Skip to content

สู่วิถีอสุรา 3

ตอนที่ 3 แสงอ่อนลานตา

กลางดึก ซูหมิงนอนอยู่ในเรือนของตน มองความมืดมิดโดยรอบอยู่นานก็ยังไม่อาจเข้าสู่นิทรา คำพูดของท่านปู่ยังคงวนเวียนอยู่รอบหู ในหัวของเขายังคงปรากฏภาพเมื่อเก้าปีก่อนซ้ำไปมา

ซูหมิงถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูอย่างเงียบๆ ลมหนาวเหน็บพัดเข้าใส่จนผมยุ่งเหยิง ลมนั้นคล้ายมาตามแสงของพระจันทร์ สาดส่องบนผืนแผ่นดิน

โดยรอบเงียบสงัดนัก มีเพียงเสียงนกหรือเสียงแมลงเบาๆ ดังมาจากเขาทมิฬที่ห่างไกลออกไป ในเผ่าส่วนใหญ่มืดมิด มีเพียงกองไฟ ณ ใจกลางที่ยังมีเปลวเพลิงกระเซ็นเล็กน้อย และแสงจากคบเพลิงบางส่วนบนกำแพงไม้ซุงรอบทิศ ในค่ำคืนมืดมิดเช่นนี้ ยังมีเสียงเปาะแปะดังจากการเผาไหม้ของไม้อีกด้วย

ซูหมิงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงจันทร์ส่องสว่าง ดวงดาราเบาบาง สว่างจ้าละลานตา ทางช้างเผือกราวกับนิรันดร์ ในดวงตาของซูหมิงค่อยๆ ฉายแววสับสน

“คนในเผ่าต่างดีกับข้ามาก แต่รูปร่างข้ากลับไม่เหมือนกับพวกเขา…บางที นี่อาจจะมีส่วนที่ทำให้ข้าล้มเหลวในพิธีคารวะเทวรูปแห่งหมาน…”

“ไม่มีกายแห่งหมาน ก็ไม่มีวันฝึกพลังหมานได้ จะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ไม่อาจออกไปเห็นโลกที่ตำราหนังสัตว์ได้เขียนเอาไว้…” ซูหมิงนั่งลงอย่างเงียบๆ หลังพิงเรือนแหงนหน้ามองท้องฟ้า ความสับสนในแววตาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น

ยามนี้ เสียงเพลงโศกพลันดังแว่วอยู่ในเผ่า เสียงนั้นช่างเจ็บปวดรวดร้าว ราวผสานเป็นหนึ่งกับแสงจันทร์ และแผ่ลงบนผืนดินกว้างของเผ่าเขาทมิฬแห่งนี้

ซูหมิงขมวดคิ้ว เสียงเพลงขัดจังหวะความฉงน

ไม่ต้องลุกขึ้นดูเขาก็รู้ว่าหลิ่วตี๋เป่าซวิน[1]อีกแล้ว

หลิ่วตี๋คือนักรบหมานชั้นล่างภายในเผ่า สิ่งที่เขาชอบเป็นที่สุดคือเป่าบรรเลงเพลงซวินประหลาด เสียงเพลงนี้โศกเศร้ายิ่ง ซูหมิงได้ยินเมื่อใดมักทุกข์ใจอยู่บ้าง จึงไม่ค่อยชอบมันนัก

“เผ่าหมานมีบรรพบุรุษ เบิกสวรรค์สร้างสายเลือด ตกทอดกันมาหมื่นยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน…ผู้ปกปักเผ่าหมานโผบินทะลวงปฐพี เคลื่อนภูผาพลิกมหาสมุทร…มีลายเส้นแห่งหมานติดต่อกับสวรรค์ สามารถเด็ดดวงดารา จันทรา และสุริยา…”

ค่ำคืนอันมืดมิดนี้ ในเผ่าเขาทมิฬมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งมองท้องฟ้าพร้อมพึมพำกับตนเอง…

เขาในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเลยว่าแผ่นหินสีดำที่แขวนอยู่บนคอกำลังเปล่งแสงรำไรอีกครั้ง…

กาลเวลาหมุนเปลี่ยน ไม่นานก็ถึงวันที่สาม

วันนี้เป็นวันที่ลาซูรุ่นนี้ของเผ่าจะต้องเข้าพิธีชี้นำหมาน ตั้งแต่รุ่งอรุณทั้งเผ่าจะครึกครื้นอย่างมาก แทบจะทุกคนในเผ่าเดินออกมา พร้อมพาลาซูในสกุลของตนมารวมตัวกัน ณ ใจกลางชนเผ่า

พิธีชี้นำหมานส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาทั้งวัน โดยเฉพาะพิธีชี้นำหมานของลาซูตอนวัยสิบหกปี จะเหมือนพิธีบรรลุนิติภาวะ ยิ่งกว่านั้น หลังลาซูทำพิธีชี้นำหมานเสร็จ ในวันนี้ก็ยังสามารถเลือกคู่ครองได้เลยอีกด้วย

เสียงกลองดังกึกก้องเป็นจังหวะพิลึกในเผ่า พร้อมกับลาซูเดินออกจากฝูงชน มาอยู่ตรงใจกลางทีละคน

ลาซูที่เข้าพิธีชี้นำหมานในครั้งนี้มีประมาณสามสิบกว่าคน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเด็กหนุ่ม แม้ว่าพวกเขาอายุไม่มาก ทว่าร่างกายกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เผยกลิ่นอายของความห้าวหาญ

แม้แต่เด็กสาวพวกนั้นก็ยังมีลักษณะเดียวกัน เป็นเช่นนี้แล้ว ซูหมิงที่อยู่กลางผู้คนจึงดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่เข้ากับผู้อื่นโดยรอบเอาเสียเลย

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ทว่าผู้คนที่นี่กลับยอมรับการมีตัวตนของเขา แม้ว่ารูปร่างของซูหมิงออกจะแตกต่างจากพวกเขา ทว่าก็ไม่ได้ขับไล่ กลับรับเข้ามาอยู่ด้วยกันและกลายเป็นสมาชิกของคนในเผ่า

เมื่อให้ลาซูที่เตรียมเข้าพิธีล้อมเป็นวงกลมแล้ว ผู้คนในเผ่าต่างเต้นระบำอยู่กับที่ของตน ใช้การระบำบูชาสวรรค์ ใช้ร่างกายเป็นสิ่งแสดงถึงการเซ่นไหว้และการเคารพต่อฟ้าดิน

“ซูหมิง ได้ยินคนในเผ่าคุยว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าไปที่เขามังกรทมิฬและยังเก็บน้ำลายมังกรทมิฬกลับมาอีกรึ” ขณะคนในเผ่ากำลังเต้นระบำโห่ร้อง มีเสียงใสซื่อดังเข้ามาจากด้านข้างของซูหมิง

เป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวเดียวกัน ผิวหนังหยาบกร้าน รูปร่างค่อนข้างแข็งแรง แทบจะโอบซูหมิงได้ทั้งตัว นัยน์ตาเป็นประกายของเขามองมาที่ซูหมิงพร้อมยิ้มใสซื่อ

ซูหมิงมองเด็กหนุ่มที่กำลังกล่าว บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม เด็กหนุ่มคนนี้มีนามว่าเหลยเฉิน เป็นเพื่อนสนิทของเขาที่มีไม่มากในเผ่า

“ได้มาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อวานไปหาเจ้า เห็นบิดาเจ้าว่าเจ้าขึ้นเขาไปกับกลุ่มล่าสัตว์ รอพิธีชี้นำแห่งหมานจบก่อน ไว้ข้าจะแบ่งให้เจ้า”

เด็กหนุ่มนามเหลยเฉินแววตาเป็นประกาย รีบตรงไปเข้าไปทันที ก่อนยิ้มซื่อๆ

“ตอนแรกก็ว่าจะกลับมาเร็วหน่อย แต่บังเอิญไปเจอกวางเตียว[2]เข้า แต่ก่อนได้ยินเจ้าว่าอยากได้เลือดกวางเตียวมาปรุงยา ข้าเลยตามมันไป กว่าจะถึงเผ่าก็มืดค่ำแล้ว”

ซูหมิงทราบดี อีกฝ่ายกล่าวเหมือนง่าย ทว่าความจริงแล้วกวางเตียวล่ายากมาก ซ้ำยังค่อนข้างอันตราย ยามนี้ความอบอุ่นจึงเกิดขึ้นในใจเขา

ขณะทั้งสองกำลังสนทนากัน เสียงโห่ร้องโดยรอบพลันเงียบลงอย่างช้าๆ ผู้คนถอยห่างออกไป เห็นเพียงท่านปู่ของเผ่าเขาทมิฬ สวมผ้าเนื้อหยาบ ในมือถือไม้เท้ากระดูกสีดำทุกส่วน เดินเข้ามาพร้อมกับเหล่าผู้ติดตาม ก่อนยืนอยู่เบื้องหน้าลาซู

การปรากฏตัวของเขาทำให้โดยรอบพลันเงียบสงัด แววตาของเด็กหนุ่มเหล่านี้เต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรง เห็นได้ชัดถึงความหวาดกลัวที่มีต่อท่านปู่ผู้นี้

“เซ่นไหว้บรรพบุรุษแห่งหมาน!” ดวงตาท่านปู่แวววาว กวาดมองทุกคน ก่อนจะหยุดอยู่ที่ซูหมิงชั่วครู่ ขณะกล่าวก็สะบัดไม้เท้ากระดูกสีดำขึ้น ทันใดนั้นเหล่าชายฉกรรจ์หลายสิบคนรีบเดินออกมาจากฝูงชน บนหลังแบกสัตว์ป่าที่ถูกมัดเอาไว้หลายตัว

สัตวฺป่าพวกนั้นยังมีชีวิต ยามนี้แผดเสียงร้องดังดิ้นรนไม่หยุดหย่อน ทว่าก็ไร้ประโยชน์

หลังจากสัตว์ป่าหลากชนิดสี่สิบเก้าตัวถูกหามออกมาได้ไม่นาน ก็ถูกนำมาวางล้อมรอบลาซู เสียงร้องแหลมดังกึกก้องรวมเป็นหนึ่ง ปรากฏเป็นพลังทะลวงวิญญาณพุ่งออกมารางๆ เพียงแต่ว่าด้านข้างพวกมันมีชายฉกรรจ์เผ่าเขาทมิฬยืนเฝ้า จับมันกดเอาไว้แน่นไม่ให้หลุดไปได้

ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้างสัตว์ป่าไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนก้มหน้าพร้อมกัน มือซ้ายถือมีดหินแหลม ก่อนแทงทะลุคอสัตว์ป่าและตัดคอของพวกมัน

เสียงแผดร้องดังขึ้นถึงขีดสุดพร้อมกับหัวที่หลุดออก เป็นที่น่าสะเทือนขวัญอย่างยิ่ง ทำให้ลาซูสามสิบกว่าคนที่เตรียมเข้าพิธีชี้นำหมานหน้าถอดสีด้วยความกลัว

ใบหน้าซูหมิงขาวซีด ทว่าก็กัดฟันทนเอาไว้ ปรายตามองเหลยเฉินด้านข้าง พบว่าในแววตาเป็นประกาย เลือดเย็นราวกับอีกฝ่ายคุ้นชินกับมัน และยังแอบแฝงความพอใจเอาไว้เล็กน้อย เทียบกับรอยยิ้มซื่อๆ เมื่อครู่แล้วราวกับคนละคน

โลหิตสดจำนวนมากพลันพุ่งทะลักราวกับน้ำพุก็มิปาน ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง กระเซ็นเข้าใส่ลาซูทั้งสามสิบกว่าคน เปียกทั้งเส้นผม ร่างกาย ฝ่าเท้า และผืนดิน

“พวกเจ้าโชคดีเพราะว่าวันนี้ไม่มีการประลองในเผ่า แต่ในขณะเดียวกัน พวกเจ้าก็โชคไม่ดีเหมือนกัน…” ท่านปู่มองเหล่าลาซู พร้อมกล่าวเสียงเบา

“ตอนข้าเป็นเด็ก พิธีชี้นำแห่งหมานตอนอายุสิบหก จำเป็นต้องตัดหัวเผ่าศัตรูและดื่มเลือดของมันถึงจะสำเร็จพิธีชี้นำหมานได้ เทียบกับตอนนี้แล้วพวกเจ้าโชคดี…แต่โชคไม่ดีก็คือ พวกเจ้าได้เห็นแค่เลือดสัตว์ แต่ไม่ได้สัมผัสกับหัวของศัตรู…” ท่านปู่กล่าวเรียบๆ พร้อมมองไปยังเหล่าลาซู ก่อนชูไม้เท้ากระดูกขึ้น ชี้ยังไปเบื้องหน้า

ขณะเดียวกันนี้ มือซ้ายที่กำเอาไว้ชูขึ้นก่อนคลายออกในทันที พลังแข็งแกร่งพลันแผ่กระจายจากตัวของเขา พลังนี้หมุนวนรอบทิศ ก่อขึ้นเป็นพายุคลั่งส่งเสียงหวีดร้องตลบไปทั่วทั้งเผ่าเขาทมิฬ

เห็นเพียงใบหน้าของท่านปู่ปรากฏลวดลายตัดสลับกันไปมา พลันก่อรูปเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าลักษณะคล้ายศีรษะงูเหลือม

มันมีชีวิตชีวาราวกับของจริงบนใบหน้า แหงนศีรษะมองฟ้าร้องคำรามไร้เสียง แม้ว่าสองหูจะไม่ได้ยิน ทว่าผู้คนในเผ่าเขาทมิฬทุกคนรวมถึงจ้าวเผ่าผู้แข็งแกร่งยังตัวสั่น ถอยกรูห่างไปหลายก้าว

“ลวดลายงูเหลือมทมิฬ…นี่มันลวดลายแห่งหมานของท่านปู่” ซูหมิงจ้องท่านปู่ตาค้าง มองลวดลายบนใบหน้า ในใจสั่นสะท้าน ครั้งก่อนที่ได้เห็นคือเมื่อเก้าปีก่อน ตอนนี้ได้เห็นอีกครั้ง กลับซาบซึ้งมากกว่าตอนนั้นหลายเท่านัก

“พลังของท่านปู่เพียงคนเดียวสามารถถล่มได้ทั้งชนเผ่า ท่านในตอนนี้เป็นเพียงลำดับเก้าขั้นรวมโลหิตเท่านั้น…ไม่รู้ว่าขั้นชำระล้างจะแข็งแกร่งขนาดไหน…”

“ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูกที่ถัดจากขั้นชำระล้างเลย…ในตำราหนังสัตว์เคยกล่าวไว้ว่า แม้แต่ชนเผ่าขนาดกลางยังหาตัวได้ยากยิ่ง มีเพียงชนเผ่าขนาดใหญ่บางส่วนเท่านั้นถึงจะมีหมานขั้นเซ่นไหว้กระดูกบ้าง” ซูหมิงตื่นตะลึงยิ่งนัก ในใจยิ่งปรารถนาจะเป็นนักรบแห่งหมาน

“ด้วยเลือดของดินแดนแห่งนี้และร่างสัตว์ป่า ขออัญเชิญเทวรูปหมานแห่งเขาทมิฬ!”

น้ำเสียงท่านปู่ราวกับเสียงฟ้าร้องหยุดความคิดของซูหมิง ขณะท่านปู่กล่าว ซากศพสัตว์ป่าพลันระเบิดกระจาย เลือดเนื้อและโลหิตบนผืนดินรวมทั้งโลหิตบนตัวลาซูล้วนถูกพลังไร้ลักษณ์ดูดและถอนกลับ หลอมรวมเข้าด้วยกันกลางอากาศ ก่อตัวขึ้นเป็นเลือดเนื้อก้อนใหญ่

“การชี้นำแห่งหมาน!” ชายร่างกำยำด้านข้างท่านปู่และจ้าวเผ่าเขาทมิฬพลันตะโกนเสียงดัง

รวมถึงลาซูทั้งหมดเองก็กัดปลายลิ้นของตนอย่างไม่ลังเล ก่อนพ่นโลหิตออกมา โลหิตของพวกเขาพุ่งทะยานสู่ฟ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากถูกก้อนเลือดเนื้อดูดเข้าไปแล้ว ปรากฏเสียงดังสนั่นขึ้น ก้อนเลือดเนื้อพลันกลายเป็นเทวรูปสีดำ

มันเป็นเทวรูปดุร้าย ครึ่งหนึ่งของมันเป็นคน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์ อบอวลไปด้วยพลังบรรพกาลป่าเถื่อน มือข้างหนึ่งจับมังกรตัวยาว ส่วนอีกมือหนึ่งถือหอกเล่มใหญ่ ดวงตาทั้งสองข้างเผยความบ้าคลั่งและกระหายเลือด

การปรากฏตัวของมันทำให้ท้องฟ้าพลันมืดครึ้ม ราวกับถูกอานุภาพของมันกลืนกิน

“เทวรูปหมานแห่งเขาทมิฬ….” ซูหมิงใจเต้นตึกตักราวกับจะระเบิด ทว่าในขณะนั้นเอง เศษหินตรงคอปล่อยกระแสไออุ่นไหลเข้าไปในร่างของเขา ทำให้ความรู้สึกทุกข์มลายหายไป

ความรู้สึกนี้ทำให้ซูหมิงตกตะลึง ขณะคิดจะก้มหน้าไปดู ก็เป็นช่วงเดียวกับที่เสียงของท่านปู่ดังกังวานขึ้น

“ขึ้นมาตามลำดับ เข้าไปในเทวรูปแห่งหมานเพื่อคารวะ!”

กล่าวจบ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้าไวเข้ามา เมื่อขึ้นไปเหยียบอยู่ใต้เทวรูปแห่งหมานแล้ว ทั่วร่างพลันหายไป ผ่านไปไม่นาน เด็กหนุ่มคนเดิมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าเย็นชาตรงจุดที่หายไป ก่อนถอยลงไปอยู่ด้านข้างโดยเงียบขรึมไม่กล่าวสิ่งใด

“คนต่อไป!” คนที่กล่าวเป็นจ้าวเผ่าเขาทมิฬ ชายร่างกำยำคนนี้ดูน่าเกรงขาม กวาดสายตาไปยังเหล่าลาซู

ลาซูหลายต่อหลายคนเดินขึ้นไปตามลำดับ หลังจากหายไปไม่นานจะปรากฏตัวอีกครั้ง กระทั่งสตรีคนหนึ่งเข้าไปในเทวรูปแห่งหมาน จึงปรากฏแสงสีแดงขยับวูบวาบจากเทวรูป

ทันใดนั้นผู้คนทั้งเผ่าพากันตื่นตะลึง แม้แต่ท่านปู่ยังใจจดใจจ่อมองดู หลังจากลำแสงสีแดงวูบวาบต่อเนื่องได้เก้าครั้ง เงาของเด็กสาวคนนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

“มีกายหมาน!”

“เทวรูปแห่งหมานกะพริบแสงเก้าครั้ง นั่นแสดงว่ามีกายหมาน!”

เด็กสาวปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

“เจ้าคงชื่ออูลากระมัง ดีมาก มาหาข้านี่” ท่านปู่ยิ้มบาง มองเด็กสาวพร้อมกับพยักหน้า

เห็นเด็กสาวคนนั้นเดินไปหาท่านปู่ ซูหมิงเงียบขรึม กัดฟันเดินไปยังเทวรูปแห่งหมาน การเดินออกมาของเขาดึงความสนใจของคนในเผ่าที่รายล้อมอยู่ทันที

สำหรับเด็กหนุ่มที่แตกต่างจากพวกเขาอย่างเห็นได้ชัดคนนี้ ผู้คนในเผ่าเขาทมิฬส่วนใหญ่ต่างสงสารเขา ทุกสายตาจับจ้องไปยังซูหมิงเป็นตาเดียว กระทั่งเขายืนอยู่เบื้องล่างเทวรูปแห่งหมาน

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองท่านปู่ที่ยามนี้มองเขาอยู่ไม่ไกลเช่นกัน แล้วจึงปิดเปลือกตาทั้งสอง ในขณะนั้นเขารู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างโอบล้อมตัวเอาไว้ ราวกับหลอมรวมเข้าไปอยู่กลางดินเลน ขณะที่ลืมตาขึ้น ทั้งหมดโดยรอบล้วนเปลี่ยนไป

นี่ไม่ใช่เผ่าเขาทมิฬ แต่เป็นมิติที่ไม่ใหญ่นัก โดยรอบมืดมิด มีเพียงเทวรูปสีดำลอยอยู่เบื้องหน้าและเปล่งแสงสีแดงเท่านั้น

ลักษณะของเทวรูปเหมือนกับเทวรูปแห่งหมานด้านนอกไม่มีผิด ซ้ำยังแผ่พลังบรรพกาลป่าเถื่อน

ซูหมิงมองไปยังเทวรูปแห่งหมาน เงียบขรึมอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะทำการคารวะ

ผ่านไปนาน บนใบหน้าซูหมิงปรากฏความขมขื่น เขาทราบดีว่า หากมีกายหมานแค่คารวะเพียงหนึ่งครั้งก็ทำให้เทวรูปเปล่งแสงสีแดงได้แล้ว ทว่านี่มันเหมือนกับเมื่อเก้าปีก่อนไม่มีผิด

“ชั่วชีวิตนี้ข้าคงเป็นนักรบแห่งหมานไม่ได้แล้ว…” ซูหมิงกัดริมฝีปาก ถอนหายใจยาว ก่อนหมุนตัวเดินจากไป

ทว่าในขณะที่เขากำลังหมุนตัวกลับ ทั่วร่างพลันสั่นสะท้าน หันกลับไปมองเทวรูปแล้วยืนตกตะลึง!

ขณะเดียวกันนั้น เขามองไปตรงอกของตน แผ่นหินที่เขามองข้ามกำลังขับแสงอ่อนจางละลานตา…

[1] ซวิน คือเครื่องดนตรีประเภทเป่า มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 7 พันปี รูปทรงคล้ายไข่ไก่ มักทำจากดินเผา ไม้ หรือกระดูก

[2] เตียว ปกติจะหมายถึงสัตว์คล้ายตัวมิงค์ หรือ เออร์มิน (เพียงพอน)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!