Skip to content

สู่วิถีอสุรา 256

ตอนที่ 256 แกรก

เป็น หรือว่าไม่เป็น

ความหมายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงของทั้งสองคำนี้ ประหนึ่งฟ้าและดินที่ต่างกันสองขั้ว ทำให้ความคิดซูหมิงเหมือนแข็งค้างในชั่วพริบตานั้น มิใช่ว่าเขาไม่เตรียมใจมาก่อน คำพูดและคำเตือนของศิษย์พี่รองในตอนนั้น ยามนี้ยังวนเวียนอยู่ข้างหู

‘จะต้องตอบว่า…ไม่เป็น!’ นี่คือคำพูดของศิษย์พี่รองขณะมีสีหน้าจริงจัง

ซูหมิงเงียบ คำตอบสองคำตอบนี้เหมือนกับมีประตูสองบานตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าด้านหลังประตูมีอะไร และไม่รู้ด้วยว่าควรเปิดบานไหนเพื่อมองโลกหลังประตู

เทียนเสียจื่อไม่เร่งรัดเอาคำตอบ แต่มองซูหมิงพลางรอคำตอบจากเขา

ซูหมิงคิดว่าเขาควรจะฟังคำเตือนของศิษย์พี่รอง ตอนที่ศิษย์พี่รองบอกว่าปีนั้นเขาตอบผิด สีหน้าดูจริงจังอย่างที่พบเห็นได้ยาก ทว่า…

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เงยหน้ามองเทียนเสียจื่อที่กำลังมองตนเช่นกัน ก่อนกล่าวช้าๆ

“อาจารย์ ข้าอยากเห็นการประลอง”

นี่คือคำตอบของซูหมิง เขาเดินอ้อมคำว่าเป็นหรือไม่เป็นและเดินออกมาด้านนอก พูดความคิดของตัวเอง ไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตอบว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่ใช้คำพูดที่ต่างจากศิษย์พี่รองโดยสิ้นเชิง

เมื่อเทียนเสียจื่อได้ยิน นัยน์ตาพลันเป็นประกายเด่นชัด ประกายแสงนั้นส่องสะท้อนภายในถ้ำ ทำให้ซูหมิงไม่อาจสบตากับเขา ทั้งยังรู้สึกแสบตาจนต้องถอยไปอีกหลายก้าว

“ดูท่าศิษย์คนที่สี่ของข้าจะทะเยอทะยาน…ไม่น้อย!” น้ำเสียงเทียนเสียจื่อแหบพร่า แฝงไว้ด้วยความเย็นยะเยือก ขณะดังกึกก้องโดยรอบก็มีความรู้สึกเหี้ยมโหดรางๆ

“ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าตอบว่าไม่ ศิษย์พี่รองของเจ้าตอบว่าเป็น ส่วนศิษย์พี่สาม เขาไม่ตอบ แต่แกล้งหลับ เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่ตอบในสิ่งที่อาจารย์ถาม แต่เลือกใช้สิ่งอื่นมาเป็นคำตอบ…ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ จะให้เจ้าได้เห็นว่าประลองคืออะไร!”

เทียนเสียจื่อสะบัดแขนเสื้อ พลันปรากฏหมอกม่วงกลางอากาศตรงเข้าหาซูหมิง พริบตาเดียวก็อบอวลอยู่รอบตัวเขา ก่อนจะหดตัวแนบติดกับร่างกายและอาภรณ์ของเขาจนแน่น ทำให้เสื้อคลุมยาวของซูหมิงกลายเป็นสีม่วง ขณะเดียวกัน แม้แต่เส้นผมก็ยังกลายเป็นสีม่วงทั้งหมด

เมื่อเป็นเช่นนั้น อาจารย์และศิษย์สองคนในถ้ำจึงดูเหมือนสีม่วงอย่างสมบูรณ์!

สิ่งที่สะท้อนออกจากสีม่วงนี้เป็นตะกอนของกลิ่นคาวเลือด เป็นปฏิกิริยาชั่วร้ายที่ปะทุมาจากในร่างกายและยากจะยับยั้งขณะที่ซูหมิงหัวใจเต้นแรงขึ้น

ในร่างกายเขาเดิมทีมีพลังชั่วร้ายอยู่ ต้นกำเนิดของมันคือลายหมานจันทร์โลหิต ตอนนี้จากผลกระทบของสีม่วง ทำให้พลังชั่วร้ายปะทุออกมาหลายเท่า อัดแน่นอยู่ภายในถ้ำ

นัยน์ตาเทียนเสียจื่อฉายแววประหลาด ขณะหัวเราะเสียงดังก็ใช้มือขวาม้วนอากาศไปทางซูหมิง ก่อนม้วนตัวเขาหายไปจากถ้ำในชั่วพริบตา

การจากไปของทั้งสองคน แม้มีพลังชั่วร้ายน่าตะลึง ทว่าจื่อเชอที่นั่งฌานอยู่ด้านนอกกลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย แม้แต่หู่จื่อกับศิษย์พี่รองก็เช่นกัน

มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ที่ปิดด่านฝึกพลังอยู่ใต้ธารน้ำแข็งเท่านั้น เขาเหมือนลืมตาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว

บนท้องฟ้าของแดนอรุณใต้ ขณะมวลอากาศบิดเบี้ยวก็ปรากฏเงาของเทียนเสียจื่อกับซูหมิงขึ้น ข้อมือขวาเขาถูกเทียนเสียจื่อลากมาที่นี่

ซูหมิงปวดไปทั้งตัว ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย วินาทีที่เขาปรากฏตัวก็เงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือความว่างเปล่า แผ่นดินใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แม้จะเป็นค่ำคืนเดือนมืด ทว่าก็ยังพอเห็นสีเขียวมรกตของต้นหญ้าบนพื้น ที่นี่…มิใช่สำนักเหมันต์สวรรค์!

ซูหมิงเบิ่งตาโต แววตาตื่นตะลึง

“แม้อาคมเคลื่อนย้ายจะดี แต่ตอนที่เผ่าหมานของเรายังไม่มีอาคมเคลื่อนย้าย ผู้แข็งแกร่งเขาเดินทางกันอย่างไร…ของนอกกายแบบนั้น มีแต่พวกที่ยำเกรงต่างแดนเท่านั้นที่จะเลียนแบบ เรียนรู้ และศึกษามัน ของดีมีอยู่กับตัวแต่กลับไปแสวงหาสิ่งอื่นที่ด้อยกว่า!” เทียนเสียจื่อแค่นเสียงหึ

“การฝึกฝนของเผ่าหมาน หากฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดของวิญญาณหมาน เดินเพียงก้าวเดียวก็สามารถแทนอาคมเคลื่อนย้าย เดินทางได้รอบฟ้าดิน ร่างกายไม่ดับสูญ พลังไม่มีที่สิ้นสุด!”

ซูหมิงจิตใจสั่นไหว มองเทียนเสียจื่อขณะพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง

“อาจารย์เองก็ยังทำไม่ได้ถึงจุดนั้น แต่ด้วยวิชาการสร้าง ข้าสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ที่ข้าเคยไป เพียงแต่ว่าต้องมีระยะทางไม่ไกลนัก และต้องหยิบวัตถุจากที่นั่นมาหนึ่งชิ้น! เพียงแต่การแสดงวิชานี้ต้องเป็นอาจารย์ตอนสวมชุดคลุมม่วงเท่านั้น”

เทียนเสียจื่อกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า คลายข้อมือของซูหมิง มองฟ้าดินด้วยแววตาเหี้ยมโหด

“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าประลองเป็นหรือไม่!” เทียนเสียจื่อพลันกล่าว ซูหมิงจึงก้มหน้ามองตามเขา แผ่นดินใหญ่เป็นที่ราบเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ยามนี้มีสายลมพัดผ่าน ทำให้ต้นหญ้าสีเขียวส่งเสียงดังแกรบๆ นอกจากนี้แล้วก็เงียบสงบ

ผ่านไปนาน มีเสียงถอนหายใจดังมาจากส่วนลึกของแผ่นดิน

“ท่านมาก่อนเวลา…ศิษย์พี่สี่…”

ขณะเดียวกับที่เสียงถอนหายใจดังขึ้น ซูหมิงเห็นกับตาว่าหญ้าสีเขียวบนที่ราบแห้งเหี่ยวในชั่วพริบตา มันกลายเป็นละอองฝุ่นลอยหายไป แผ่นดินสั่นไหว เสียงอึกทึกดังขึ้น ก่อนปรากฏรอยแยกยักษ์บนพื้นดิน ราวกับถูกสองมือที่ไร้รูปแหวกออก รอยแยกนั้นลึกจนไม่อาจคาดเดา ภายในเป็นสีดำทึบ

ทว่ามีสายตาคู่หนึ่งเปล่งแสงสว่างจ้า มองเทียนเสียจื่อกับซูหมิงบนท้องฟ้าจากในรอยแยก เมื่อสายตานั้นจ้องมองซูหมิง รอบตัวเขาพลันเกิดไอหนาว แต่ต่อมาดวงตาขวาพลันเปล่งประกายแสงโลหิต ชุดคลุมม่วงกับแสงโลหิตหลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นพลังชั่วร้ายคล้ายประสานกับดวงตาคู่นั้น

“ศิษย์พี่สี่ นี่คือศิษย์คนใหม่ของท่านรึ…” ภายในรอยแยกบนแผ่นดิน มีเสียงแหบพร่าดังแว่วออกมา

“ซูหมิงคารวะอาจารย์อาเจ็ด” ช่วงที่ประสานสายตากัน มีเสียงระเบิดดังขึ้นในความคิดซูหมิง พลังชั่วร้ายราวกับไม่อาจต่อต้านสายตาคู่นั้น ทว่าสายตานี้มิได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่กวาดสายตามองและละสายตากลับ ซูหมิงพลันหายใจกระชั้นถี่ ประสานมือคารวะไปทางผืนดิน

เทียนเสียจื่อแค่นเสียงหึ เดินหน้าไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่นอกรอยแยกบนแผ่นดิน แล้วกระทืบลงไปในรอยแยกอย่างแรง

ด้านหลังเทียนเสียจื่อปรากฏทะเลโลหิตมายาในฉับพลัน ดวงตารูปปั้นหินในทะเลโลหิตเป็นประกายแวววาว สองมือที่กอดอกอยู่ค่อยๆ คลายออก

ขณะเดียวกัน ซูหมิงพบว่าดวงตาในรอยแยกบนแผ่นดินหายไป แล้วแทนที่ด้วยเงาคนซูบผอมเดินออกมาจากด้านใน จังหวะก้าวของเขาไม่เร็ว ทว่าทุกก้าวที่เหยียบลงทำให้สายตาของซูหมิงบิดเบี้ยว

เขาเดินออกมาห้าก้าว จนมาถึงเทียนเสียจื่อ พื้นที่เขาเหยียบเท้าลงพลันผุดมือขวาขึ้น กำหมัดแน่นและชกใส่ขาขวาของเทียนเสียจื่อ

ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของเงาร่างคนปรากฏภาพมายาขนาดใหญ่ ในภาพมายามีเงาคนอยู่จำนวนมาก มีทั้งชายหญิง ชราและเด็ก ยามนี้ทุกคนล้วนคุกเข่าลงกับพื้นแล้วคารวะเงาคน

“พลังแห่งวิญญาณปีศาจฟ้าดิน ไม่ใช่การฝึกฝนของเผ่าหมาน ศิษย์น้องเจ็ด เจ้ายังคงฝึกฝนวิชาจากต่างแดนอยู่อีกรึ นี่มิใช่การสร้าง!” น้ำเสียงเทียนเสียจื่อแหบแห้ง ชั่วเวลาเดียวกัน เท้าขวาของเขากับหมัดของเงาคนซูบผอมปะทะเข้าใส่กัน

เสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดังกึกก้อง เทียนเสียจื่อตัวสั่นอย่างรุนแรง ถอยหลังไปสิบกว่าจั้งติดๆ กัน ทว่าเงาคนซูบผอมจากรอยแยกกลับถอยหลังไปหลายสิบจั้งถึงหยุดลง

“ท่านก็ถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนักเหมือนกัน การสร้างที่ท่านแสวงหา…หลุดจากวงโคจรของเผ่าหมานไปแล้ว เหมือนกับข้า!”

“ที่ว่าเหมือนหมายความว่าอย่างไร!” เทียนเสียจื่อมิได้ลงมืออีก ทว่าดวงตาเป็นประกายวาววับ

“ข้าฝึกฝนวิชาจากต่างแดน ใช้มันสร้างเส้นทางของตัวเอง นี่คือการสร้างของข้า สิ่งที่ท่านฝึกฝนคือการผสมผสานวิชาของเผ่าเชมัน ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน!”

“ความคิดต่างกัน จิตวิญญาณต่างกัน ระดับที่บรรลุถึงต่างกัน ส่วนสำคัญต่างกัน ไม่มีอะไรเหมือนสักอย่าง! เมื่อห้าสิบปีก่อน เจ้ายังเสมอกับข้าในชุดม่วง ห้าสิบปีต่อมา แค่ร่างชุดม่วงเจ้ากลับเทียบข้ามิได้!

ผิดกับไม่ผิด สร้างกับไม่สร้าง ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นก็ต้องดูกันว่าใคร…จะแข็งแกร่งกว่ากัน! เจ้าผิดแล้ว!” เทียนเสียจื่อสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวเดินไปหาซูหมิง

ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเทียนเสียจื่อต่อสู้กับตาตัวเอง พลังในการกระทืบเท้าเมื่อครู่ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกพูดไม่ออก ราวกับว่าความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในเท้านั้นมากเกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของเขา

เขาอยากจดจำมัน แต่ภาพกระทืบเท้าปะทะกับหมัดของเงาคนซูบผอมกลับค่อยๆ จางหายไปเอง

จนกระทั่งเทียนเสียจื่อมายืนอยู่หน้าซูหมิง ยามเขาสะบัดแขนเสื้อม้วนซูหมิงหายลับไปจากที่แห่งนี้ ในความคิดของซูหมิงยังคงสับสน

เมื่อเทียนเสียจื่อกับซูหมิงไปแล้ว ที่ราบแห่งนี้เงียบสงบลง เงาคนซูบผอมก้มหน้า ค่อยๆ ลอยกลับเข้าไปในรอยแยก นั่งขัดสมาธิอยู่ในส่วนลึก

“ศิษย์พี่สี่…ตอนที่ท่านถูกอาจารย์ไล่ออก อาจารย์เคยบอกว่า…ท่านผิด” น้ำเสียงแก่ชรากลายเป็นเสียงถอนหายใจ รอยแยกค่อยๆ ผนึกเข้าด้วยกัน หลังจากกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว บนที่ราบก็ปรากฏต้นหญ้าสีเขียวจำนวนมากขึ้นอีกครั้ง และส่งเสียงดังแกรบๆ ท่ามกลางสายลม

บนท้องฟ้า เมฆดำรวมกลุ่มแน่น มีสายฝนโปรยปราย ทั้งยังมีฟ้าผ่าลงมา มวลอากาศบนท้องฟ้าบิดเบี้ยว ค่อยๆ ปรากฏเงาของเทียนเสียจื่อกับซูหมิงออกมา

ช่วงที่ทั้งสองคนปรากฏตัว สายฟ้าพลันผ่าลงมาอย่างรุนแรง

“เข้าใจรึยัง?” เทียนเสียจื่อหันหลังให้ซูหมิง มองชนเผ่าแห่งหนึ่งในม่านฝนตรงหน้าพลางกล่าวเนิบช้า

ซูหมิงเงียบ สีหน้ามึนงง เหมือนว่าเข้าใจบ้างเล็กน้อย ทว่าก็ยังสับสนอยู่มาก

“ไปกันเถอะ” เทียนเสียจื่อเดินหน้า ทะยานลงสู่พื้นดิน เหยียบแอ่งน้ำบนพื้น รับสายฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นค่อยๆ เดินไปทางหมู่บ้านเงียบสงบท่ามกลางสายฝน

ซูหมิงเดินตามหลังอย่างเงียบๆ ยามนี้ภาพกระทืบเท้าของเทียนเสียจื่อในความคิดเขาหายไปแล้ว จำอะไรไม่ได้เลย

เมื่อเดินเข้าไปใกล้หมู่บ้าน ซูหมิงได้ยินเสียงดังแว่วมาข้างหู

“แกรก…”

“แกรก…แกรก…”

เสียงที่ราวกับกระดูกเสียดสีกันค่อยๆ ดังแว่วมาจากในหมู่บ้านชนเผ่าธรรมดาท่ามกลางฝนฟ้าคะนอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!