Skip to content

สู่วิถีอสุรา 35

ตอนที่ 35 การเยาะหยันแห่งยุคบรรพกาล

ซูหมิงตะตะลึง ตอนที่เขาเห็นมันอีกครั้ง แสงสีแดงบนดวงจันทร์ราวกับหายไป คลับคล้ายว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา ซูหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่คิดว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตา ยามนี้ยังคงมองดวงจันทร์ลอดผ่านช่องเล็ก ตกอยู่ในห้วงความคิด

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหตุเพราะซูหมิงหยุดโคจรโลหิต จึงทำให้แสงสีแดงหายวับไปอย่างรวดเร็วจนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้น

“หรือว่าจะเป็นภาพลวงตาจริงๆ…..” ซูหมิงถอนหายใจเบา ทว่าขณะกำลังจะหลับตาเลิกนึกถึงเรื่องดังกล่าว ดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่ลง

“ไม่ถูกต้อง!” เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทว่ามันค่อนข้างเลือนรางราวกับจะหายไปตลอดเวลา ยากจะจับต้องได้

“แสงจันทร์สีแดง…จันทร์สีแดง….สีแดง…” ซูหมิงพึมพำ พลันก้มหน้ามองร่างกายของตน นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนเห็นจันทร์สีแดงในความคิด ตอนโคจรโลหิต และตอนขับแสงสีแดงสะท้อนภายในถ้ำภูเขาไฟ

แววตาขบคิดเริ่มเป็นประกาย ความรู้สึกเลือนรางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหมิงจึงลืมตาพร้อมกับโคจรโลหิตในกาย พลันปรากฏเส้นเลือดเส้นที่สิบเก้า ขับแสงสีแดงแสบตา ไม่เพียงแต่มันจะโอบร่างของซูหมิงเท่านั้น มันยังส่องสะท้อนภายในถ้ำจนเป็นสีแดง

ซูหมิงจ้องไปยังดวงจันทร์ผ่านช่องเล็ก ภายใต้แสงโลหิตโดยรอบ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก อีกทั้งยังสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นในเวลาเดียวกัน เขาในยามนี้เห็นดวงจันทร์เป็นสีแดง!

แสงสีแดงไม่ได้มากจากดวงจันทร์ แต่มาจากแสงสะท้อนบนพื้น เมื่อซูหมิงมองผ่านแสงสีแดง จึงทำให้คิดไปเองว่าดวงจันทร์เป็นสีแดง

“เขาเป็นหมานปรารถนา จากปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง…หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน…ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง!” ซูหมิงมองดวงจันทร์สีแดง พลางกล่าวพึมพำ

“ทุกความคิดเงียบสงัด…ทุกความคิดเงียบสงัด…ความหมายแฝงของประโยคนี้คือเมื่อมองเห็นจันทร์อัคคี ต้องนึกคิดเงียบๆ ในใจ จินตนาการไปถึง…เพียงแต่จินตนาการไปถึงอะไร…เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง…ไม่ใช่ ประโยคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการจินตนาการไปถึงอะไร แต่น่าจะหมายถึงการกระทำ” ซูหมิงขมวดคิ้ว ยามนี้โลหิตในกายยังโคจรอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งทำให้แสงสีแดงเข้มข้นมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้เขามองเห็นจันทร์เป็นสีแดงเด่นชัดขึ้นไปอีก

“จินตนาการ….” แววตาซูหมิงพลันเป็นประกาย ราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่านสมอง

“หรือว่า ประโยคนี้น่าจะหมายถึงความคิด…..หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน………ทุกความคิดเงียบสงัด! หากเป็นเช่นนี้ ความหมายของมันจะกลับกัน ไม่ได้ให้นึกจินตนาการเมื่อจันทร์อัคคีปรากฏขึ้น แต่ให้จินตนาการถึงการปรากฏขึ้นของจันทร์อัคคี!” ซูหมิงชะงักไปทั่งตัว รู้สึกว่าตนคลำเจอจุดสำคัญอะไรบางอย่างเข้าแล้ว!

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จินตนาการในใจเงียบๆ ว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง เวลาล่วงเลยผ่าน ภาพดวงจันทร์สีแดงยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาแทบใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการจินตนาการ จนมองข้ามแสงสะท้อนภายในถ้ำที่หายไปจนกลับคืนสู่สภาพเดิม

เขาแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ผ่านช่องเล็ก ในความคิดจินตนาการซ้ำไปซ้ำมา

“ดวงจันทร์สีแดง…..ดวงจันทร์แผดเผา…..” ซูหมิงพึมพำกับตนเอง ในแววตาของเขา แสงจันทร์กลายเป็นสีแดง ทั้งยังเข้มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นสีโลหิตไปทั้งดวง

ในช่วงนั้นเอง รูขุมขนเม็ดเหงื่อทั่วร่างซูหมิงขยายออก เขาสัมผัสได้ว่าดวงจันทร์สีแดงในแววตา ราวกับมีเส้นถี่สีแดงหลายเส้นโปรยปรายลงมาตามช่องเล็ก และหลอมรวมกับดวงตาทั้งสองข้าง ส่งต่อไปถึงในร่างกาย หลอมรวมเข้ากับโลหิต

ความรู้สึกหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปทั่งตัว เมื่อหลอมรวมกับโลหิตแล้ว จึงทำให้โลหิตในกายค่อยๆ โคจรขึ้นเองโดยไร้การควบคุม แม้แต่ซูหมิงยังสัมผัสไม่ได้ เขาในยามนี้ลืมทุกสิ่งรอบกาย มีเพียงดวงจันทร์สีแดงในแววตาเท่านั้นที่ใหญ่และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

แสงสีแดงท่ามกลางดวงจันทร์ราวกับแฝงไว้ด้วยพลังพิลึกบางอย่าง มันสาดส่องลงมาแล้วทะลวงสู่ในกายของเขา

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนเสี่ยวหงตื่นนอน มันมองซูหมิงด้วยแววตาค้างตะลึงอยู่ไม่ไกลนัก นัยน์ตาฉายแววสับสน ก่อนแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ผ่านช่องเล็ก ทว่าในสายตาของมันดวงจันทร์ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มันจึงเกาศีรษะ นึกไม่ออกว่าเหตุใดซูหมิงถึงได้มองค้างตะลึงอยู่อย่างนั้น

ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ายามนี้ ในยอดเขาทั้งห้าแห่งภูเขาทมิฬ ณ ที่จำศีลของพวกค้างคาวจันทราเกิดการเปลี่ยนแปลงพิสดารขึ้น!

โดยเฉพาะส่วนลึกในยอดเขาเพลิงทมิฬ ลำต้นสีแดงใหญ่ยักษ์กลางแอ่งกระทะที่นองไปด้วยหินหนืด มีเส้นมหาศาลกำลังเคลื่อนตัว บางครั้งก็มีใบหน้าของค้างคาวจันทราผลุบโผล่ สีหน้าของพวกมันไม่ได้ดุร้าย ไม่ได้เศร้าโศก แต่เป็นตื่นเต้นและหลงใหล

ไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรทำให้พวกมันตื่นเต้นจนถึงขั้นเคลื่อนตัวไปมาอยู่ในลำต้นอย่างรวดเร็ว ดูท่าพวกมันคงจะตื่นเต้นยิ่งนัก ราวกับแทบจะพุ่งตัวออกจากลำต้น ทว่ากลับถูกพลังบางอย่างขวางเอาไว้ ไม่อาจปรากฏตัวได้

อีกทั้งยังคลับคล้ายว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง บางทีอาจเป็นการเรียกหา หรืออาจจะเป็น….การคารวะ….หรือไม่…พวกมันอาจสัมผัสได้ถึงหมานที่ลาลับไปเมื่อยุคบรรพกาล…

ณ เผ่าหมานเพลิงยุคบรรพกาลใต้หินหลอมเหลวเดือดพล่าน ตรงโครงกระดูกริมขอบที่ถูกหินหลอมเหลวร้อนระอุอาบท่วม ยามนี้ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าตรงบริเวณลายอักษรข้างผนังที่โครงกระดูกชี้ไป ยามนี้กลับว่างเปล่า

หายไปจนสิ้น…ไม่ใช่ว่ามีผู้ใดลบไป แต่มันราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนตั้งแต่ยุคบรรพกาล

โครงกระดูกด้านข้างแม้เป็นเพียงกระดูก ทว่ายามนี้บนใบหน้ากลับเผยความเยาะหยันและอวดดีอย่างเห็นได้ชัด บางทีที่เขาเยาะหยัน อาจจะไม่ใช่ภาพการตายของตน แต่เป็นบางอย่างหลังจากที่เขาตาย…..

แสงจันทร์บนท้องฟ้าส่อเค้าจางหาย ตะวันราวกับใกล้ทอแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ในป่าทึบภูเขาทมิฬ มีเงาคนชุดคลุมดำทั้งตัวกำลังเดินห่างไกลออกไปอย่างช้าๆ

เงาดังกล่าวคือคนที่อยู่ในเผ่าภูผาดำในวันนั้น เขาเดินช้ายิ่งนัก ทว่าทุกฝีก้าวที่เหยียบลง กลับทะลวงผ่านต้นไม้ใหญ่หลายต้นคลับคล้ายภาพมายา

“ที่นี่ก็ไม่มี…..มันอยู่ที่ไหนกันแน่!” เงาดังกล่าวถอนหายใจเบาๆ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า ก่อนค่อยๆ เดินจากไป เมื่อตะวันทอแสงแรก เงาของเขาก็หายลับไปแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!