ตอนที่ 298 ยอดเขาลำดับเก้า ซูหมิง!
สัตว์หุ่นเชิดเป็นสีดำทึบทั้งตัว ไม่มีขน ดูเหมือนคนยักษ์สี่ขา กำลังห้อวิ่งบนพื้นเหมือนสัตว์ป่า และเพราะรูปร่างประหลาดของมัน จึงทำให้คนที่พบระหว่างทางชำเลืองมองแล้วต้องรีบหลบ
หลายวันมานี้ เรื่องเกี่ยวกับยอดเขาลำดับเก้าบุกเผ่าชายแดนเหนือกลายเป็นหนึ่งในข่าวลือจำนวนมากของยอดเขานี้ แม้ยังมีหลายคนไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงของเผ่าชายแดนเหนือ เผ่าชายแดนเหนือกลับเงียบมาตลอด ระดับความน่าเชื่อถือในข่าวลือจึงสูงขึ้นตามมา
โดยเฉพาะคนที่รู้จักกับเผ่าชายแดนเหนือบางส่วน ด้วยการสืบข่าวก็พอรู้คำตอบที่ทำให้พวกเขาตื่นตะลึงแล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงเท็จประการใด ท่าทีของทุกคนต่อยอดเขาลำดับเก้าก็เปลี่ยนไป
การแปรเปลี่ยนครั้งนี้ใช่ว่าอยากจะเข้ามาตีสนิท แต่เป็นหวาดกลัวจนต้องหลบหน้า
ยามนี้เห็นจื่อเชอ ต่อให้เป็นพวกที่ไม่เคยเห็นซูหมิงก็มองออกในแวบแรกว่า ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างจื่อเชอและมีแผลเป็นบนใบหน้านี้ จะต้องเป็นซูหมิงแห่งยอดเขาลำดับเก้าแน่นอน!
ซูหมิงคนที่ต่อสู้กับซือหม่าซิ่น และบุกชายแดนเหนือด้วยเพลิงโทสะ ทว่ากลับไม่เป็นอะไรเลย!
ซูหมิงนั่งอยู่บนสัตว์หุ่นเชิดอย่างสงบนิ่ง หลับตาลง เขาไม่อยากเสียเวลาแม้แต่น้อย จึงให้ร่างกายตนปรับตัวกับน้ำหนักกำไลน้ำแข็งสิบหกวงไปเรื่อยๆ
เขาเชื่อว่า เมื่อเขาบินหรือเดินได้อย่างปกติเหมือนก่อนหน้านี้ หากเอากำไลน้ำแข็งออก ความเร็วจะเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
ช่วงนี้เขาขบคิดได้ว่าจะใส่กำไลน้ำแข็งทั้งหมดบนเท้าไม่ได้ เพราะมันจะไม่สอดรับกัน เมื่อเขาเริ่มปรับตัวได้เล็กน้อยแล้ว ถึงเพิ่มกำไลน้ำแข็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกายเพื่อความสมดุล
‘น่าเสียดาย เวลาก่อนสงครามหมอกนภาล่าเชมันเหลือน้อยเกินไป ไม่ถึงสองเดือน…’ ซูหมิงหลับตาขณะขบคิด จื่อเชอข้างกายมีสีหน้าปกติ เขาไม่สนใจท่าทีหลบหลีกและความสนใจของผู้คนระหว่างทาง รวมถึงเสียงสนทนาที่ดังแว่วเข้ามาแม้แต่น้อย
แต่ในใจเขายังคงตื่นตัวตลอดเวลา บางครั้งก็กวาดสายตามองไปรอบๆ หากมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับซูหมิง เขาจะพุ่งออกไปขวางหน้าเป็นคนแรก
ไป๋ซู่มีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย ติดตามอยู่ข้างซูหมิง เหตุการณ์ที่ผู้คนหลีกทาง รวมถึงเป็นเป้าสายตา นางไม่ได้ประสบมานานมากแล้ว มีแค่ตอนอยู่กับซือหม่าซิ่นเท่านั้นถึงจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ทว่าไม่คิดเลย แม้อยู่ข้างกายซูหมิงก็ยังเกิดภาพเช่นนี้อีก
อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แม้บอกว่าเหมือนกัน ความจริงแล้วมันเป็นความรู้สึกสองชนิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนอยู่กับซือหม่าซิ่น ในสายตาที่มองมามีความเคารพชื่นชม มีความรักใคร่บูชาในตัวซือหม่าซิ่น แม้จะหลีกทางให้ ก็มักจะหลีกอย่างนอบน้อม ส่วนซือหม่าซิ่นเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าให้
ส่วนนางก็ต้องยิ้มเมื่ออยู่ข้างกายซือหม่าซิ่น รักษาบุคลิกให้เหมือนกับซือหม่าซิ่น อมยิ้มให้ทุกคน ตอนแรกนางก็รู้สึกว่าไม่เลว ทว่าพอเอามาเปรียบเทียบ…
ยามนี้มันกลับไม่เป็นธรรมชาติ สายตาที่โถมเข้ามาเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยความสงสัย ไม่ยอมล่วงเกิน ร่างคนที่หลบหลีกมิใช่เพราะเคารพนับถือ แต่เป็นเพราะข่าวลือของยอดเขาลำดับเก้าในช่วงหลายวันมานี้
ไป๋ซู่ไม่ต้องบังคับให้ตัวเองฝืนยิ้มอีก นางถลึงตามองได้ตามนิสัยของนาง มองคนที่หลบหลีกระหว่างทางเหล่านั้น หากไม่พอใจก็ยังใช้เสียงอย่างโหดเหี้ยมได้ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้นางผ่อนคลายมาก เทียบกันแล้วนางชอบแบบนี้มากกว่า
คิดไปคิดมา ไป๋ซู่ก็มองซูหมิง มองท่านั่งสมาธิหลับตาของเขา ใบหน้านางเผยรอยยิ้มบาง เพียงแต่ในรอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความคิดจะเย้าเล่น ไม่รู้ว่าเกิดความคิดอะไรอีก
หุ่นเชิดเคลื่อนตัวไม่ช้า เมื่อเข้าสู่ยามโพล้เพล้ของวันที่สี่ บนหิมะกว้างไกลตรงหน้าปรากฏชนเผ่าที่มีกระโจมหนังเป็นโครงสร้างชั่วคราวหลังใหญ่
ชนเผ่านี้ยิ่งใหญ่นัก ตรงกลางเป็นแท่นสร้างจากซุงไม้ยักษ์จำนวนมาก โดยรอบสามารถบรรจุคนราวเกือบหนึ่งพันคน ลักษณะทรงอานุภาพ ดูแล้วมีอากาศถ่ายเทสบาย
ภายในชนเผ่ายามนี้มีชาวเผ่าจำนวนมากเข้าๆ ออกๆ กระโจมหนังหลายแห่ง นอกจากนี้แล้ว ภายในชนเผ่ายังมีชายร่างกำยำอีกไม่น้อย พวกเขาล้วนมีขั้นพลังไม่ธรรมดา คอยลาดตระเวนอย่างเย็นชา
ชุดของคนเหล่านี้ต่างจากคนที่เข้าออกซื้อขายเหล่านั้นอย่างชัดเจน บนเสื้อพวกเขามีสัญลักษณ์ตะวันพ้นขอบทะเล นั่นคือสัญลักษณ์พิเศษอย่างยิ่ง เมื่อมองแวบแรกจะจำได้ทันที เพราะว่าตะวันพ้นทะเลเป็นสีแดงโลหิต เหมือนกับพลังชั่วร้ายกระทบใบหน้า
โดยรอบชนเผ่ายังมีสิ่งก่อสร้างพิลึกอีกจำนวนหนึ่ง เหมือนกระบี่แหลมหลายเล่มพุ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน เพียงแต่ว่าความใหญ่ของกระบี่คล้ายเรือ สูงหนึ่งร้อยจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่โดยรอบจำนวนมาก หากลองนับจะพบว่ามีสิบแปดลำ
การมาถึงของพวกซูหมิง ลักษณะของสัตว์หุ่นเชิดพลันดึงความสนใจของผู้คน ในกลุ่มคนที่ลาดตระเวนอยู่มีสามคนทะยานขึ้น เร่งบินเข้ามาทางสัตว์หุ่นเชิด
“ผู้มาเยือนหยุดก่อน!” องค์รักษ์ลาดตระเวนสามคนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าสัตว์หุ่นเชิด มองพวกซูหมิง ความเย็นชาในแววตาพวกเขาแฝงด้วยเจตนาร้ายรางๆ กวาดสายตามองสัตว์หุ่นเชิดไม่หยุด ราวกับอยากพิจารณาอย่างละเอียด
อีกทั้งมีอยู่คนหนึ่ง เขามองจื่อเชอเป็นคนแรก จากนั้นหยิบม้วนหนังสัตว์ผืนหนึ่งมาจากอกเสื้อ กางออกแล้วมองอยู่ครู่หนึ่ง
“งานประมูลสำนักทะเลตะวันออก ยินดีต้อนรับสหายจื่อเชอแห่งยอดเขาลำดับสองสำนักเหมันต์สวรรค์ และท่านนี้คงจะเป็นแม่นางไป๋ซู่แห่งยอดเขาลำดับเจ็ด” คนอ่านหนังสัตว์เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ คารวะจื่อเชอกับไป๋ซู่ ขณะกล่าวยังเหลือบตามองซูหมิงที่ยังนั่งฌานอยู่ ดูสงสัยเล็กน้อย
จื่อเชอหรี่ม่านตา สำนักทะเลตะวันออกรู้ชื่อตน เขาไม่แปลกใจเท่าไรนัก เพราะงานประมูลแลกเปลี่ยนกันของสองสำนักใหญ่ในครั้งนี้ นอกจากการประมูลสิ่งของแล้ว ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าคือมอบโอกาสให้แต่ละฝ่ายตรวจสอบกันและกัน
อีกฝ่ายจะต้องเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วเป็นแน่ ถึงได้รู้จักจื่อเชอ รู้จักไป๋ซู่ นี่เป็นเรื่องปกติ
“พูดดี ไม่ทราบว่าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร?” จื่อเชอคารวะกลับ กล่าวเสียงหนักแน่น เขามองแวบแรกก็รู้แล้วว่าในสามคนนี้ คนที่ถือหนังสัตว์เป็นหัวหน้า ขั้นพลังของบุคคลนี้ก็ไม่ธรรมดา อยู่ประมาณชำระล้างตอนกลาง ส่วนอีกสองคนข้างกายอยู่ชำระล้างตอนต้น
“ในสำนักทะเลตะวันออกข้าไม่มีชื่อเสียงอะไร สหายจื่อเชอไม่น่าจะสนใจอยากรู้มากนัก งานประมูลจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เชิญสหายจื่อเชอกับแม่นางไป๋ซู่ตามพวกข้ามา ข้าจะพาพวกท่านไปพักที่เรือน” ชายถือหนังสัตว์ยิ้มๆ ขณะส่ายศีรษะกล่าว นัยน์ตาขยับประกายมองซูหมิง
“ทว่าสหายท่านนี้ไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย หากไม่มีบัตรเชิญก็คงจะให้เข้าไปไม่ได้” ขณะกล่าว อีกสองคนข้างกายมีสีหน้าเย็นชาขึ้น มองที่ซูหมิง
จื่อเชอขมวดคิ้ว เดินหน้าหนึ่งก้าว เหมือนกำลังจะกล่าว
ซูหมิงลืมตาขึ้น แววตาเขาสงบนิ่ง มองสามคนตรงหน้าสัตว์หุ่นเชิด ยกมือขวาสะบัด พลันมีบัตรเชิญกลายเป็นสายรุ้งยาวลอยไปทางคนถือหนังสัตว์
บัตรเชิญนี้รวดเร็วยิ่งนัก ขณะสะบัดมือเกิดเสียงลากยาวเหมือนผ่าอากาศก็มิปาน ทำให้ชายถือหนังสัตว์สีหน้าเปลี่ยน ห้อเหยียดถอยหลัง ทว่ายังถอยไม่ถึงสองก้าว บัตรเชิญก็มาอยู่ตรงระหว่างคิ้วเขาและยังไม่หยุด มันหมือนจะทะลวงระหว่างคิ้วของเขาไป
คนถือหนังสัตว์หรี่ม่านตาลง ขณะถอยก็พลันระเบิดพลังแกร่งกล้า รอบตัวเขามีหมอกดำโอบล้อม กลายเป็นเกราะคล้ายเกราะแม่ทัพเทพของซูหมิงเล็กน้อย ทว่ามีรายละเอียดต่างกัน
แม้เป็นเช่นนั้น ทว่าเกราะนี้ก็เป็นเกราะแม่ทัพเทพจริงๆ ทันทีที่เกราะปรากฏ แรงกดดันแผ่ขยาย ทำให้เส้นผมชายคนนี้เคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม แต่สีหน้าเขากลับตื่นตะลึง
ด้วยความเร็วขั้นนี้ของบัตรเชิญ มันพลันหยุดห่างจากระหว่างคิ้วเขาสามชุ่น ลอยแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนว่าทุกอย่างที่ชายถือหนังสัตว์ทำก่อนหน้านี้ไม่มีผลอะไร ต่อให้เขาไม่เตรียมรับมือ ต่อให้เขายังยืนนิ่ง บัตรเชิญนี้ก็จะไม่ทำร้ายเขา
เขามีสีหน้าทะมึน มองซูหมิงที่กำลังมองเขาอย่างสงบนิ่งบนสัตว์หุ่นเชิด ช่วงที่ทั้งสองคนประสานสายตากัน มีเสียงระเบิดดังในความคิดชายถือหนังสัตว์ทันใด ร่างโซเซถอยหลังไปหลายก้าว
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เร็วจนอีกสองคนข้างชายถือหนังสัตว์ยังตั้งสติไม่ทัน ยามนี้ถึงเพิ่งมีสีหน้าโกรธ แต่ก็ยังตะลึงกับการจู่โจมน่าทึ่งที่มาพร้อมกับความเร็วของบัตรเชิญ
ในใจจื่อเชอสั่นสะท้านเช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าบุคคลธรรมดาที่มารับจะเป็นแม่ทัพเทพ บุคคลนี้ไม่มีชื่อเสียงในสำนักทะเลตะวันออกจริงๆ หรือว่า…ตั้งใจปกปิดฐานะ แฝงตัวอยู่ในหน่วยลาดตระเวน แอบตรวจสอบศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ที่มา
น่าเสียดาย เขาเจอซูหมิง!
“นี่คือบัตรเชิญ” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ ไม่ช้าไม่เร็ว
ชายถือหนังสัตว์ใบหน้าซีดขาว เงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่หยิบบัตรเชิญทันที แต่ประสานมือคารวะซูหมิง
“ข้าเอ๋าเฉินไท่แห่งสำนักทะเลตะวันออก ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”
“ยอดเขาลำดับเก้า ซูหมิง” ซูหมิงไม่ปิดบัง กล่าวเนิบช้า
เอ๋าเฉินไท่สีหน้าเปลี่ยน พิจารณามองซูหมิงอีกหลายรอบ ขณะกำลังจะพูด แต่ทันใดนั้น บริเวณกระโจมหนังสิบกว่าหลังที่มีภาพสัญลักษณ์สีทองประดับอยู่ด้านบน หนึ่งหลังในนั้นมีชายวัยกลางคนเดินออกมาผู้หนึ่ง เขาสวมชุดคลุมสีม่วง ใบหน้าขาวผ่อง ดวงตาสองข้างปานสายฟ้า วูบไหวตัวเหยียบอยู่บนอากาศ ตัวยังไม่ทันมาถึงก็มีเสียงหัวเราะดังมาก่อน
“ที่แท้เป็นคนยอดเขาลำดับเก้า เฉินไท่ถอยไปก่อน ยอดเขาลำดับเก้า ข้าจะต้อนรับเอง”