Skip to content

สู่วิถีอสุรา 36

ตอนที่ 36 อาการมึนเมาของเสี่ยวหง

ผ่านไปหนึ่งค่ำคืน ยามรุ่งอรุณแสงแรกของตะวันทอแสง ดวงจันทร์บนท้องฟ้ากลายเป็นจันทร์เสี้ยวก่อนจางหายไป

ซูหมิงในยามนี้อยู่ในถ้ำภูเขาไฟแห่งยอดเขาเพลิงทมิฬ ร่างของเขาสั่นไหว ศีรษะที่แหงนมองค่อยๆ ลดต่ำลง

ในแววตาของเขาสับสน ทั้งยังเหม่อลอย เมื่อเสี่ยวหงได้เห็นแววตาที่ยากจะอ่านได้นี้ มันกลับขนลุกไปทั้งตัว พลันถอยหลังชนผนังหิน สีหน้าหวาดกลัวและตื่นตะลึง สิ่งที่มันเห็นในแววตาของซูหมิงเป็นเงาของจันทร์โลหิตที่กำลังเลือนหายไป

ผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อจันทร์โลหิตในแววตาของซูหมิงเลือนหาย เขาพลันได้สติจากอาการเหม่อลอย เสี่ยวหงอยู่ด้านข้าง กำลังมองซูหมิงด้วยอาการตื่นตะลึง สีหน้าดูสงสัย

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่าช่วงเวลาตลอดค่ำคืนนี้ราวกับเสี้ยววินาที ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีหลายจุดที่เขาไม่เข้าใจ ทว่าพอได้สังเกตร่างกายของตนแล้ว พลันมีสีหน้าตกตะลึง

“บาดแผล….หายหมดแล้ว….” ซูหมิงกล่าวพึมพำ บาดแผลจากการฝืนทะลวงพลังเหล่านี้ แม้จะไม่หนักมาก ทว่าก็จำเป็นต้องนั่งบำเพ็ญฟื้นฟูหลายวัน ทว่ายามนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งค่ำคืน บาดแผลกลับหายไปทั้งหมด

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงสูดลมหมหายใจ เขาพลันแหงนหน้าขึ้น ทว่าน่าเสียดายเห็นเพียงดวงตะวันกับแสงจ้าผ่านช่องเล็กเท่านั้น

“นั่นเป็นวิชาหมานจริงๆ วิชาหมานแห่งหมานเพลิง! วิชานี้น่าจะมีพลังมหาศาล ข้าขบคิดเพียงหนึ่งคืนก็ทำให้บาดแผลหายไปทั้งหมดได้….” ดวงตาซูหมิงเป็นประกาย พลันโคจรโลหิตในกายทันที ไม่นานเส้นเลือดสิบเก้าเส้นก็ปรากฏบนตัวของเขา

ทว่าพอเส้นเลือดสิบเก้าเส้นปรากฏขึ้น สีหน้าซูหมิงดูประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ราวกับว่าตนยังมีพลังเหลืออยู่ สีหน้าพลันเคร่งขรึม แล้วจึงโคจรโลหิตในกายอีกครั้ง โลหิตไหลเวียนทั่วร่างหลายรอบ ก่อนปรากฏเส้นเลือดเส้นที่ยี่สิบขึ้นตรงหน้าอก!

ภาพดังกล่าวทำให้ซูหมิงเบิกตากว้าง ผ่านไปพักหนึ่งเขาจึงปลดปล่อยโลหิต สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้เขาตกตะลึงมากยิ่งขึ้น

ซูหมิงหัวใจเต้นตึกตึก ผลจากโอสถวิญญาณผาเดิมทีก็ทำให้เขาตกตะลึงมากแล้ว ยามนี้ยังได้สัมผัสกับความพิสดารของวิชาหมานเพลิงอีก สำหรับซูหมิงแล้ว มันเป็นดั่งเส้นทางที่นำไปสู่อนาคตอันยิ่งใหญ่!

“ชำระล้าง! บางทีชีวิตนี้ ข้าซูหมิงคงบรรลุถึงชำระล้าง กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นพลังชำระล้างได้จริงๆ!” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก พยามยับยั้งความตื่นเต้นในใจ ยามนี้เสี่ยวหงวิ่งมาแล้วกระโดดขึ้นมานั่งอยู่บนบ่าของเขา จ้องดวงตาทั้งสองข้าง สีหน้าดูมึนงง ก่อนยื่นมือเข้ามาที่ดวงตาของเขา

ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง ผลักเสี่ยวหงออก หลังจากเล่นกับมันพักหนึ่งแล้ว เหมือนว่าเสี่ยวหงนึกอะไรบางอย่างได้ มันจึงแผดเสียงร้องใส่ซูหมิงหลายครั้ง วางมือขวาตรงจมูกของตนแล้วสูดดม สีหน้าดูมึนเมาขึ้นทันที มันทำแบบเดิมอยู่หลายครั้ง ก่อนยื่นมือขวามาที่หน้าซูหมิง ทำท่าอยากให้เขาสูดดม

ซูหมิงตะลึงไปชั่วขณะ หลายเดือนมานี้เขาเห็นเสี่ยวหงทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาเคยคาดเดาและคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติไป พอยามนี้ได้เห็นอีกครั้งจึงมองไปยังมือขวาที่ยื่นเข้ามา เขาลังเลครู่หนึ่ง เห็นแววตาเฝ้ารอคอยของเสี่ยงหง จึงก้มหน้าไปสูดดมหนึ่งครั้ง

มันเป็นกลิ่นเหม็นคาวจางๆ ซูหมิงจึงผลักออกโดยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เสี่ยวหงถลึงตามอง แสดงท่าทางไม่พอใจที่ซูหมิงผลักมือของมัน

มันกระโดดเข้ามาแล้วแผดเสียงร้องหลายครั้ง พลางดมมือขวาของตนพร้อมกับแสดงสีหน้ามึนเมา เหมือนว่ามือขวาของมันไปจับอะไรบางอย่างมา…..

“เมื่อก่อนมันไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้นี่…..” ซูหมิงมองสีหน้าของเสี่ยวหง ก็ยิ่งรู้สึกแปลก ในใจจึงคิดแผนอะไรบางอย่างเอาไว้

กาลเวลาผ่านไปหลายวัน ตลอดช่วงเวลานี้ซูหมิงวุ่นอยู่กับการหลอมสมุนไพร ผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ของโอสถวิญญาณผาทำให้ซูหมิงหัวใจเต้นโครมคราม ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเกิดความคิดจะหลอมมันให้มากขึ้นด้วย

ทว่าน่าเสียดายอัตราความสำเร็จมีน้อยมาก ก่อนหน้านี้ซูหมิงใช้ใบตาข่ายเมฆาไปครึ่งหนึ่ง ทว่ากลับหลอมสำเร็จได้เพียงสองเม็ดเท่านั้น

นอกจากหลอมสมุนไพรแล้ว ยามกลางวันซูหมิงยังนั่งบำเพ็ญโคจรโลหิตในกายเป็นประจำ ทำให้ลำดับสามขั้นรวมโลหิตเสถียรภาพมากขึ้น ความรู้สึกแข็งแกร่งอบอวลไปทั่วร่าง ตามที่ซูหมิงวิเคราะห์ ตนเองในยามนี้น่าจะปะทะซึ่งหน้ากับชายร่างกำยำจากเผ่าภูผาดำที่ตายตกด้วยโอสถโลหิตได้แล้ว!

ตกดึกซูหมิงหยุดหลอมสมุนไพร แต่นั่งมองดวงจันทร์อยู่ในถ้ำภูเขาไฟ จินตนาการในใจเงียบๆ เพียงแต่ผลลัพธ์ของมัน ไม่ได้พิสดารเฉกเช่นครั้งแรก

แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าตลอดการฝึกฝนหลายวันมานี้ กลับทำให้ซูหมิงรวมเส้นเลือดเพิ่มมาได้อีกสองเส้น กลายเป็นนักรบหมานผู้มีเส้นเลือดยี่สิบสองเส้น

ในค่ำคืนนี้ ซูหมิงกำลังนั่งมองดวงจันทร์ ในหัวนึกจินตนาการถึงจันทร์โลหิต หลายวันมานี้เสี่ยวหงไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก แต่มันกลับปีนป่ายอยู่เงียบๆ กลอกตาไปมา ดมมือขวาพลางสังเกตซูหมิง เมื่อเห็นว่าซูหมิงไม่ได้สนใจตน มันจึงวิ่งออกไปข้างนอกทันที

ทันทีที่เสี่ยวหงวิ่งออกไป ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้ม ก่อนร่างหายวับไป

“อยากรู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสี่ยวหงถึงได้มีอาการมึนเมาเช่นนี้” ถึงอย่างไรซูหมิงก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม ความอยากรู้อยากเห็นจึงมีไม่น้อย โดยเฉพาะการกระทำของเสี่ยวหง ยิ่งทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก

ด้วยขั้นพลังของเขาในยามนี้ ทำให้ความเร็วและความคล่องตัวบรรลุถึงจุดที่น่าสะพรึง กระทั่งยามเดินบนพื้นหิมะ แม้แต่รอยเท้ายังไม่ปรากฏให้เห็นหากเขาไม่จงใจ

ซูหมิงตามเสี่ยวหงมาโดยที่มันยังไม่รู้ตัว ในค่ำคืนแห่งนี้ ด้วยความเร็วของเสี่ยวหง ไม่นานมันก็ลงจากเขามาได้ ซูหมิงตามมาติดๆ บนใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้ม

เพียงแต่ครึ่งชั่วยามผ่านไป รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้าง ก่อนแทนที่ด้วยความประหลาดใจ เขาเห็นเสี่ยวหงกระโดดไปมาในป่าทึบราวกับมีเป้าหมายที่แน่ชัด จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งในป่าทึบ รอบๆ ถ้ำมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด

เสี่ยวหงเดินไปมาอยู่นอกถ้ำอย่างอย่างเชื่องช้า สีหน้าดูตื่นตัวทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเฝ้าปรารถนา หลังจากสำรวจพักหนึ่งแล้ว จึงพลันพุ่งทะยานเข้าไปในถ้ำ

ซูหมิงมองอยู่ใกลๆ ขมวดคิ้วขึ้น ด้วยประสบการณ์ในป่าของเขา เพียงแวบเดียวก็ทราบได้ว่าในถ้ำแห่งนี้จะต้องมีสัตว์ขนาดใหญ่กำลังจำศีลหลบภัยหนาวอยู่แน่นอน

ในขณะนั้นเอง เสียงคำรามแหลมพลันดังมาจากในถ้ำอย่างเกรี้ยวกราด เห็นเพียงเงาสีแดงวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว วิ่งไปพลางแผดเสียงร้องแหลม บนใบหน้าเผยความภูมิใจ ตรงมือขวาของมัน ซูหมิงเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นขนสีดำก้อนหนึ่ง

“นี่มัน….” ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแผ่นดินราวกับสั่นไหว ปรากฏให้เห็นสัตว์ป่าคล้ายหมียักษ์วิ่งคำรามออกมาจากในถ้ำ

สัตว์ป่าตัวนี้เป็นสำดำทั้งตัว มีขนยาว ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าดูเกรี้ยวกราด ทว่าพอซูหมิงได้เห็นมันแล้ว กลับมีสีหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเดิม

เขาเห็นใต้ท้องของสัตว์ตัวนั้น….มีเพียงจุดเดียวที่มีขนกระจัดกระจาย ดูอ้างว้างยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพียงแค่ดึงหนึ่งครั้ง แต่น่าจะมากกว่านั้น…..

ซูหมิงนึกไปถึงสิ่งในมือของเสี่ยวหง และนึกไปถึงตอนที่มันยื่นมือมาให้ตนดมเมื่อหลายวันก่อน ดวงตาพลันเบิกกว้าง

เจ้าสัตว์ป่าตัวนั้นร้องคำราม วิ่งไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับไม่อาจตามเสี่ยวหงได้ทัน ไม่นานมันก็ร้องคำรามราวกับสิ้นหวังและคับอกคับใจ ก่อนกลับไปยังถ้ำของตนอีกครั้ง ในถ้ำมีเสียงดังตึงตัง เห็นได้ว่ามันกำลังระบายอารมณ์อย่างเต็มที่

ในหัวซูหมิงขาวโพลน สีหน้าดูประหลาดใจ ก่อนหมุนตัวพุ่งทะยานตามเสี่ยวหง ความเร็วของเขามีมากกว่าเสี่ยวหงไม่น้อย ไม่นานก็มองเห็นเงาของมันรางๆ

เขาเห็นมันหยุดยืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่หลายต้น มองไปรอบๆ ก่อนรีบนำขนสีดำในมือทาไปบนสะโพก สีหน้าดูภูมิใจยิ่งนักราวกับคิดว่าตนเป็นหมีผู้แข็งแกร่ง

สีหน้าซูหมิงดูเหม่อลอย หลังจากเสี่ยวหงทาขนหมีเสร็จ มันก็เดินเข้าไปในป่าด้วยท่าทีโอหัง อ้าปากแผดเสียงร้องคำราม…..

ซูหมิงเห็นลิงน่ารักฝูงหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในป่าทึบอย่างฉับพลัน แล้วเข้ามาล้อมตัวเสี่ยวหงเอาไว้ ก่อนพบว่าฝูงลิงน่ารักพวกนั้นเข้ามาดมมือขวาของเสี่ยวหง อีกทั้งยังมองใต้สะโพกของมันด้วยความตะลึงและหวาดกลัว……จนท้ายที่สุดเสี่ยวหงก็เข้าไปในป่าลึกพร้อมกับฝูงลิงน่ารักพวกนั้นด้วยสีหน้าลำพองใจ

ซูหมิงหัวเราะแห้งๆ ถอนหายใจยาว เขาเข้าใจแล้วว่าเสี่ยวหงอาศัยอำนาจของหมีเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงรีบจากไปอย่างรวดเร็ว และย้ำเตือนตัวเองให้ลืมเรื่องของเสี่ยวหงไปเสีย

ซูหมิงกลับมาถึงถ้ำภูเขาไฟ เขาถอนหายใจยาวอีกครั้ง รู้สึกเห็นใจเจ้าหมีที่ถูกดึงขนไปจำนวนมากยิ่งนัก

“มิน่าหลายวันมานี้เสี่ยวหงถึงได้กลับมาด้วยท่าทีอิดโรย…..หลังจากหายเหนื่อยแล้วก็วิ่งออกไปอีก……”

ซูหมิงถูจมูก พยามไม่นึกถึงเรื่องดังกล่าวอีก ก่อนเพ่งสมาธิไปกับการมองดวงจันทร์อีกครั้ง ประกายแสงสีแดงพลันไหลเข้าหลอมรวมกับโลหิตในกายตามการสาดส่องของแสงจันทร์

หลายวันผ่านไป ในค่ำคืนแห่งนี้ ซูหมิงยังคงปฏิบัติเช่นเดิม นั่งขัดสมาธิมองดวงจันทร์ ทว่าแสงจันทร์โลหิตในแววตาทั้งสองข้างค่อยๆ สว่างจ้า ขยับแสงวูบวาบ จันทร์โลหิตในดวงตาข้างซ้ายของเขาพลันราวกับลุกไหม้ ทั่วร่างซูหมิงพลันชะงัก

ในความคิดของเขาผุดประโยคหนึ่งขึ้นมา

‘เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!