่น กล่าวได้ว่าทำให้ชื่อเสียงของซูหมิงกวาดแผ่นดินเหมันต์ประหนึ่งพายุคลั่ง แม้ไม่ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้อง ทว่าก็ใกล้เคียงมาก

ซูหมิงพยักหน้าให้แซ่เฉินและแซ่สวี่ ก่อนมองหานเฟยจื่อแวบหนึ่ง เห็นนางเหมือนไม่มีอะไรจะพูด จึงเคลื่อนตัวเตรียมจากไป

ทว่าช่วงที่ซูหมิงเพิ่งขยับเท้า น้ำเสียงเย็นเยือกของหานเฟยจื่อดังเข้ามาเนิบช้า เมื่อเสียงนั้นเข้าถึงหู ทั้งร่างกายราวกับถูกแช่แข็ง เสียงที่ว่าเหมือนไร้ซึ่งเมตตาและอารมณ์ ต่อให้เป็นสภาพอากาศร้อนก็ยังแทบกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา

น้ำเสียงเช่นนี้ ทำให้เห็นถึงความเย็นชาของจิตใจ ร่างกาย และความคิดนาง

“หานเฟยเหมือนแมงป่องพิษหรืออย่างไร เหตุใดสหายซูถึงต้องหลบ”

ซูหมิงหันกลับมามองหานเฟยจื่ออย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่ขั้นพลังก้าวหน้า อีกทั้งกลิ่นอายพลังยังเปลี่ยนไปราวกับฟ้าดิน ต่างจากตอนอยู่ในเมืองเขาหานลิบลับ

“ศิษย์พี่เฉิน ศิษย์พี่หญิงสวี่” หานเฟยจื่อมิได้สนใจสายตาของซูหมิง แต่มองสหายร่วมสำนักร่วมยอดเขาที่ตามหลังทั้งสองคน แซ่สวี่และแซ่เฉินก้มหน้าลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาติดตามหานเฟยจื่อมิใช่แค่วันสองวัน ยามนี้เข้าใจถึงความหมายที่หานเฟยจื่อยังพูดไม่จบ รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วจนห่างไปหนึ่งร้อยจั้ง แล้วหันหลังรออยู่ตรงนั้น

“พวกเราเป็นคนรู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

มองหานเฟยจื่อ นางเป็นคนแรกที่เขาพบในโรงเตี๊ยมช่วงเข้าเมืองเขาหานเป็นครั้งแรก นางในตอนนั้นเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม ซูหมิงจึงได้แต่มองเงียบๆ ไม่ว่าระดับพลังหรือสถานะก็ไม่อาจเทียบได้

ต่อให้พบกันอีกหลายครั้งหลังจากนั้นก็ยังเป็นเช่นเดิม แม้แต่การต่อสู้กันครั้งแรก ก็ยังทำให้ซูหมิงระวังตัวอย่างยิ่ง

“ตอนแรกข้าอยู่ยอดเขาลำดับสี่ หลังจากคารวะอาจารย์แล้วก็เริ่มปิดด่านฝึกพลัง บางครั้งเดินออกมาแต่ไม่เคยลงเขา…” หานเฟยจื่อหันหน้ามองเทือกเขาไกลๆ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา

แม้น้ำเสียงเย็นเยือก แต่ความหมายแฝงในคำพูดกลับมีการอธิบายอยู่เล็กน้อย

ซูหมิงเงียบ ไม่กล่าวอะไร

“ข้าเห็นเจ้าต่อสู้กับซือหม่าซิ่น” หานเฟยจื่อมองซูหมิง

“จากนั้นข้าก็เลือกปิดด่านฝึกพลังอีกครั้ง ระยะห่างระหว่างข้ากับเจ้าจะไม่เพิ่มไปอีก!”

ซูหมิงยังคงเงียบ

หานเฟยจื่อก็เงียบเช่นกัน ไม่กล่าวสิ่งใดอีก หลังจากทั้งสองคนเงียบไปชั่วครู่ ซูหมิงจึงหมุนตัวกลับแล้วเดินห่างออกไป

“เจ้ายังจำเรื่องที่พวกเราคุยกันในแดนลับภูเขาหานได้หรือไม่!” หานเฟยจื่อมองเงาแผ่นหลังของซูหมิง น้ำเสียงยังคงราบเรียบเย็นชา ไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย

“จำได้” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบโดยไม่หันหลังกลับ

“จากพรุ่งนี้ไปข้าจะปิดด่านฝึกพลังต่อ และฝึกฝนวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ การนั่งฌานครั้งนี้ ข้าจะออกมาก่อนสงครามหมอกนภาล่าเชมัน…ช่วงสงครามล่าเชมัน ข้าอยากให้เจ้าไปที่แห่งหนึ่งกับข้า”

“ได้” ซูหมิงขบคิดเล็กน้อย มิได้ปฏิเสธ

“เจ้าต้องสนใจที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่างแดน…”

หานเฟยจื่อกล่าวเบาๆ ขณะกล่าวก็มองเงาแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปของซูหมิง ทว่ากลับมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแผ่นหลัง มันยังคงสงบนิ่ง ค่อยๆ หายลับไปจากสายตานาง

ระหว่างทางกลับยอดเขาลำดับเก้า ซูหมิงหยุดเป็นครั้งที่สองบริเวณนอกยอดเขาของตน ขณะที่เหยียบขึ้นยอดเขา เขาพลันหยุดชะงักฝีเท้า

“เจ้าจะตามข้าไปจนถึงเมื่อไร”

“ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ของยอดเขาลำดับเก้า เจ้าเอาอะไรมาพูดว่าข้ากำลังตามเจ้า!”

เป็นน้ำเสียงของสตรีดังมาจากด้านหลังซูหมิง เสียงนั้นไม่ได้นุ่มนวลเหมือนกับฟางชางหลัน ไม่ไพเราะแบบเทียนหลันเมิ่ง และไม่เย็นชาเหมือนหานเฟยจื่อ กลับมีความใสกังวานและยั่วยุที่ทั้งสามคนไม่มี

ซูหมิงขมวดคิ้ว หมุนตัวกลับก็พบว่ามีเด็กสาวสวมอาภรณ์สีม่วงยืนอยู่ด้านหลังห่างไปหลายสิบจั้ง นางมีใบหน้างดงามยิ่งนัก เต็มไปด้วยความรู้สึกดื้อรั้น โดยเฉพาะยามนี้ที่กำลังมองซูหมิงตาไม่กะพริบ นัยน์ตาตื่นตัวและเหยียดหยาม

นี่คือใบหน้างามที่ปรากฏบ่อยครั้งในความทรงจำของซูหมิง และยังเป็นใบหน้าที่ทำให้เขาไม่ยอมยับยั้งอารมณ์ชั่ววูบเมื่อหลายเดือนก่อน

นางคือไป๋ซู่

ซูหมิงมองไป๋ซู่ มองใบหน้าที่ปรากฏในความทรงจำเขาบ่อยครั้ง ทว่าตอนนี้เขาไม่อยากพบ

ซูหมิงหมุนตัวกลับ ละสายตาจากนาง ก่อนเหยียบขึ้นไปบนยอดเขาลำดับเก้า เขาที่เดินอยู่บนบันไดภูเขาอดขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้งไม่ได้

หากแต่ครั้งนี้เขาไม่หยุดอีก แต่ตรงไปยังถ้ำของตัวเอง

จื่อเชออยู่นอกถ้ำ เมื่อเห็นซูหมิงกลับมาก็รีบยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ แล้วคารวะด้วยความเคารพ ขณะกำลังจะกล่าวสีหน้าพลันเปลี่ยน สายตามองไปด้านหลังซูหมิง ตรงนั้นเขาเห็นเป็นสีม่วงรางๆ

ตอนที่เห็นสีม่วงนั้น สีหน้าจื่อเชอดูตะลึงงัน

ซูหมิงขมวดคิ้ว เดินผ่านข้างจื่อเชอไป ก่อนเข้าไปในถ้ำ เขาหันไปมองไป๋ซู่ที่กำลังเดินมาทีละก้าวอยู่ไกลๆ

อาภรณ์สีม่วงทั้งตัว สีหน้าไม่ยอมแพ้ และยังมีการยั่วยุอารมณ์ทางแววตา เสริมให้ความรู้สึกดื้อรั้นในตัวนางเด่นชัดยิ่งขึ้น

“นี่คือยอดเขาลำดับเก้า” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ข้ารู้” ไป๋ซู่เงยหน้าขึ้นตอบ

“ไล่นางลงจากเขา!” นัยน์ตาซูหมิงเย็นชา ขณะสั่งจื่อเชอก็หมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ

“เจ้าไม่กล้ามองข้า ก็เพราะว่าในความทรงจำของเจ้ามีหญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับข้า! หากเจ้าไม่กล้ามองข้า ในใจเจ้าจะมีแต่ความเจ็บปวดไปชั่วนิรันดร์ เจ้าหลีกหนีความเจ็บปวดไม่พ้นหรอก มันจะทำให้เจ้าไม่สงบสุขไปชั่วชีวิต ต่อให้แสร้งทำเป็นสงบมันก็เป็นของปลอม!”

ไป๋ซู่พลันกล่าว ระหว่างที่นางพูด ซูหมิงเดินเข้าไปในถ้ำแล้วนั่งขัดสมาธิลง หลับตาคล้ายไม่ได้ยิน

“ศิษย์น้องหญิงไป๋ อย่าสร้างความลำบากใจให้ข้าเลย” จื่อเชอสาวเท้าเข้ามาขวางไป๋ซู่ที่กำลังจะบุกถ้ำของซูหมิงเอาไว้ ก่อนกล่าวอย่างเย็นชา

“จนแล้วจนรอดเจ้าก็ยังไม่กล้ามองข้า ข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ในใจเจ้า ต่อให้เจ้าไม่มอง ข้าก็ยังอยู่! กระทั่งเจ้ายังไม่กล้าลงมือกับข้า มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดต้องให้คนอื่นมาไล่ข้าลงเขา แต่เจ้ากลับไม่ยอมทำเอง!

ขั้นพลังของเจ้ามิใช่ว่าต่อสู้กับพี่ใหญ่ซือหม่าได้หรอกรึ ข้าแค่เพิ่งถึงชำระล้าง ด้วยขั้นพลังของเจ้า แค่สะบัดมือก็ไล่ข้าลงเขาได้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือเอง!” ไป๋ซู่กล่าวเสียงดัง มองถ้ำซูหมิงที่อยู่ไม่ไกลนัก ไม่มองจื่อเชอด้านข้างแม้แต่หางตา

“ต่อให้ไล่ข้าออกจากยอดเขาลำดับเก้าแล้วยังไง ข้าจะมาอีก จะมาทุกวัน!”

จื่อเชอขมวดคิ้ว ขับเคลื่อนกลิ่นอายพลังในร่างกายเล็กน้อย มันพลันกลายเป็นแรงกระแทกผลักตัวไป๋ซู่ ทำให้นางกระเด็นถอยไปอย่างต่อเนื่อง

เห็นไป๋ซู่มีสีหน้าไม่ยอมแพ้ราวกับจะราวีไม่เลิก เขาจึงสะบัดแขนเสื้อ พลันเกิดพายุคลั่งม้วนตัวไป๋ซู่ออกจากยอดเขาลำดับเก้าไป

ภายในถ้ำ ซูหมิงกำลังหลับตาราวไม่ได้ยินทุกสิ่ง แต่ในใจเขากลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงว้าวุ่น

ผ่านไปนาน ซูหมิงลืมตาขึ้น มองท้องฟ้าสีครามนอกถ้ำ

“ซือหม่าซิ่น นางคืออาวุธที่เจ้าจะใช้ต่อสู้กับข้าในอีกศึกอย่างนั้นรึ…”

ซูหมิงพึมพำเบาๆ พูดให้ถูกคือเขากับซือหม่าซิ่นต่อสู้กันมาสามครั้งแล้ว ครั้งแรกคือในเมืองเขาหาน ซือหม่าซิ่นยืมร่างของฟางมู่มาต่อสู้กับเขา ในครั้งนั้นทั้งชนะและก็พ่ายแพ้

ศึกนี้ถือว่าเสมอกัน

การต่อสู้ครั้งที่สองเกิดขึ้นในสำนักเหมันต์สวรรค์ การประมือสะทือนฟ้าดินดูเหมือนเสมอ ทว่าความจริงแล้วซูหมิงพ่ายแพ้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังชนะด้วย

ศึกนี้ก็ถือว่าเสมอเช่นกัน

การต่อสู้ครั้งที่สามใช้ชีวิตของหนอนไม้พลองมาเป็นตัวชนวน ทั้งสองคนต่อสู้กันในด้านแผนการที่อันตรายยิ่งนัก ทว่าฟ้าดินกลับไม่สั่นสะเทือน

การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ได้เสมอ แต่ซูหมิงชนะอย่างสมบูรณ์แบบ!

วันนี้การมาเยือนของไป๋ซู่ทำให้ซูหมิงรู้ว่า สตรีผู้นี้คืออาวุธของซือหม่าซิ่นในการต่อสู้ครั้งที่สี่ของพวกเขา โอรสสวรรค์อย่างซือหม่าซิ่นลงมือคราวนี้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี

‘ยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจ…วิชานี้ลึกลับยิ่งนัก จากการกระทำของซือหม่าซิ่น เจ้าได้บอกเป้าหมายของเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว…เจ้าอยากปลูกเมล็ดพันธุ์หมานในตัวข้า…’ ซูหมิงมองท้องฟ้านอกถ้ำ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ

‘หากข้าไม่รับคำท้าสู้ครั้งนี้ก็เท่ากับแพ้…เว้นแต่ข้าจะลืมได้…หากรับคำท้าสู้ ก็จะตกอยู่ในแผนการของเจ้า ไม่อาจหลุดพ้นได้…’

ซูหมิงหลับตา ยกมือขวาขึ้น ค่อยๆ วาดลายเส้นบนกระดานภาพตรงหน้า

ไม่นานบนกระดานภาพปรากฏภาพที่มีเพียงเขาที่เห็น ตอนที่ซูหมิงวาดลายเส้นสุดท้ายเสร็จแล้วก็ลืมตา เขาเห็นเงาร่างคนบางๆ ที่ตนวาดบนกระดานภาพ

เงาร่างคนนั้นกำลังก้มหน้ามองใต้เท้า ตรงบริเวณนั้นเป็นพื้นหญ้า แต่เท้าขวาของเขากลับยกขึ้น และถูกหญ้าสีเขียวพันเอาไว้…

หญ้าสีเขียวดังกล่าวอ่อนแอยิ่งนัก เพียงยกเท้ามันก็ขาดสะบั้น ทว่าเงาคนกลับยังคงก้มหน้าเพ่งมองอยู่นาน

เวลานี้ ซูหมิงภายในถ้ำกำลังมองภาพวาด ณ ยอดเขานอกถ้ำ เทียนเสียจื่อลืมตาขึ้นมองมาที่เขา

“จะข้ามผ่านจิตใจเปลี่ยนครั้งแรกอย่างนั้นรึ…” เทียนเสียจื่อมีสีหน้ากังวลใจ

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!