ตอนที่ 294 ฝ่ายภูตผี
“จั๋วเกอเด็กคนนี้คบเพื่อนเลวพวกนั้นเลยถูกหลอกใช้…..ทว่าเรื่องนี้เขาก็ทำจริงๆ ฉะนั้นก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ!
จากนี้ไป จั๋วเกอไม่ใช่ชาวเผ่าแดนภูตอีก เขาจะเป็นจะตายอย่างไร แล้วแต่อาจารย์อา!” จ้าวหมานแดนภูตกล่าวอย่างสงบนิ่ง กล่าวจบมองจั๋วเกอแวบหนึ่งด้วยนัยน์ตาเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อ จั๋วเกอในท่านั่งคุกเข่าถูกสายลมม้วนตัวลอยไปหาพวกซูหมิง เมื่อตกลงตรงหน้าพวกซูหมิงแล้ว ชายร่างกำยำตัวดำก็หิ้วตัวเขาขึ้นพลางยิ้มเยาะ
เทียนเสียจื่อมีสีหน้าลำพองใจ ลูบเคราตรงคาง กระแอมไอหนึ่งที
“หลานชาย เจ้าดูสิ อาจารย์อากับศิษย์พี่ของเจ้าทำลายเรือนของเจ้าไปไม่น้อย…”
“ไม่เป็นไร ของนอกกาย อย่างมากก็แค่สร้างใหม่ อีกอย่างข้ารู้สึกว่าเรือนพวกนี้มันเก่าแล้ว ต้องขอบคุณอาจารย์อาที่ช่วยจัดการ” จ้าวหมานแดนภูตยิ้ม สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก
“แบบนี้ข้าก็วางใจ ทว่าหลายชาย ศิษย์พี่ของเจ้าพวกนี้ทำร้ายคนไปไม่น้อย อีกทั้งยังตายไปอีกหลายคน…” เทียนเสียจื่อมีท่าทีลำบากใจ
“ไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะขั้นพลังพวกเขายังอ่อนแอ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ต่อให้ไม่ตายวันนี้ หากเกิดสงครามกับเผ่าเชมันก็ต้องตายอยู่ดี นี่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้พวกเขา” จ้าวหมานแดนภูตยังคงมีสีหน้าปกติ อมยิ้มกล่าว ราวกับในตัวเขาไม่มีเพลิงโทสะตลอดกาล
แต่คนแบบนี้ ต่อให้แสดงได้ดีกว่านี้อีก ก็ปิดบังความเหี้ยมโหดในใจไม่มิด ซูหมิงมองจ้าวหมานแดนภูตอยู่ไกลๆ เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่า ด้วยขั้นพลังของบุคคลนี้ ตอนตนกับศิษย์พี่รองมาถึงอีกฝ่ายจะต้องรู้แน่นอน และก็รู้ด้วยว่าตนมาหาใคร
ทว่าบุคคลนี้ในตอนนั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ ถึงขั้นปล่อยให้ชาวเผ่าลงมืออย่างอิสระ จนกระทั่งพวกซูหมิงมาถึงตรงนี้ จนกระทั่งเทียนเสียจื่อปรากฎกาย เขาจึงต้องเผยตัวและกล่าวเช่นนี้
อีกทั้งยังส่งมอบจั๋วเกอให้ ทุกอย่างนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวอาจารย์อย่างชัดเจน หรือบางทีความกลัวนี้ ในตอนแรกอาจจะยังลังเลและเฝ้าสังเกตอยู่ แต่ตอนนี้ จากการปรากฏตัวของบุคคลนี้และจากท่าทีของเขา จึงทำให้มั่นใจได้
“อาจารย์อา ผู้เยาว์ยังมีของขวัญจะให้ด้วย ถือเสียว่าแทนคำขอโทษสำหรับเรื่องนี้ของเผ่าแดนภูต” จ้าวหมานแดนภูตยิ้ม หยิบสิ่งหนึ่งมาจากอกเสื้อ นั่นคือแผ่นไม้บันทึก แผ่นไม้บันทึกนี้อยู่ในมือเขา จากนั้นยกมือขวาวาดลายเส้นด้านบน เมื่อเขียนเป็นตัวอักษรเสร็จแล้วก็มอบให้เทียนเสียจื่ออย่างนอบน้อม
เทียนเสียจื่อรับมาแล้วก้มหน้ามอง พลันมีท่าทางยิ้มแย้มดีใจ
“ไม่เลวๆ จากนี้จะไม่มีใครว่าข้าบ้าอีก ใบรับรองข้ามีอันนี้เพิ่มมาอีกอัน”
จ้าวหมานแดนภูตอมยิ้ม ประสานมือคารวะเทียนเสียจื่อ
“ผู้เยาว์ยังมีเรื่องในเผ่าที่ต้องจัดการ ขอไม่ส่งอาจารย์อา หากท่านมีเวลาก็มาเป็นแขกที่เผ่าข้าได้ทุกเมื่อ” ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขายังไม่มองพวกซูหมิง และก็ไม่กล่าวถึงในคำพูดเลย ราวกับว่าพวกซูหมิงไม่อยู่ในสายตาเขา บางทีอาจไม่มีค่าพอให้สนใจ สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงเทียนเสียจื่อ
“เจ้าเกรงใจเกินไป ไม่เป็นไรๆ รีบกลับไปเถอะ ข้าก็จะไปแล้วเหมือนกัน” เทียนเสียจื่อรีบเก็บแผ่นไม้บันทึกอย่างทะนุถนอม ตบหน้าอกตัวเอง มีท่าทางพึงพอใจ ขณะกำลังหมุนตัวเดินไปหาซูหมิงเพื่อกลับพร้อมกันนั้น
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เดินหน้าหนึ่งก้าว
“อาจารย์ ศิษย์มีเรื่องอยากจะพูด”
“หืม เจ้าสี่ มีเรื่องอะไร?” เทียนเสียจื่อมองซูหมิง
จ้าวหมานแดนภูตยิ้มมุมปาก สายตายังคงมองข้ามทุกคน ต่อให้ตอนนี้ซูหมิงกล่าวเขาก็ไม่มอง มองแต่เทียนเสียจื่อ
“ตอนต่อสู้เมื่อครู่ศิษย์ทำถุงเก็บวัตถุหาย ในนั้นมีเหรียญหินสีทองห้าร้อยกว่าเหรียญ และยังมีของวิเศษอื่นๆ อีก ตอนแรกข้าเห็นว่ามีชาวเผ่าแดนภูตเอาไป ตอนนี้อาจารย์ช่วยศิษย์ขอของคืนให้ที”
ซูหมิงเพิ่งกล่าวจบ ยังไม่ทันที่เทียนเสียจื่อจะเอ่ยคำ จ้าวหมานแดนภูตก็มองซูหมิงแวบหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองซูหมิง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป ทว่าก็กลับมาดังเดิมอย่างรวดเร็ว
แต่ความเย็นชาในแววตาเมื่อครู่ ซูหมิงกลับสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
“หา มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ? เหรียญหินสีทองห้าร้อยกว่าเหรียญ มากขนาดนั้นเชียว!” เทียนเสียจื่อเบิกตากว้าง หันไปมองจ้าวหมานแดนภูตทั้งสีหน้าเคร่งขรึม
“หลานชาย นี่คือความผิดของเจ้า เอาละๆ รีบส่งของลูกศิษย์ข้ามาเถอะ”
จ้าวหมานแดนภูตเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ หยิบถุงใบหนึ่งมาจากอกเสื้อ แล้วหยิบเหรียญหินสีทองหกร้อยเหรียญออกมา เหรียญหินเหล่านั้นแม้ไม่อาจเทียบกับเหรียญที่เทียนหลันเมิ่งให้ ทว่าก็ใกล้เคียง โดยเฉพาะจำนวนและมูลค่า เป็นสิ่งที่ซูหมิงไม่เคยพบมาก่อน
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก นี่คือเหรียญหินทองหกร้อยเหรียญ ศิษย์น้อง เจ้าดูเอา” จ้าวหมานแดนภูตยิ้มมุมปากพลางมองซูหมิง
“แม้เหรียญหินจะดี แต่ในเขตรอบนอกนี้ชายแดนเหนือคุมอยู่ ตอนนี้ใกล้สงครามหมอกนภาล่าเชมันแล้ว แน่นอนว่าต้องออกไปซื้อของอะไรข้างนอกบ้าง หากมีอะไรเกิดขึ้น…” คนที่กล่าวมิใช่ซูหมิง แต่เป็นศิษย์พี่รองข้างกาย
คำพูดของเขาไม่เย็นชา แต่กลับนุ่มนวล เหมือนลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ช่วงที่กล่าวจบ ซูหมิงพลันหันหน้ามองศิษย์พี่รอง
ศิษย์พี่รองในตอนนี้ไร้ความเย็นชา กลับมาเป็นชายอบอุ่นคนที่ชอบให้แสงแดดส่องแถบใบหน้า เขายิ้มอ่อนโยนพร้อมพยักหน้าให้ซูหมิง เปลือกนอกหล่อเหลา รอยยิ้มเจิดจ้า ทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเรียบๆ ทำให้ซูหมิงยากจะมองเขากับบุคคลเมื่อครู่เป็นคนเดียวกัน และยากจะเชื่อว่าศิษย์พี่รองมาแล้วจริงๆ
ช่วงที่กล่าว จ้าวหมานแดนภูตเพ่งมองศิษย์พี่รอง สีหน้าพลันทะมึนทึบ แล้วจึงกล่าวเรียบๆ
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา หากก่อนสงครามหมอกนภาล่าเชมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า เผ่าแดนภูตจะรับผิดชอบเอง!”
“แบบนี้เองรึ เช่นนั้นข้าก็กล้าพูดแล้ว อาจารย์ จริงๆ แล้วข้าก็ทำเหรียญหินหายไปไม่น้อยเหมือนกัน…” ศิษย์พี่รองยิ้มอย่างอบอุ่น
“หา? เจ้าก็ทำหายเหมือนกันรึ มารดาเจ้าเถอะ พวกเจ้าออกมามีเรื่องแบบนี้ เหตุใดถึงพกของมีค่ามา ดีๆๆ ข้อนี้ดีมาก เอ่อ…เจ้าสอง หลังจากนี้เขียนเอาไว้ในกฎของยอดเขาลำดับเก้าด้วย!” เทียนเสียจื่อพยักหน้าอย่างพอใจ
ศิษย์พี่รองเหมือนรู้สึกผิดเล็กน้อย มองจ้าวหมานแดนภูตที่มีสีหน้าทะมึน
“เอ่อ…..ข้าหายไม่เยอะ เพียงห้าร้อยเหรียญหินทอง ตรีศูลภูตผีหนึ่งเล่ม ของวิเศษสิบชิ้น แล้วก็ยาเหลวรักษาแผลหนึ่งร้อยกว่าขวด…ไม่เยอะ ไม่เยอะจริงๆ ของอื่นช่างมันเถอะ ข้าไม่ใจแคบหรอก น้องสี่ เจ้ายังมีอะไรหายอีกหรือไม่?” ศิษย์พี่รองอมยิ้ม กล่าวเบาๆ ยามมองซูหมิง
ยามนี้จ้าวหมานแดนภูตมีสีหน้ามืดทะมึนมากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีซูหมิงคิดว่าตนกินเรียบแล้ว แต่พอได้ยินศิษย์พี่รองพูด ถึงรู้ว่าอะไรคือกินเรียบ….
“เอ่อ…ข้าจำได้ว่ายังมีหินน้ำแข็งหายอีกหนึ่งร้อยกว่าก้อน อืม ยังมีว่านรวมกระดูก กิ่งไม้สามรส ใบกล้วยไม้ธุลี…” ซูหมิงพูดชื่อสมุนไพรหลายสิบชนิด
“และยังมีกระดูกสัตว์เทียบเท่าขั้นชำระล้างอีกเจ็ดชิ้น ตัวหุ่นเชิดขั้นชำระล้างแปดตน และยังมี…” ซูหมิงพูดไปพูดมา ก็ไม่รู้แล้วว่ามีอะไรอีกบ้าง
สีหน้าทะมึนของจ้าวหมานแดนภูตยามนี้กลายเป็นจิตสังหาร จ้องพวกซูหมิงด้วยความเย็นชา ชาวเผ่าแดนภูตโดยรอบล้วนมีสีหน้าโกรธแค้น
“อะแฮ่ม น้องสี่ เจ้านี่ความจำไม่ดีเลย ข้าจำได้ว่าในถุงเก็บของเจ้ายังมีตรีศูลภูตผีอีกหนึ่งเล่ม” ศิษย์พี่รองกระแอมหลายครั้ง
“ข้านึกออกแล้ว ยังมีตรีศูลภูตผีด้วย” ซูหมิงขยิบตา รีบกล่าว
จ้าวหมานแดนภูตพูดไม่ออก ทว่าเมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วจึงหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยลืมตาขึ้น แววตาเขาสงบลง ยิ้มแล้วพยักหน้า
“แม้ข้าจะแปลกใจยิ่งนักว่าเจ้าใส่หุ่นเชิดเจ็ดแปดตนไว้ในถุงเก็บของอย่างไร…และก็แปลกใจด้วยว่า ตรีศูลภูตผีสมบัติล้ำค่าเฉพาะของเผ่าแดนภูตไปอยู่ในถุงของพวกเจ้าได้อย่างไร…แต่ในเมื่อพวกเจ้าทำหายในเผ่าแดนภูต เช่นนั้นข้าก็จะให้พวกเจ้า!” จ้าวหมานแดนภูตเพิ่งกล่าวจบ พลันเงยหน้ามองทอดไกลแวบหนึ่ง
บริเวณนั้นมีชายร่างกำยำถือขวานยักษ์กำลังวิ่งมาอย่างเร็ว เขาวิ่งไปพลาง ตะโกนเสียงดังไปพลาง
“รอเดี๋ยว รอเดี๋ยว…ข้าหู่จื่อก็ทำของหายไม่น้อยเหมือนกัน”
ศิษย์พี่รองยิ้มบาง ในมือเขามีหญ้าสีเขียวหนึ่งใบ ยามนี้หญ้านั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน เรื่องผลประโยชน์แบบนี้เขาไม่มีทางลืมศิษย์ร่วมอาจารย์เป็นแน่ อย่างเช่นหู่จื่อ เขาก็ใช้วิธีการน่าอัศจรรย์ปลุกขึ้นมาและบอกให้รู้…
“ข้าทำสุราชั้นดีหายหนึ่งหมื่นไห! ข้าทำหายแค่นี้ ไม่มีอะไรหายแล้ว เจ้าคืนสุราข้ามา!” หู่จื่อหอบหายใจแรง วิ่งมาอยู่ข้างซูหมิง กล่าวเสียงดังกับจ้าวหมานแดนภูต แววตาคาดหวังและรอคอยหยั่งลึก
จ้าวหมานแดนภูตกำหมัดแน่นก่อนเงียบไปอีกครู่หนึ่ง แล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวเดินไปทางเมืองเผ่าแดนภูต นอกที่ราบหิมะ
“เอาให้พวกเขา!” น้ำเสียงดังกึกก้องแฝงไว้ด้วยความโกรธ
ทว่าเพิ่งกล่าวจบ เขายังไม่ทันเดินไปไหนไกล เทียนเสียจื่อก็กลอกตา กระแอมอีกหลายทีแล้วกล่าวขึ้นกับจ้าวหมานแดนภูต
“เอ่อ…หลานชาย? เจ้าดู ข้าก็อายุเยอะแล้ว ความจำไม่ค่อยจะดี ข้าเพิ่งนึกออกว่า ข้าก็ทำของหายเหมือนกัน….”
จ้าวหมานแดนภูตพลันหยุดชะงัก เขาหันหลังให้ทุกคนจึงมองไม่เห็นสีหน้า แต่กลับรู้สึกได้ถึงความโกรธทะลวงฟ้า
เหมือนว่าเขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป ทว่าช่วงที่จะระเบิดโทสะ พลันมีเสียงย่ำฝีเท้าบนหิมะดังแว่วมาจากใต้ที่ราบหิมะ จากนั้นมีร่างคนสวมชุดคลุมม่วงทั้งตัว คลุมศีรษะ ค่อยๆ เดินเข้ามาบนที่ราบหิมะอย่างช้าๆ
“ทุกอย่างที่พวกเจ้าทำหาย จะให้พวกเจ้าทั้งหมด…..ทว่าข้าต้องการคุยกับเขาเพียงลำพัง…..” ร่างคนยกมือขวาขึ้น แขนนั้นแห้งเหี่ยวเหมือนโครงกระดูก นิ้วมือก็เช่นกัน ทั้งยังมีเล็บยาว จุดที่เขาชี้…ก็คือซูหมิง!
น้ำเสียงเขาแหบพร่า เหมือนทะลวงผ่านกาลเวลา ล่องลอยไม่มั่นคงอยู่กลางฟ้าดิน…
“ฝ่ายภูตผี!” เทียนเสียจื่อมีสีหน้าจริงจัง เสื้อคลุมของเขาจากสีขาว เหมือนมีเค้าลางจะเปลี่ยนสี