Skip to content

สู่วิถีอสุรา 349

ตอนที่ 349 นักล่าซูหมิง

จุดที่ซูหมิงต่อสู้กับชายสวมหน้ากากเผ่าเชมันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในสนามรบกว้างใหญ่เท่านั้น นอกจากผู้คนในละแวกใกล้ๆ แล้ว ไกลออกไปก็ไม่มีใครสนใจอีก

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น วินาทีที่ซูหมิงดึงหน้ากากจากศีรษะชายเผ่าเชมัน ผู้คนในบริเวณโดยรอบต่างให้ความสนใจ

จื่อเชอเห็น เหยียนป๋อเห็น สมาชิกกลุ่มของซูหมิงคนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เห็น และยังมีชาวเผ่าหมานโดยรอบอีก

ขณะเดียวกัน ตอนที่ซูหมิงจับศีรษะนักล่าแห่งเชมัน ชาวเผ่าเชมันโดยรอบก็เห็นเช่นกัน

“ล่าเชมัน!” ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น

ชูศีรษะชายเผ่าเชมันขึ้น แล้วตะโกนใส่ชาวเผ่าหมานโดยรอบ

ตอนที่กล่าวจบ ชาวเผ่าหมานทุกคนล้วนตะโกนตาม สีหน้าฮึกเหิม สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความยกย่อง ชาวเผ่าหมานในบริเวณนี้ไม่เยอะมากนัก มีเพียงหลายร้อยคนเท่านั้น แต่ยามนี้หลายร้อยคนนี้กำลังแผดเสียงตะโกนตามซูหมิง

“ล่าเชมัน!”

เสียงเข่นฆ่าของคนหลายร้อย บางทีอาจไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนักในสนามรบ ถึงอย่างไรเสียงแบบนี้ก็ดังขึ้นรอบๆ อยู่แล้ว จึงถูกกลบโดยง่าย ทว่าตอนนี้ คำพูดแบบเดียวกันจากหลายร้อยคนดังสนั่น ต่อให้อยู่ในสนามรบกว้างใหญ่ก็เพียงพอจะสร้างระลอกคลื่นเล็กๆ ได้

จุดที่พวกเขาหลายร้อยคนอยู่เป็นทางใต้ของสนามรบเผ่าหมานและเชมัน หากมองจากท้องฟ้า สนามรบกว้างใหญ่นี้ดูวุ่นวายยิ่งนัก ทว่าหากมองดีๆ จะเริ่มเห็นถึงความต่างว่าสนามรบนี้แบ่งเป็นสี่ส่วน

เหนือใต้ออกตก สี่ส่วนนี้เหมือนสี่เขตสงครามใหญ่ พวกเขาไม่ได้แบ่งกันอย่างชัดเจนนัก แต่จากความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนก็พอจะเห็นได้รางๆ

เขตสนามรบทางใต้ มีคนมากกว่าหลายหมื่นกำลังเข่นฆ่ากัน มีคนสิ้นชีพตลอดเวลา ตรงปลายกลุ่มคนเผ่าหมาน มีอยู่จุดหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบสงบ ตรงนั้นมีชาวเผ่าหมานสวมหน้ากากดำยืนอยู่เก้าคน กำลังล้อมป้องกันชายวัยกลางคนใบหน้าซีดขาวไม่ไว้เคราผู้หนึ่ง ชายคนนี้สวมเสื้อตัวยาว เส้นผมยุ่งเหยิง นัยน์ตาเป็นประกาย คล้ายแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ

เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางมองสนามรบในเขตใต้ เงียบขรึมไม่กล่าวอะไร นักล่าแห่งเผ่าหมานทั้งเก้าคนรอบตัวเขาขวางเผ่าเชมันทุกคนที่เข้ามา เพื่อให้ชายวัยกลางคนทำใจสงบ และมองการผันเปลี่ยนของเขตสนามรบทางใต้

เขายืนตรงนั้นอยู่นานมากแล้ว ราวกับว่ายืนมาตั้งแต่เริ่มสงคราม เอาแต่สังเกตเผ่าหมานและเผ่าเชมัน ประหนึ่งกำลังเรียนรู้และทำความเข้าใจศิลปะแห่งสงครามอย่างรวดเร็ว

“นานมากแล้วที่เผ่าหมาน…ไม่ได้ทำสงครามเช่นนี้…สงครามทุกสิบปีไม่อาจเปรียบกับตอนนี้ได้จริงๆ เป็นเพียงการละเล่นเด็กๆ เท่านั้น ต่อให้เป็นสงครามเมื่อหนึ่งร้อยปีหรือสองร้อยปีก่อน ก็มีน้อยครั้งมากที่จะเกิดสงครามเช่นนี้…ทว่าตอนนี้ ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนกลับเกิดถึงสามครั้ง” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าสงบนิ่ง มองการสังหารของชาวเผ่า มองความเหี้ยมโหดของเผ่าเชมัน แอบถอนหายใจเบาๆ

“ไม่มีการจัดวางที่เป็นระเบียบ ไม่มีการเสริมแบบกระบวนทัพ ไม่มีคำสั่งผู้บัญชาการ…นี่เป็นสงครามที่ไร้ซึ่งแบบแผน มีเพียงการต่อสู้กันของแต่ละกลุ่ม แต่ว่าพวกเขาที่กำลังเข่นฆ่าเหล่านี้ ต้องเรียนรู้ว่าจะเอาชีวิตรอดจากสงครามแบบนี้ไปได้อย่างไร เหมือนกับข้า กำลังเรียนรู้และใช้ประสบการณ์ในสงครามหลายครั้งมาทำความเข้าใจอย่างว่องไวว่าจะควบคุมสงครามแบบนี้อย่างไร…ดูแล้ว เผ่าเชมันก็คงจะเหมือนกัน”

ชายวัยกลางคนมองไปทางเผ่าเชมันแวบหนึ่ง ทว่าช่วงที่สายตามองไป บริเวณริมเขตสงครามทางใต้ตรงจุดที่เขามอง มีเสียงตะโกนของคนหลายร้อยดังแว่วเข้ามา

“ล่าเชมัน!”

“ล่าเชมัน!”

“ล่าเชมัน!”

คล้อยหลังตะโกน เสียงนั้นก็ค่อยๆ แผ่กระจายมากขึ้น ทำให้เผ่าหมานได้ยินมากขึ้นและต่างพากันมองไป นัยน์ตาชายวัยกลางคนเป็นประกายขณะเพ่งมองไปตรงนั้น

“ไปดูว่าตรงนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขากล่าวเนิบช้า นักล่าแห่งเผ่าหมานข้างกายคนหนึ่งที่มีสีหน้าเย็นชาเดินไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็ทะลวงผ่านกลุ่มคนมาอยู่ตรงที่มาของเสียงจากคนหลายร้อย

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น เสียงเผ่าหมานข้างหูกลายเป็นคลื่นเสียง เมื่อซูหมิงตะโกนก็วูบไหวตัวมาอยู่ข้างจื่อเชอกับเหยียนป๋อ

จื่อเชอมีสีหน้ายกย่องและฮึกเหิมยิ่ง เหยียนป๋อข้างกายก็เช่นกัน สายตาที่มองซูหมิงมีความเคารพจากใจ

“ท่านนักล่า มีท่านอยู่ พวกข้าจะเรียกชาวเผ่ามารวมกันให้มากกว่านี้ ถ้ามารวมกัน พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้น!” เหยียนป๋อกล่าวด้วยความฮึกเหิม

เมื่อเห็นซูหมิงพยักหน้าแล้ว เหยียนป๋อก็เดินหน้าหลายก้าวมายืนอยู่หน้าซูหมิง ก่อนเปล่งเสียงดังไปทางชาวเผ่ารอบๆ

“สหายทุกคน ยิ่งมีคนเยอะพวกเราจะยิ่งแข็งแกร่ง พวกเจ้ายังจะรออะไรกันอีก พวกเจ้าก็เห็นท่านซูหมิงแล้ว เขาสังหารนักล่าแห่งเชมัน เขาคือนักล่าของพวกเราเผ่าหมาน! หากพวกเรามารวมกัน จะเหมือนกับห้านิ้วรวมเป็นกำปั้นทุบลงดิน สังหารพวกเชมัน!”

หลังจากเหยียนป๋อกล่าวเสียงดังก้อง ซูหมิงก็เดินออกมา กลายเป็นพายุหมุนตรงไปทางชาวเผ่าเชมัน และเริ่มสังหารอย่างต่อเนื่อง ฝนโลหิตสาดกระจาย ภายในพื้นที่เล็กๆ ชาวเผ่าหมานที่ยังไม่มีคู่ต่อสู้ก็รีบตามซูหมิงไปทีละน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง ด้านหลังซูหมิงมีชาวเผ่าหมานติดตามเกือบสองร้อยคน

กลุ่มคนดูเด่นตายิ่งนักในสงครามโกลาหลเช่นนี้ ซูหมิงไม่เก่งเรื่องบัญชาการ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฝึกฝน ทว่าคนแต่ละคนต่างกัน เหยียนป๋อชำนาญเรื่องนี้มาก กระทั่งจื่อเชอยังเหมือนจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ภายใต้การรวมกลุ่มของทั้งสองคน กองกำลังเผ่าหมานเกือบสองร้อยคน ยามนี้เหมือนทวนยาวในเขตสนามรบทางใต้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ซูหมิงอยู่หน้าสุดของพวกเขา จิตใจอันแน่วแน่และพลังอำนาจของซูหมิงส่งผลถึงผู้ติดตามทุกคน ทำให้ทุกจุดที่กลุ่มเล็กผ่านไป กลายเป็นพายุสังหารเผ่าเชมันได้เร็วที่สุด

ในสนามรบกระจัดกระจายแห่งนี้ ไม่มีคนที่ปลอดภัยที่สุด ทุกคนเลือกเข้าใกล้กลุ่มคนที่ค่อนข้างมากในฝ่ายตัวเอง การกระทำโดยจิตใต้สำนึกแบบนี้ ทำให้กองกำลังซูหมิงมีชาวหมานเข้าร่วมไม่หยุด พร้อมกับสังหารและเคลื่อนตัวไปด้วย

นอกจากสาเหตุเหล่านี้แล้ว เสียงตะโกนของเหยียนป๋อยังมีส่วนช่วยอย่างมาก เขาตะโกนบอกไม่หยุดว่าซูหมิงเอาชนะนักล่าของเผ่าเชมัน และกลายเป็นนักล่าแห่งเผ่าหมานแล้ว บวกกับว่าซูหมิงสังหารศัตรูตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา และแววตาแน่วแน่ ทุกอย่างเหล่านี้ รวมถึงหน้ากากสีขาวที่แขวนอยู่ตรงเอว ก็เพียงพอจะยืนยันทุกคำพูดของเหยียนป๋อแล้ว

หน้ากากอันนั้น เหยียนป๋อกับจื่อเชอแนะนำว่าให้ซูหมิงแขวนเอาไว้ข้างนอก บางทีมันอาจจะเป็นธงเรียกรวมพลเผ่าหมานที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ก็ได้!

จำนวนคนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยามโพล้เพล้ผ่านไป เสียงครึกโครมในหมอกเขียวบนท้องฟ้ารุนแรงขึ้น เผ่าหมานด้านหลังซูหมิงมีมากกว่าสี่ร้อยคนแล้ว

คนเหล่านี้มีนักรบของเมืองหมอกนภา ศิษย์สำนักทะเลตะวันออก ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ และยังมีผู้ร่วมสงครามจากชนเผ่าเล็กใหญ่ในแดนอรุณใต้

พวกเขามาจากต่างที่กัน บางทีก่อนวันนี้อาจยังไม่รู้จักกัน ทว่ายามนี้ท่ามกลางสงคราม กลับถูกเลือดเนื้อหล่อหลอมขึ้นเป็นมิตรภาพในสนามรบ นั่นคือมิตรภาพที่ตะโกนด้วยกัน หลั่งโลหิตด้วยกัน และสังหารด้วยกัน!

สำหรับทั้งสนามรบ เขตสนามรบทางใต้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับเขตสนามรบทางใต้ กำลังพลหลายร้อยของซูหมิงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเพียงส่วนเล็กด้วย

ทว่า พลังจากส่วนเล็กนี้กลับน่าทึ่งยิ่งนัก ขณะพวกเขาเข่นฆ่าก็สับเปลี่ยนกันตามคำสั่งของเหยียนป๋อกับจื่อเชอ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทุกคนจะมีเวลาพัก ทุกคนจะมีช่วงเวลาปลอดภัย วิธีแบบนี้ทำให้กลุ่มเล็กแข็งแกร่งเป็นที่สุด

ทุกคนไม่ต้องระวังหลัง เพราะด้านหลังพวกเขามีสหายร่วมรบอยู่!

สหายร่วมรบในสนามรบ ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำว่าสหายร่วมเผ่า!

นอกจากนี้แล้ว มันยังทำให้แววตาทุกคนเด็ดเดี่ยว การสังหารค่อยๆ เฉียบคมและไม่หวั่นเกรง สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือตรงหน้าสุดของขบวน ผู้ที่ไม่เคยหยุดพัก…นักล่าซูหมิง!

ซูหมิงอยู่หน้าสุดตลอด เหมือนปลายแหลมของขบวน เข่นฆ่าสังหารไม่หยุด ทุกก้าวที่เดินจะเป็นตัวแทนของกำลังพลด้านหลังที่จะก้าวเดินไปพร้อมกัน

เขาไม่เก่งเรื่องบัญชาการ จึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก แต่มีเขาอยู่กลับเป็นจิตวิญญาณของคนสี่ร้อยกว่าคน เพราะสิ่งที่เขามอบให้ทุกคนคือจิตใจอันแน่วแน่ และเป็นจิตตั้งมั่นที่ไม่หวั่นเกรงความตาย!

จิตใจอันแน่วแน่นี้สำคัญยิ่งกว่าการบัญชาการของเหยียนป๋อ มันเป็นแรงขับเคลื่อนค้ำยันคนหลายร้อยคนให้เดินหน้าต่อ ขอเพียงแค่เห็นซูหมิงยังอยู่หน้าสุด ชาวเผ่าหมานทุกคนในขบวนที่ยังมีชีวิตรอดตอนนี้ก็จะติดตามอย่างไม่ลังเล!

นี่คือสนามรบ เป็นที่ที่ไม่ต้องการความคิดของเพียงคนเดียว ไม่ต้องวางกลอุบายระหว่างทัพ ไม่ต้องตรึกตรองอะไรมาก กระทั่งไม่ต้องไปคิดถึงมัน

ที่นี่ต้องการสิ่งเดียวคือจิตใจอันแน่วแน่แบบนี้ หากมีมันอยู่ ในสายตาคนอื่นก็จะเป็นเปลวเพลิงในยามค่ำคืน ส่องแสงโดยรอบ ดึงดูดคนให้เข้ามาติดตาม!

ขณะกำลังพลซูหมิงเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่อง เขตสนามรบทางใต้ ตรงจุดที่ค่อนข้างสงบ ชายวัยกลางคนยังคงมองซูหมิงด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

ด้านหลังเขา ยามนี้มีนักล่าแห่งเผ่าหมานสวมหน้ากากดำคนหนึ่งกำลังกล่าวเสียงหนักแน่น

“เขาชื่อซูหมิง เพิ่งสังหารนักล่าแห่งเชมันไปคนหนึ่ง กลายเป็นนักล่าของเผ่าหมานแล้ว…มีกำลังพลราวสี่ร้อยคน หากเขาไม่ตาย กำลังพลคงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”

“จิตใจอันแน่วแน่…จิตใจอันแน่วแน่…ข้าเข้าใจแล้ว!”

ชายวัยกลางคนแววตาเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรื่องของซูหมิง เขาจึงนึกถึงวิธีทำสงครามของเผ่าหมาน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!