ตอนที่ 347 ผู้กล้าหาญ
ช่วงที่ลูกสายฟ้ากับกระบี่เล็กแสงดำถูกชายเชมันสวมหน้ากากคำรามใส่ปานสัตว์ร้าย ซ้ำยังเจอวิชาเฉพาะของเชมันนักสู้จนพลังลดลง ในที่สุดชายเผ่าเชมันก็ฟื้นพลังโลหิตในร่างกายหลังจากรับมือกับระฆังเขาหานได้
ยามนี้เขาพุ่งมาด้านหน้าและปะทะกับลูกสายฟ้า ลูกสายฟ้าพลันระเบิดกระจาย ก่อนจะปะทะกับกระบี่เล็กแสงดำ กระบี่เล็กที่อ่อนแสงอยู่แล้วก็ถูกกระแทกจนปลิวไป ทั้งตัวชายเผ่าเชมันกลายเป็นพายุคลั่งตรงเข้าใส่ซูหมิง ตอนที่เข้าใกล้ เขากำหมัดอีกครั้งแล้วชกเข้าใส่อีกครั้ง
ซูหมิงถอยหลังทันที ใช้ความเร็วหลบหมัดในชั่วพริบตา แล้วยกมือขวาขึ้นข้างชายเชมัน สามนิ้วชี้ท้องฟ้า ก่อนพลันวาดลง
สามตัดสังหาร!
หลังจากมาแดนอรุณใต้ ซูหมิงก็ไม่เคยใช้วิชาเขาทมิฬนี้อีกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ในสงคราม ด้วยความที่ขั้นพลังต่างกัน พลังของสามตัดสังหารจึงต่างไปด้วย
ยามนี้ฟ้าดินมนุษย์ทั้งสามมารฟันลง วิญญาณอาฆาตที่ถูกพลังชั่วร้ายจองจำเอาไว้รอบกายชายเชมันแผดเสียงร้องโหยหวน หายไปมากกว่าครึ่ง ขณะเดียวกัน ชายเผ่าเชมันตัวสั่นอย่างรุนแรง ทว่าก็ยังฝืนยืนหยัดเอาไว้ ก่อนหมุนตัวฟาดแขนขวาใส่ซูหมิง พร้อมกับเสียงแหวกมวลอากาศกึกก้อง
ซูหมิงถอยอีกครั้ง หลังจากใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อหลบหลีกในฉับพลัน ก็มาปรากฏตัวอยู่อีกทางหนึ่ง กัดปลายลิ้นพ่นโลหิต โลหิตนั้นพลันเผาไหม้กลายเป็นทะเลเพลิงโอบล้อมชายเชมัน ทว่าเมื่อทะเลเพลิงปกคลุม ในทะเลเพลิงมีหมัดยักษ์ยื่นออกมา ตรงเข้าสู่หน้าอกของซูหมิง
ซูหมิงหลบมันด้วยความเร็วสูงสุดอีกครั้ง
“ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะใช้ความเร็วแบบนี้ได้อีกกี่ครั้ง!” ชายเชมันในทะเลเพลิงยิ้มเยาะ พลันหมุนตัวเป็นวงกลมสร้างเป็นพายุหมุนขึ้น ทำให้เปลวเพลิงรอบตัวมอดดับทันใด ก่อนเดินไปหาซูหมิงทีละก้าว
พลานุภาพของชายเผ่าเชมันมีไม่มาก ทว่าร่างกายกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก ทำให้ซูหมิงต้องหลบหลีก หากกายถูกโจมตีคงยากจะทนรับไหว
ขณะถอย ระฆังเขาหานกลางอากาศพุ่งเข้าใส่ชายเผ่าเชมันอีกครั้ง
ดวงตาภายใต้หน้ากากชายเผ่าเชมันฉายแววบ้าคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากเขารู้ถึงพลังของระฆังเขาหานแล้วก็ยังไม่คิดหลบ ระหว่างเดินไปหาซูหมิง ระฆังเขาหานดิ่งลงทับใส่ตัวเขา
ทว่าท่ามเสียงดังสนั่น ชายเชมันเพียงหยุดชะงักเท่านั้น ก่อนยกเท้าเดินต่อไป
ซูหมิงสีหน้าเปลี่ยน ใช้จิตควบคุมระฆังเขาหานให้ลอยขึ้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น ชายเผ่าเชมันพลันแผดเสียงคำรามสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยพลังพิลึกอีกครา
ภายใต้เสียงคำราม จิตใจซูหมิงสั่นสะท้านจนเกิดระลอกคลื่นโดยไร้การควบคุม ทำให้ระฆังเขาหานดิ่งทับช้าลง ขณะเดียวกัน ชายเผ่าเชมันก้าวมาตรงหน้าซูหมิงแล้วปล่อยหมัดเข้าใส่
‘สมควรตาย!’ ซูหมิงควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้เลย เสียงคำรามสัตว์ร้ายนั่นพิลึกยิ่งนัก เหมือนอำนาจคุกคามชีวิต เหมือนเสียงคำรามของศัตรูทางธรรมชาติ ทำให้ทุกฝ่ายต้องใจสั่นสะท้าน
หมัดนั้นตรงเข้ามา ซูหมิงกำลังจะหลบอีกครั้ง ทว่าชายเผ่าเชมันกลับเร่งความเร็วขึ้น หลังจากปล่อยหมัดแล้วก็มิได้เข้าไปตรงๆ แต่เคลื่อนตัวมาอยู่อีกด้านหนึ่ง
แต่หลังจากปล่อยหมัดแล้ว มวลอากาศเกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยวจำนวนมาก ความเร็วหลังจากถอยหลบของซูหมิงพลันช้าลง ขณะเดียวกัน ชายเผ่าเชมันอาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว
ตอนที่เข้าใกล้ซูหมิง เขาไม่มีทางหลบทันแล้ว
กระทั่งซูหมิงยังได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของอีกฝ่าย ชายเผ่าเชมันไม่ใช้หมัดและขา แต่ใช้ศีรษะกระแทกใส่หน้าผากซูหมิงอย่างแรง
เสียงโครมดังขึ้น สายตาเขาพร่ามัว เกิดความรู้สึกอยากอาเจียนทันใด เสียงระเบิดดังขึ้นในความคิด ตอนร่างกระเด็นถอยไป ชายเผ่าเชมันถอดหน้ากากออก เลียริมฝีปาก ก่อนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้แววตาเขามีจิตสังหาร มือขวางอเป็นกรงเล็บทะลวงไปยังหน้าอกซูหมิง
เขาคิดจะควักหัวใจซูหมิงออกมา!
โลหิตไหลลงจากหน้าผากซูหมิง ไหลรินเข้ามาในดวงตาเขา ราวกับว่าทั้งโลกกลายเป็นสีแดง เขามองเห็นการโจมตีของชายเชมันไม่ชัด แต่ก็รู้สึกถึงจิตสังหารที่กำลังตรงเข้ามาอย่างเร็วรี่
ช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้ ซูหมิงแผดเสียงตะโกน ขณะถอยหลังระฆังเขาหานย่อขนาดเล็กลงพร้อมกับบินมาทางเขา หลังเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตาก็หลอมรวมเข้าไปในร่าง ชั่วขณะที่ชายเผ่าเชมันทะลวงกรงเล็บเข้ามา ระฆังเขาหานพลันขยายใหญ่ขึ้น ปกคลุมตัวเขากลายเป็นโล่ป้องกัน
เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งยังมีเสียงระฆังดังกังวาน ซูหมิงโซเซถอยหลัง เกิดอาการตัวชาเพราะเสียงระฆัง ทว่าถอยไปไม่ไกลเท่าไร ชายเผ่าเชมันก็ตรงเข้ามาอีกครั้ง แล้วปล่อยหมัดเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
“ก็แค่หมานที่รู้จักแต่การหลบกับป้องกัน เจ้าไม่คู่ควรจะเป็นนักรบผู้โอหังในสงคราม” ชายเผ่าเชมันส่งเสียงกล่าว นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยาม รัวหมัดใส่ไม่ยั้ง แม้ไม่อาจสร้างบาดแผลภายนอกให้ซูหมิง แต่เสียงระฆังกังวานในร่าง บวกกับอาการมึนงงหลังศีรษะกระแทก ก็ทำให้มีโลหิตไหลมาจากมุมปากซูหมิงตลอด
หลังจากชายเผ่าเชมันรัวใส่หลายหมัดก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วหมุนตัวเตะระฆังเขาหาน ขณะที่เตะออกไปเหมือนเป็นหางสัตว์ร้ายเหวี่ยงเข้าใส่ เมื่อโดนระฆังเขาหานพลันเกิดเสียงดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงทั้งมวลก่อนหน้านี้
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ซูหมิงกระอักโลหิตกองโตในระฆังเขาหาน เขากระเด็นปลิวไปหลายร้อยจั้ง แล้วตกลงบนพื้นเสียงดัง
ตอนที่ตกลงพื้น ระฆังหดตัวลงกลับมาอยู่ในตัวซูหมิงอีกครั้ง ทำให้ตอนนี้ซูหมิงไร้เกราะป้องกัน นอกจาก…กำไลสีดำตรงข้อมือขวา
ศิษย์พี่ใหญ่มอบทาสสตรีให้เขา ระหว่างการต่อสู้กับชายเผ่าเชมันคนนี้ เขาห้ามไม่ให้นางปรากฏตัวตลอด เพราะหากนางออกมาร่วมมือด้วย การจะสังหารชายเชมันคนนี้คงไม่ยากนัก ทว่าการสังหารแบบนั้น ต่อให้ซูหมิงได้หน้ากากมาก็ไม่ใช่ของเขาทั้งหมด
หน้ากากแบบนี้ แม้เขาจะกลายเป็นนักล่า ก็ต้องพึ่งพาคนอื่นไปชั่วนิรันดร์ มิเช่นนั้นแล้ว หากไม่มีทาสสตรีเมื่อใด สิ่งที่รอซูหมิงอยู่ก็ยังเป็นความอ่อนแอที่ไม่ถูกขัดเกลาเสียที
ศิษย์พี่ใหญ่มอบกำไลนี้ให้เขาก็เพื่อปกป้องชีวิตในยามอันตราย ไม่ใช่ให้พึ่งพา จุดนี้เขาเข้าใจดี
โลหิตไหลมาจากมุมปากซูหมิง ดวงตาหย่อนยานเล็กน้อย จริงๆ แล้วบาดแผลไม่ได้หนักมาก ถึงอย่างไรตอนอยู่ในระฆังเขาหานก็แค่ชาๆ เท่านั้น
จุดที่สาหัสจริงๆ คือจิตใจ ภายใต้เสียงคำรามของอีกฝ่าย จิตใจเขาสั่นไหว นั่นเป็นสิ่งที่ซูหมิงควบคุมไม่ได้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแท้จริงแล้ว…ตัวเขาอ่อนแอขนาดนี้
‘ความกลัวหรือ…’ สายตาซูหมิงพร่ามัว เขามองเห็นชายเผ่าเชมันที่กำลังเดินมาทีละก้าวไม่ชัด ไม่เห็นว่ากำไลสีดำตรงข้อมือขวากลายเป็นควันเตรียมพุ่งออกมาทุกเมื่อ
‘ทว่าข้ากลัวอะไร…’ ใบหน้าซูหมิงขมขื่น สงครามครั้งนี้ทำให้เขาเหมือนเติบโตขึ้นไม่น้อยในพริบตา
‘ใช่ ข้ากลัวตาย…ข้ากลัวว่าเมื่อตายแล้วจะไม่ได้กลับบ้าน กลัวว่าปริศนาทุกอย่างจะหายไป กลัวว่า…จะไม่ได้ลืมตา’
สายตาซูหมิงพร่ามัวมากขึ้น จิตสัมผัสเริ่มหายไป จิตใจถูกระงับเอาไว้ด้วยเสียงคำรามสัตว์ร้าย นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ยอม ทว่าก็ยากจะควบคุม
“ทำอย่าง….ไรดี…..” ซูหมิงพึมพำ ขณะใจลอย เสียงทุกอย่างรอบตัวก็ค่อยๆ หายไป ภาพในแววตาเป็นท้องฟ้าหมอกเขียวหมุนตลบ
หมอกเขียวหายไป แทนที่ด้วยยามค่ำคืนสายลมหิมะ ภายในหมู่บ้านเงียบสงบ ในห้องมีแสงคบเพลิง
ในมือท่านปู่ถือแผ่นไม้ไผ่บันทึกแผ่นใหญ่ ตนนั่งอยู่ข้างๆ สองมือเท้าคาง
‘บรรพบุรุษเผ่าเขาทมิฬของพวกเราก็ไม่ได้มีชีวิตราบรื่นเหมือนกัน เขาลำบากมาเยอะกว่าจะก่อตั้งเผ่าเขาทมิฬอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมาได้ ขอไม่พูดเรื่องเผ่าเขาทมิฬแตกแยกก็แล้วกัน ปู่จะเล่าแค่เรื่องบรรพบุรุษเขาทมิฬ
เขาฝึกฝนมาทั้งชีวิต ทิ้งตำนานไว้จำนวนมาก คนรุ่นหลังบันทึกมันไว้ในแผ่นไม้ไผ่บันทึกเพื่อปลุกใจให้กับลูกๆ หลานๆ สิ่งเหล่านี้เจ้าต้องจำเอาไว้ คราวนี้ปู่จะทดสอบเจ้า ตอนนั้นบรรพบุรุษเขาทมิฬมาภูเขาทมิฬเพียงลำพังแล้วต่อสู้กับใคร?’
“เจอกับสัตว์วิญญาณภูเขา บรรพบุรุษจะสร้างชนเผ่า แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ฉะนั้นเลยสู้กัน” ซูหมิงเท้าคาง หาววอดแล้วกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“พูดต่อไป” ท่านปู่ยิ้ม
“มีอะไรน่าสนใจรึ ก็แค่เจอสัตว์ตัวใหญ่แล้วสู้กันกลางภูเขา สัตว์ตัวใหญ่นั่นเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมาก ลมหายใจของมันทำให้คนหวาดกลัวได้ บรรพบุรุษต่อสู้กับสัตว์ตัวนั้นอย่างยากลำบากบนหน้าผาสูงชันกลางภูเขา แต่สุดท้ายก็เอาชนะมาได้”
“อ้อ? เจ้าได้อะไรจากตำนานเรื่องนี้บ้าง?” ท่านปู่ยิ้มกล่าว
“ในการต่อสู้ ผู้กล้าหาญเป็นฝ่ายชนะ ท่านปู่ ท่านเคยบอกข้ามาหลายครั้งแล้ว ข้ารู้แล้วน่ะ”
“ดี ถือว่าเจ้ารู้แล้ว บางทีในอนาคตสักวันหนึ่ง เจ้าอาจจะเข้าใจความหมายอย่างแท้จริง ได้เข้าใจความรู้สึกของบรรพบุรุษในตอนนั้น…”
ซูหมิงนอนเอนกายอยู่นอกเมืองหมอกนภา บนแผ่นดินเผ่าเชมัน เขาเหมือนกลับไปอยู่ในยามค่ำคืนพายุหิมะเมื่อหลายปีก่อน ข้างหูเขามีเสียงคำพูดในตอนนั้น ตอนที่คำว่าในการต่อสู้ผู้กล้าหาญชนะดังก้อง ซูหมิงพลันตัวสั่นสะท้าน
ดวงตาหย่อนยาน ยามนี้กลับวาววับ
“ในการต่อสู้…ผู้กล้าหาญชนะ!” ซูหมิงพึมพำ เสียงเข่นฆ่าในสงครามที่หายไปก่อนหน้านี้กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ห่างไปหนึ่งร้อยจั้ง ชายเผ่าเชมันกำลังเดินเข้ามา รอบตัวเขาแผ่พลังชั่วร้าย ก่อขึ้นเป็นแรงกดดันรุนแรง ทำให้ทุกคนที่ขวางอยู่ ไม่ว่าจะเผ่าหมานหรือเผ่าเชมันล้วนต้องหลีกทางให้
กำไลในสภาพควันตรงข้อมือขวาซูหมิงกำลังจะพุ่งออกไป กลับพบว่าซูหมิงใช้มือซ้ายกดเอาไว้
“ข้าจัดการเอง!” ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน!