Skip to content

สู่วิถีอสุรา 32

ตอนที่ 32 เล่อสั่ว

“ดูเส้นผมของเจ้า มันขาวไปทั้งหัวแล้ว” ไป๋หลิงอุดปากหัวเราะคิกคิก ดวงตาทั้งสองข้างสว่างไสว ทำให้ความรู้สึกแปลกในใจของซูหมิงเด่นชัดยิ่งขึ้น

“อย่าว่าแต่ข้า ผมของเจ้าเองก็เป็นสีขาวเหมือนกัน อย่างกับยายแก่” ซูหมิงชี้ไปที่นาง หัวเราะกล่าว

ทั้งสองคนต่างพูดคุยและส่งเสียงหัวเราะ ราวกับในยามนี้สนิทสนมกัน ในค่ำคืนหิมะแห่งนี้ ซูหมิงรู้สึกว่าในร่างกายและจิตใจของเขาเกิดความรู้สึกงดงามบางอย่าง เขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ไม่นานท้องฟ้าห่างไกลเริ่มเป็นสีขาวโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว

นั่นไม่ใช่หิมะ แต่เป็นแสงแรกของตะวัน

ค่ำคืนมืดมิดผ่านไป เมื่อแสงตะวันตรงเส้นขอบฟ้าสาดส่องลงบนผืนแผ่นดินใหญ่ เกล็ดหิมะยังคงโปรยปราย ซูหมิงและไป๋หลิงกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ต่างคนต่างล้างหน้าบ้วนปาก พลางมองหน้าแล้วยิ้มให้แก่กัน

ซูหมิงไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ย่อตัวลง ไป๋หลิงกะพริบตาโต ก่อนเดินเข้ามาแล้วหมอบลงบนหลังของซูหมิง ความรู้สึกอบอุ่นก่อตัวขึ้น ณ ก้นบึ้งหัวใจนาง

ในครั้งนี้ ยิ่งซูหมิงเข้าใกล้เผ่ามังกรทมิฬเท่าไร ในใจกลับยิ่งเกิดความรู้สึกแปลก ราวกับไม่อยากแยกจาก เขานิ่งเงียบไม่กล่าวใดๆ เพียงแต่ฝีเท้ากลับชะลอลง ก่อนเปลี่ยนเส้นทางแล้ววนอ้อมกลับมาที่เดิมอีกครั้ง

ไป๋หลิงหมอบอยู่บนหลังของซูหมิง แม้นางจะเห็นทิวทัศน์ที่ปรากฏขึ้นวนซ้ำไปมาเฉกเช่นเมื่อวาน และทราบดีว่าซูหมิงวิ่งวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ทว่าครั้งนี้นางกลับไม่กล่าวขึ้น แต่ใช้ศีรษะวางแนบกับหลังของซูหมิง ฟังเสียงจังหวะหัวใจของเขา

บทเพลงยังมีวันจบ…..เมื่อตะวันลอยขึ้นสูง ก่อนท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเป็นยามโพล้เพล้อีกครั้ง หิมะยังคงโปรยปราย ภาพลางเผ่ามังกรทมิฬปรากฏขึ้นในแววตาของซูหมิง

เมื่อเห็นเผ่ามังกรทมิฬ ซูหมิงจึงปล่อยไป๋หลิงลง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

“เจ้าถึงบ้านแล้ว”

ไป๋หลิงมองเผ่าของตนแวบหนึ่ง ก่อนหันมามองซูหมิง บนใบหน้างามไม่อาจมองเห็นความคิดของนางได้ นางพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินมาอยู่เบื้องหน้าซูหมิง ก่อนใช้มือขาวผ่องปัดหิมะบนตัวให้กับเขา

“ขอบใจนะ…..เจ้าเองก็รีบกลับเผ่าของเจ้าเถิด…..” คลับคล้ายว่าไป๋หลิงอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากลับนิ่งเงียบ เพียงแต่เผยรอยยิ้มสง่างาม ถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนหมุนตัวแล้วเดินไปทางเผ่าของตน

ซูหมิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองเงาไป๋หลิงค่อยๆ ไกลออกไป บ้างก็หันกลับมาโบกมือให้เขาก่อนเดินลับหายไป ในหัวของเขายามนี้ขาวโพลน

ทั้งนางและเขาห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ หิมะโปรยปรายบนท้องฟ้าราวกับกีดกันพวกเขาทั้งสอง มันทำให้สายตาของเขาพร่ามัว และค่อยๆ กลบเงาของนางจนลับหายไป เปรียบดั่งเดินข้ามผ่านแดนหิมะ หากไม่หวนคืน แล้วจะได้เห็นหิมะละลายหรือ เปรียบดั่งเดินอยู่ในกาลเวลา หากไม่หวนนึกย้อน แล้วจะได้ยินเสียงถอนใจของผู้ใดท่ามกลางกาลเวลาหรือ

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงจึงส่ายศีรษะ แล้วมองเผ่ามังกรทมิฬแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวจากไป ยามมามีหิมะอยู่เป็นเพื่อน ยามกลับก็ยังเป็นเช่นนั้น

เกล็ดหิมะตกใส่ตัวและเส้นผมของเขา ทว่ากลับทำให้ซูหมิงรู้สึกราวกับขาดอะไรไปบางอย่าง

“ชอบอย่างนั้นหรือ….” ซูหมิงพุ่งทะยานอยู่ในป่าทึบ มุ่งหน้าไปยังเผ่าเขาทมิฬ เขาขมวดคิ้วเป็นปม นึกถึงภาพของไป๋หลิงตลอดทาง

“ความรู้สึกต่างจากตอนอยู่กับเฉินซิน….” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ออกแรงสั่นศีรษะราวกับอยากสะบัดความคิดพิกลที่ไม่เคยเกิดขึ้นนี้ให้หายไป เมื่อตั้งสมาธิแน่วแน่แล้ว นัยน์ตาพลันเป็นประกาย ก่อนเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง

ยามตะวันลาลับขอบฟ้า ดวงดาราสว่างไสว อยู่เป็นสหายแสงจันทร์สาดส่อง และยังมีหิมะตกข้ามวันข้ามคืน ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ในนี่สุดซูหมิงก็กลับมาถึงเผ่าของตน เผ่าเขาทมิฬ

เมื่อวานเขาเคยมองทอดไกล จึงพอมั่นใจว่าชนเผ่ายังคงอยู่ดี ยามนี้กลับมา เขายืนอยู่ด้านนอกประตูไม้ซุงบานใหญ่ เห็นชาวเผ่ากำลังยืนเฝ้ารักษาการณ์

ในเผ่าเงียบสงัดยิ่งนัก ณ ใจกลางมีกองไฟลุกไหม้ ส่งสียงดังเปาะแปะ ซูหมิงเดินเข้ามาในเผ่ากวาดสายตามองไปรอบๆ จนมาถึงหน้าเรือนของท่านปู่

ในกระโจมหนังของท่านปู่ยังมีแสงไฟเล็ดลอด เห็นได้ว่ายังไม่เข้านอน

“ซูหมิงหรือ เข้ามา” เสียงท่านปู่ดังขึ้น ทั้งยังแฝงด้วยความเหนื่อยล้า

ซูหมิงเปิดม่านอย่างเบามือ แล้วเดินเข้าไป เขาเห็นท่านปู่กำลังนั่งขัดสมาธิ เส้นผมขาวเป็นสีดอกเลา ค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย

“ท่านปู่” ซูหมิงกล่าวเสียงค่อย นั่งลงข้างๆ

“ในเผ่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง” ท่านปู่มองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม หลังจากให้ซูหมิงขยับเข้ามานั่งข้างตนแล้ว จึงใช้มือขวาเหี่ยวย่นลูบไปบนศีรษะของซูหมิง ใบหน้ายิ้มแย้มมากขึ้น

“ทะลวงสู่ลำดับสามแล้วรึ ไม่เลว!”

ซูหมิงมองท่านปู่ ก่อนค่อยๆ เล่าถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในถ้ำภูเขาไฟ โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงโครงกระดูก เขาสังเกตได้ว่าสีหน้าของท่านปู่พลันเคร่งขรึม

“สวรรค์หนอสวรรค์ มีอะไรให้เศร้าโศกหรือ….ท่านปู่ ประโยคนี้มันหมายความว่าอย่างไร?” ซูหมิงขมวดคิ้วขึ้น

“ตำนานมีอยู่จริงๆ ด้วย…” ท่านปู่มองม่านหนัง สายตาของเขาราวกับมองทะลุผ่านไปยังภูเขาทมิฬ

“ประโยคนี้น่าจะเป็นการถามตัวเอง เทียบกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ข้ามีอะไรให้เศร้าโศกหรือ…. หรืออาจจะมีความหมายแฝงอยู่ก็เป็นได้…..” ท่านปู่ถอนหายใจเบาๆ ไม่ทราบว่ากำลังนึกถึงอะไร กล่าวขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ส่วนคำที่ว่าคารวะเพลิง ปู่เองก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ บางทีที่เจ้าได้เห็นมัน อาจจะเป็นวาสนาของเจ้า” ท่านปู่ละสายตา แล้วมองซูหมิงด้วยความเมตตา

“หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ปู่จะไปเผ่าร่องลม ตอนนั้นหากเจ้าอยู่ข้างนอก จำไว้ต้องรีบกลับมา”

“ยังมีอีกเรื่องท่านปู่ ตอนข้าอยู่ในรังของพวกค้างคาวจันทรา ข้าได้ช่วยคนของเผ่ามังกรทมิฬเอาไว้คนหนึ่ง นางชื่อไป๋หลิง เป็นหลานสาวของจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬ” ซูหมิงพยักหน้า ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวขึ้น

“ไป๋หลิง?” ท่านปู่งุนงง ตกอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง ก่อนให้ซูหมิงกลับไปพักผ่อน หลังจากซูหมิงเดินออกไปแล้ว ในดวงตาของท่านปู่ฉายแววหวนรำลึก

“เล่อสั่ว….ลาซูเผ่าข้าช่วยชีวิตหลานสาวของเจ้าเอาไว้…..เรื่องนี้ บางทีอาจจะทำให้ความเกลียดชังของเจ้าที่มีต่อข้าลดน้อยลงไปบ้าง…….” ท่านปู่ถอนหายใจเบาๆ นัยน์ตาฉายแววคะนึงคิดมากขึ้น

“จันทร์โลหิตอุบัติก่อนเวลาอันควร……อีกทั้งในค่ำคืนนั้นยังมีพลังโลหิตมหาศาลแผ่ขยายมาจากเผ่าภูผาดำ…..ภัยพิบัติกำลังจะมาเยือน……” ท่านปู่หลับตา กล่าวพึมพำกับตน ใบหน้าเผยความกังวลใจ

หลังจากซูหมิงเดินออกจากกระโจมหนังท่านปู่แล้ว เขาไม่ได้กลับกระโจมหนังของตนในทันที แต่เดินไปที่เรือนของเหลยเฉิน เห็นบนตัวอีกฝ่ายมีบาดแผลเล็กน้อย ทว่าก็ยังคงแข็งแรงร่าเริงเช่นเดิม เมื่อได้ทายาให้แก่เหลยเฉินด้วยตนเองแล้ว ซูหมิงจึงค่อยสบายใจ

เหลยเฉินดูค่อนข้างดีใจที่ได้เห็นซูหมิง เขาตบหน้าอกตัวเอง แล้วเริ่มโม้ถึงเหตุการณ์ที่เขาต่อสู่กับค้างคาวจันทรา น้ำลายกระเซ็น เล่าอยู่นานมาก จนซูหมิงหัวเราะแล้วขอตัวกลับไปก่อน

ยามนี้ท้องฟ้ามืดมิด ซูหมิงอยู่ในกระโจมหนังของตน ทว่าสายตาของเขากลับจ้องไปบนแสงไฟที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก ใบหน้าเผยความลังเล

ที่นั่นคือเรือนของผู้นำกองรักษาการณ์ และเป็นเรือนของเป่ยหลิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!