Skip to content

สู่วิถีอสุรา 33

ตอนที่ 33 เคล็ดวิชาหมานเพลิง

ซูหมิงมองเรือนที่มีแสงเล็ดลอดออกมาจากด้านใน ลังเลอยู่พักหนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดก็เลือกที่จะไม่เข้าไป แต่เดินกลับมายังเรือนของตนท่ามกลางเกล็ดหิมะโปรยปรายและแสงจันทร์

พอไมได้กลับมาหลายวัน ภานในเรือนเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ พ่นควันออกมาเป็นหมอกขาว ผู้ใดได้พบเห็น เป็นอันต้องสัมผัสได้ถึงความหนาวของที่แห่งนี้

เรือนอ้างว้างไร้ความอบอุ่น ความรู้สึกช่างแตกต่างกับเรือนของเหลยเฉินยิ่งนัก ซูหมิงหากิ่งไม้แห้งเพื่อนำมาเป็นฟืนจุดไฟ แล้วอยู่ในเรือนเงียบๆ เพียงลำพัง ไฟลุกลามขึ้นอย่างเชื่องช้า แม้เขาจะใช้พลังโลหิตจากลำดับสามขั้นรวมโลหิตต้านทานความหนาวได้ ทว่าเขากลับเกิดความรู้สึกว่าในเรือนแห่งนี้ขาดอะไรไปบางอย่างโดยที่เขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้

ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ แสงไฟค่อยๆ แผ่ขยายนำมาซึ่งความอบอุ่น ทำให้ความหนาวในเรือนแห่งนี้มลายหายไป เขานั่งอยู่ข้างกองไฟ มองเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ อดเหม่อลอยมิได้ เขาอิจฉาเหลยเฉินมาตั้งแต่เยาว์วัย อิจฉาเป่ยหลิง อิจฉาเฉินซิน เพราะพวกเขามีครอบครัว มีท่านพ่อและท่านแม่

แม้ท่านปู่จะดีกับซูหมิงมาก ทว่าท่านก็เป็นจ้าวหมานของเผ่า จะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปกป้องและช่วยเหลือชาวเผ่า ตอนซูหมิงยังเล็ก เขาจึงเรียนรู้ที่จะอยู่เพียงลำพังและความอ้างว้าง

หิมะตกหนักด้านนอก ทั้งยังมีเสียงลมพัดครืนๆ ดังกึกก้อง ม่านกระโจมหนังกะพรือส่งเสียงพรึบพรับ มีลมหนาวเล็ดลอดเข้ามาบ่อยครั้ง ทำให้เปลวเพลิงกวัดแกว่งอย่างรุนแรง

ยามนี้แสงไฟจากเปลวเพลิงสาดส่องซูหมิง เขานั่งกอดเข่าตัวเอง มองกองไฟอยู่นาน บ้างถอนหายใจ

“ท่านปู่บอกว่าข้าเป็นเด็กที่ถูกเก็บมา….เช่นนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ายังอยู่หรือไม่…..” ซูหมิงมีสีหน้าย่ำแย่ ความรู้สึกเช่นนี้ ถูกปิดซ่อนในใจของเขามานานหลายปี เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าตนโดดเดี่ยว ตนเหงา จึงมักใช้รอยยิ้มเพื่อปกปิดเรื่อยมา

เพียงแต่ในค่ำคืนหิมะแห่งนี้ หลังจากไปเรือนของเหลยเฉินแล้วได้สัมผัสถึงความอบอุ่น พอกลับมายังกระโจมหนังอันหนาวเหน็บของตนแล้ว กลับไม่อาจปิดซ่อนความรู้สึกเช่นนี้ได้อีกต่อไป

“ท่านพ่อกับท่านแม่ของไป๋หลิงเองก็ไม่อยู่เช่นกัน ไม่รู้ว่านางในตอนนี้ จะพักผ่อนแล้วหรือว่าอยู่ข้างกองไฟเช่นเดียวกับข้า กำลังนึก……” ซูหมิงพึมพำกับตนเอง ปรากฏเสียงหัวเราะเสนาะหูกับเงาของไป๋หลิงขึ้นในความคิด

ซูหมิงพลันชะงัก เขาพอเดาได้แล้วว่าเหตุใดตนถึงได้เกิดความรู้สึกแปลกขึ้นกับไป๋หลิง บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับความงามของนาง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก

ประเด็นสำคัญคือ ซูหมิงสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เหมือนกับตนจากตัวนาง นั่นคือความโดดเดี่ยวที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มและเหลี่ยมจัด

ความอบอุ่นในกระโจมหนังมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ทำให้ความหนาวเหน็บมลายหายจนสิ้น และรวมกันอยู่บนกระโจมหนังก่อตัวขึ้นเป็นหยดน้ำ

ความอบอุ่นในกระโจมแห่งนี้ราวกับหลอมละลายหัวใจของซูหมิง ทำให้ความรู้สึกอ้างว้างเจือจางลง ทว่าในขณะนั้นเอง ราวกับสวรรค์ไม่ยินยอม พลันเกิดพายุโหมกระหน่ำส่งเสียงหวีดร้อง เกล็ดหิมะมหาศาลถาโถมเข้าใส่ คลื่นลมพายุรุนแรงยิ่งนัก ราวกับมีมือใหญ่ปาดเข้าใส่ชนเผ่า

กระโจมหนังของซูหมิงพลันกะพรือส่งเสียงพรึบพรับอย่างรุนแรง แม้แต่ประตูม่านยังถูกเปิดออก

ลมหนาวซัดสาดส่งเสียงครืนครืน โหมกระหน่ำเข้ามาในกระโจมหนัง ท่ามกลางลมหนาวเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ มันตกลงบนกองเพลิงคลับคล้ายจะมอดดับในไม่ช้า

ซูหมิงแหงนหน้ามองประตูม่านที่กำลังสั่นไหวตามลมพายุ ความอบอุ่นในกระโจมหนังพลันมลายหายไป เขายันกายขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วเดินออกไปยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ แหงนหน้ามองท้องฟ้า

ผืนฟ้าดินถูกพายุหิมะกลืนกิน แสงจันทร์ถูกบดบังจนเลือนราง

ซูหมิงมองแสงจันทร์ พลันนึกถึงค้างคาวจันทรา นึกถึงตอนอยู่ในเผ่าหมานเพลิง โครงกระดูกที่เขาเห็น และยังมีอักษรที่โครงกระดูกดังกล่าวเขียนไว้ก่อนสิ้นลง

“เขาเป็นหมานปรารถนา จากปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง………หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน………ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง!”

ซูหมิงกล่าวพึมพำ ประโยคเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวของเขาหลายครั้ง เขายังคงขบคิด แต่กลับรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง

“เขาเป็นหมานปรารถนา หมานปรารถนาตรงนี้พอเข้าใจได้ น่าจะเป็นความปรารถนาของหมานอะไรพวกนี้ และอาจจะเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีบางอย่าง แต่เขา…….นี่หมายถึงใครกัน……. จะว่าโครงกระดูกอุปมาถึงตัวเอง…..ก็ไม่น่าใช่” ซูหมิงนั่งอยู่นอกกระโจมท่ามกลางพายุหิมะ ในความคิดของเขา ไม่ว่าจะอยู่ข้างนอกหรือข้างในมันก็ไม่มีความอบอุ่นเหมือนกัน แต่อยู่ข้างนอกยังดีเสียกว่า เพราะยังมีสายลมคอยอยู่เป็นเพื่อน มีแสงจันทร์ให้ได้มอง

“เขาคือใคร…..ข้าไม่เข้าใจ แต่ประโยคหลังจากนั้น ปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีจงหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง…….

ประโยคนี้เหมือนจะแสดงถึงภาพเหตุการณ์ ราวกับจะบอกว่าหากนำไฟหลอมเข้าสู่โลหิต เพียงนึกคิดก็แผดเผาท้องฟ้าได้……” แววตาซูหมิงเป็นประกาย นั่งมองแสงจันทร์บนท้องฟ้าพลางขบคิด

“หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน……..ท่านปู่เคยบอกว่า ตะวันเป็นหยาง จันทราเป็นหยิน คำพูดนี้มีเหตุผลมาก ใต้แสงตะวันส่วนใหญ่แล้วจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ทว่าพอเปลี่ยนเป็นใต้แสงจันทรากลับรู้สึกหนาวเย็น แล้วจันทร์อัคคีมันคืออะไรกันแน่…..สีของเพลิงเป็นสีแดง หรือว่าจะหมายถึงจันทร์สีแดง จันทร์โลหิต?”

ซูหมิงขมวดคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจ

“ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตเผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง…ประโยคนี้ราวกับบอกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง….เพื่อเป็นเส้นทางไปสู่การคารวะเพลิง…..” ซูหมิงมองแสงจันทร์บนท้องฟ้ากว้าง ความคิดหนึ่งพลันแวบแล่นเข้ามา ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างพลันฉายประกาย

“หรือว่า….ที่ประโยคนี้กล่าวจะเป็น เคล็ดวิชาหมาน!” ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ก็ยิ่งเข้าใจความหมายมากขึ้น ที่แท้มันก็คือเคล็ดวิชาหมาน!

“ปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีจงหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง ที่ประโยคนี้กล่าวก็คือความแข็งแกร่งและประสิทธิผลของเคล็ดวิชาหมานนี้!

ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง และความหมายของประโยคนี้ก็คือวิธีการฝึกฝน!

ไม่ผิดน่าจะเป็นเช่นนี้ ส่วนประโยคท่อนนั้นที่ว่า หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน น่าจะหมายถึงเงื่อนไขของการฝึกฝน! “

ซูหมิงตื่นตะลึง ประโยคดังกล่าวนี้ทำให้เขาครุ่นคิดมาหลายวัน ยามนี้พอได้วิเคราะห์ก็พลันราบรื่นไปหมด เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง

“ยังไม่ได้ เงื่อนไขการฝึกฝนนี้จะต้องให้จันทร์อัคคีพ้นเมฆา ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่…..หรือว่าจะต้องรออีกหลายปีจนกว่าจันทร์โลหิตจะปรากฏอีกครั้ง?”

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววครุ่นคิด จนแสงจันทร์เริ่มถูกแสงจากขอบฟ้ามาแทนที่ ยามรุ่งอรุณค่อยๆ มาเยือน ทว่าซูหมิงยังคงคิดไม่ออกถึงวิธีการฝึกฝน

ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วยันกายขึ้น ก่อนยืดเส้นยืดสายสักเล็กน้อย ยามรุ่งสางเริ่มมีผู้คนเดินออกมาจากกระโจมหนัง เมื่อพวกเขาเริ่มต้นชีวิตในวันใหม่ ซูหมิงก็เดินออกจากเผ่าไปแล้ว

“เงื่อนไขการทะลวงสู่ลำดับสี่ขั้นรวมโลหิตคือเส้นเลือดยี่สิบห้าเส้น ตอนนี้ข้าเพิ่งมีเพียงสิบเอ็ดเส้น ต้องเร่งฝึกฝนแล้ว อีกทั้งยังมีโลหิตวิญญาณผา ไม่รู้ว่าเมื่อหลอมเสร็จแล้วสรรพคุณจะเป็นเช่นไร หวังว่ามันจะช่วยในเรื่องการฝึกฝนของข้า”

ซูหมิงห้อเหยียดเข้าไปในป่าทึบ หลังจากทะลวงสู่ลำดับสามแล้ว ความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย

ยามเที่ยงวันเขาก็เดินทางมาถึงยอดเขาไอทมิฬ เขาปีนมุ่งขึ้นไปยังถ้ำภูเขาไฟ พอมาได้ครึ่งทาง บนใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้ม เพราะได้ยินเสียงเสียงของเสี่ยวหง จึงแหงนหน้าขึ้นไปมอง ก็พบกับเงาสีแดงเพลิงกำลังนอนหาวอยู่ตรงปากถ้ำภูเขาไฟ มือทั้งสองข้างถือผลไม้ป่าแทะอย่างรวดเร็ว พลางกลอกตาไปมา

ยามที่ซูหมิงมองมัน เสี่ยวหงก็สังเกตเห็นเขาได้เช่นเดียวกัน ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย โยนผลไม้ป่าที่กินเหลือไว้ครึ่งหนึ่งทิ้งไป ก่อนกระโดดเข้ากอดซูหมิง ปีนป่ายบนตัวเขา ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ

ซูหมิงเผยรอยยิ้มมีความสุข แล้วปีนป่ายต่อไป ไม่นานเขาก็มาอยู่ตรงปากถ้ำภูเขาไฟ สูดสายลมหุบเขาเข้าลึก ก่อนมุดเข้าไปด้านในพร้อมกับเสี่ยวหง

เวลาผ่านไปหลายวันท่ามกลางความเงียบสงัด ซูหมิงกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับการฝึกฝนและหลอมสมุนไพรเฉกเช่นเมื่อหลายเดือนก่อน ในค่ำคืนนี้เขานั่งมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า พลางขบคิดถึงคำว่าจันทร์อัคคีพ้นเมฆา

กระทั่งถึงขั้นลงทุนขุดช่องบนผนังหินในถ้ำภูเขาไฟเพื่อให้ง่ายแก่การมองดวงจันทร์ ทำให้แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ในถ้ำ ทว่าก็ยังมองเห็นดวงจันทร์ผ่านช่องเหล่านั้น

มีเสียงอู้อี้ดังมาจากในถ้ำภูเขาไฟบ่อยครั้ง กระทั่งหลายวันต่อมาจึงค่อยๆ ลดน้อยลง โอสถวิญญาณผา ในที่สุดซูหมิงก็หลอมมันสำเร็จภายในเจ็ดวันนับตั้งแต่ที่กลับมา

มันเป็นเม็ดโอสถสีน้ำเงิน กลิ่นหอมสมุนไพรไม่เข้มข้นนัก ทว่าหากลองดมแล้ว กลับรู้สึกราวกับได้กลิ่นอายจากลมหุบเขา ทั้งยังมีความรู้สึกบางอย่างไหลเวียนอยู่ในและนอกร่างกาย

“โอสถวิญญาณผา” ซูหมิงนั่งยองบนพื้นหินนอกถ้ำภูเขาไฟ แหงนหน้ามองอาทิตย์ยามอัศดง ในมือถือเม็ดโอสถ ในความคิดของเขาการหลอมสมุนไพรชนิดนี้ยากกว่าการหลอมโอสถชำระล้างหลายเท่า อัตราการล้มเหลวมีสูงมาก

ใบตาข่ายเมฆาที่ซูหมิงซื้อมา ยามนี้เขาใช้ไปมากกว่าครึ่ง ทว่ากลับหลอมมาได้เพียงสองเม็ดเท่านั้น พอเป็นเช่นนี้แล้วยิ่งทำให้ซูหมิงไม่อยากใช้มันเพื่อทดสอบสรรพคุณสักเท่าไร

“ไม่น่าใช่ยาพิษ….” ซูหมิงดมกลิ่นหอมเม็ดโอสถ เขาสังเกตและวิเคราะห์ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา จนตะวันลาลับขอบฟ้า โดยรอบมืดมิด ซูหมิงจึงนำเม็ดโอสถชนิดนี้ใส่ปากตนเองอย่างไม่ลังเล

จุดแตกต่างจากโอสถชำระล้างคือมันไม่ละลายในปาก ซูหมิงขมวดคิ้วขึ้น ออกแรงเคี้ยวหลายครั้ง เมื่อรู้สึกได้ว่าเม็ดโอสถละเอียดแล้วจึงกลืนลงไป

ทว่ารออยู่นานในร่างกายยังคงปกติ ซูหมิงลูบท้องของตนแล้วรอต่ออีกสักพัก จนกระทั่งยันกายขึ้นแล้วกลับเข้าไปในถ้ำเพื่อโคจรเส้นเลือดในกาย ทว่ามันยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“แปลก…..” นัยน์ตาซูหมิงฉายแววครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนพลันเป็นประกาย เขาหยิบขวดโอสถชำระล้างจากอกเสื้อ แล้วกินเข้าไปหนึ่งเม็ด

โอสถชำระล้างละลายในปากอย่างรวดเร็ว ความอ่อนโยนพลันแผ่ซ่านในร่างกาย ทว่าในขณะนั้นเอง กลับมีความร้อนแผดเผาน่าสะพรึงพลันระเบิดขึ้นจากในร่างกายของเขา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!