Skip to content

สู่วิถีอสุรา 369

SVTASR
BC

ตอนที่ 369 โลหิตเผ่าเชมัน

ชนเผ่าทะเลใบไม้ร่วงเป็นชนเผ่าค่อนข้างใหญ่ในแดนเชมัน ส่วนนี้ของกลุ่มอพยพเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ความยาวของขบวนเชื่อมเป็นปึกแผ่นสุดสายตาและแน่นขนัด มีสัตว์ร้ายยักษ์จำนวนมากแบกสิ่งก่อสร้างลักษณะพิเศษกับชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงเดินทางมาอย่างช้าๆ

C

บนท้องฟ้ามีปลาชิวหลายพันตัวดุจปกคลุมผืนฟ้า ส่งเสียงร้องดังกังวาน ทั้งยังมีปลาชิวอีกไม่น้อยกระจัดกระจายกันราวกับลาดตระเวนไปรอบๆ

ซูหมิงนั่งอยู่บนเต่ายักษ์ขนาดหนึ่งหมื่นจั้ง ชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงเก้าคนนั่งอยู่รอบตัวเขา ทั้งเก้าคนนี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา ล้วนเป็นเชมันระดับกลางทั้งสิ้น

พวกเขาล้อมซูหมิงเอาไว้ด้านในปานห่อหุ้ม นี่คือคำสั่งของชายเชมันระดับสูงสุด

ข้างกายซูหมิงมีคนนอนอยู่คนหนึ่ง เขาก็คือชายชราเผ่าหมาน นอนขยับตัวไม่ได้ ทว่ายังมีสติอยู่ หลังได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อครู่ด้วยตาตัวเอง ในใจเขายังตื่นตะลึง

เดิมทีเขาไม่เชื่อว่าซูหมิงจะเป็นผู้ดูดวิญญาณ แต่เรื่องราวต่างๆ ทำให้เขาลังเลใจ กระทั่งยามนี้ยังไม่รู้ว่าซูหมิงเป็นใครกันแน่!

ซูหมิงเงียบตลอดทาง นั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าปกติ ไม่เผยความรู้สึกแม้แต่น้อย เต่ายักษ์ตัวที่เขานั่งอยู่เป็นตัวที่สองในเก้าตัว ตรงหน้าเป็นเต่าตัวที่หนึ่งซึ่งมีชายเชมันระดับสูงสุดนั่งอยู่ ตรงจุดที่ซูหมิงอยู่จะเห็นว่าบนตัวเต่ายักษ์ตัวแรกมีชายผมยาวนั่งหันหลังให้ตน ซูหมิงไม่เคยเห็นผมยาวเช่นนี้มาก่อน และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเจอเชมันระดับสูงสุดด้วย โดยเฉพาะตอนนึกถึงการเทียบพลังของเชมันระดับสูงสุดกับขั้นพลังของเผ่าหมาน ซูหมิงหรี่ม่านตาลง

‘เผ่าเชมันมีเชมันระดับสูงสุดเท่าไรกัน…ดูท่าคงไม่น่าเยอะ เหมือนกับขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ของเผ่าหมาน’ ซูหมิงเข้าใจเรื่องเชมันระดับสูงสุดกับขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์น้อยมาก เรื่องนี้ยังห่างไกลยิ่งนักสำหรับเขา

‘เพียงแค่สายตาก็ทำให้ขั้นวิญญาณหมานตอนต้นเกือบตาย…และจนปัญญาจะหลบหนี ความแข็งแกร่งของเชมันระดับสูงสุด เกรงว่าน่าจะเป็นพลังสูงสุดของทั้งแดนอรุณใต้แล้ว เชมันระดับสูงสุด…ไม่รู้ว่าบุคคลนี้ชื่ออะไร แต่จะต้องเป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งในเผ่าหมานและเชมันแน่’ ซูหมิงพิจารณาไปรอบๆ

ชนเผ่าอพยพไม่เร็วนัก เมื่อยามโพล้เพล้มาถึง ขบวนอพยพจึงค่อยๆ หยุดลง ชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงต่างกางกระโจมหนังสัตว์อย่างชำนาญบนแผ่นดินอ้างว้างและจุดกองไฟ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีความรู้สึกวุ่นวายเลย ราวกับว่าทุกคนรู้ว่าตนต้องทำอะไร

เมื่อยามโพล้เพล้ผ่านไป ท้องฟ้ามืดทึบ กองไฟเหล่านั้นส่องสว่างไสวโดยรอบ กลายเป็นชนเผ่าพักชั่วคราว พื้นที่ของมันยังคงใหญ่โต อย่างน้อยเมื่อซูหมิงยืนอยู่ตรงนี้และมองทอดไกลไปก็ยังเห็นสุดปลายรางๆ ทว่าชนเผ่าชั่วคราวนี้มีขนาดเท่าไร เขาเห็นไม่ชัดนัก

ดวงจันทร์บนท้องฟ้าค่อยๆ โผล่ขึ้นจากเมฆ แสงไฟบนแผ่นดินวูบไหว แม้ไกลออกไปยังมืดสลัว ทว่าในชนเผ่านี้กลับค่อนข้างสว่าง เด็กน้อยเหล่านั้นหยอกเล่นกัน บ้างก็ส่งเสียงหัวเราะ ไม่นานชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงต่างหยิบอาหารของตนขึ้นมา ทั้งยังมีชาวเผ่าบางคนย่างเนื้อกับกองไฟ มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ในชนเผ่าชั่วคราวนี้เริ่มมีเสียงครึกครื้นดังขึ้น

ซูหมิงนั่งอยู่ข้างกองเพลิงพลางมองทุกอย่าง หากไม่สนใจรอยสัก เขายังรู้สึกว่าตรงจุดที่เขาอยู่นี้มิใช่เผ่าเชมัน แต่เป็นเผ่าหมาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือการใช้ชีวิต ทุกอย่างเหล่านี้คล้ายกับเผ่าหมานยิ่งนัก เว้นแต่ความต่างในด้านวิชาและอภินิหาร

ขณะซูหมิงกำลังเหม่อลอย เขาเห็นกองไฟอีกกองหนึ่งไม่ไกลนักมีเด็กน้อยอายุราวเจ็ดขวบสามคน สวมเสื้อหนังสัตว์ เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน เด็กคนหนึ่งในนั้นดวงตาโต แก้มแดงอมชมพู ดูน่ารักมาก

เด็กคนนั้นกำลังวิ่งอยู่ด้านหน้า ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ด้านหลังเขาเป็นสหายอีกสองคนกำลังไล่จับ

“พวกเจ้าสองคนวิ่งช้าเกินไปแล้ว ข้าจะนับถึงสาม หากพวกเจ้ายังไล่ไม่ทัน ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าเล่นกลองอาซู (กลองป๋องแป๋ง)” ในมือเด็กชายที่วิ่งอยู่ข้างหน้าถือกลองเล็กลักษณะกลม มีด้ามจับยึดเอาไว้ เพียงแต่พื้นดินไม่เรียบ ช่วงที่เขาหันกลับไปคุยจึงสะดุดล้มลงทั้งตัว

หลังจากเขาล้มลง สหายทั้งสองคนด้านหลังก็ตามมาทัน ทั้งสามคนส่งเสียงหัวเราะกันบนพื้นอย่างสนุกสนาน ทว่าเล่นไปเล่นมากลับมีปากเสียงกัน ซูหมิงจึงมองไป

“เป็นความผิดเจ้า เจ้าทำกลองอาซูพัง ต้องโทษเจ้า!”

“กลองนี้ท่านพ่อทำให้ข้า เจ้าต้องชดใช้!”

เด็กน้อยที่ล้มลงก่อนหน้านี้ ยามนี้ก้มหน้าลง มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ กลองเล็กในมือเขาก่อนหน้านี้เป็นรูแตก

เด็กชายอีกสองคนมีสีหน้าโกรธและอึดอัดใจ ก่อนจะมีปากเสียงกัน

ตอนเกิดเรื่องของเด็กสามคน ชาวเผ่าเชมันโดยรอบส่วนใหญ่ไม่สนใจ เทียบกับความไร้เดียงสาของเด็กเหล่านี้แล้ว ยามนี้ในใจชาวเผ่าเชมันผู้ใหญ่ล้วนหนักหน่วง เพราะอีกไม่นานพวกเขาต้องเข้าร่วมสงคราม บางทีคนที่รอดมาได้อาจมีน้อยมากๆ

ซูหมิงมองเด็กสามคนนั้น มองกลองกระดูกในมือเด็กชาย จากนั้นค่อยๆ ยืนขึ้น ขณะเดียวกัน ชาวเผ่าเชมันระดับกลางเก้าคนที่ล้อมซูหมิงอยู่พลันเพ่งมองเขาด้วยแววตาตื่นตัว

ซูหมิงไม่สนใจสายตาของทั้งเก้าคน แต่เดินไปยังเด็กสามคนที่กำลังมีปากเสียงกัน

ชาวเผ่าเชมันระดับกลางเก้าคนเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เชมันระดับกลางคนหนึ่งที่อยู่ระหว่างซูหมิงกับเด็กสามคนจ้องเขา ขณะกำลังจะกล่าวสายตาพลันพร่ามัว เมื่อเห็นชัดเจนอีกครั้ง เงาร่างซูหมิงก็หายไปแล้ว

บุคคลนี้ตะลึงงันแล้วพลันหันกลับไปมอง พบว่าซูหมิงเดินหันหลังให้ตนและกำลังมุ่งไปทางเด็กสามคน คนผู้นี้สีหน้าเปลี่ยน อีกแปดคนก็เช่นกัน ยามกำลังจะเข้าประชิดตัวซูหมิง กลับเห็นว่าซูหมิงมาหยุดอยู่ข้างเด็กสามคนแล้วนั่งยองลง

“ให้อาดูหน่อย บางทีอาจช่วยซ่อมให้ได้” ซูหมิงสวมหน้ากาก ทว่ากลับเผยความอ่อนโยนในแววตาและน้ำเสียงนุ่มนวล

เด็กสามคนตะลึงงัน เบิกตากว้างมองซูหมิง

“ท่านอาซ่อมกลองอาซูได้หรือ?”

“ใช่ๆ ท่านพ่อสร้างมันให้ข้า แต่ต้องโทษเขาที่ทำมันพัง”

“ท่านอาลองซ่อมดูหน่อย เป็นความผิดข้าเองที่ทำมันพัง”

เผ่าเชมันระดับกลางเก้าคนที่กำลังจะเข้าประชิดตัว ยามนี้หยุดชะงัก พวกเขาได้ยินคำพูดของซูหมิงและเห็นสิ่งที่เขาทำ

ซูหมิงรับกลองเล็กมาจากมือเด็กคนนั้น มองอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาพลันหวนรำลึก เผ่าหมานกับเผ่าเชมันคล้ายกันยิ่งนัก แม้แต่ของเล่นก็แทบจะเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นกลองอาซูนี้ ซูหมิงจำได้ว่าตอนเยาว์วัยท่านปู่เคยมอบมันให้เขา นี่เป็นกลองทำขึ้นจากหนังสัตว์ สองข้างกลองมีหินก้อนเล็กผูกด้วยเชือกฟาง เมื่อหมุนไปมาหินก้อนเล็กจะสะบัดไปตีกลองจนเกิดเป็นเสียง

มันคือของเล่นที่ซูหมิงในวัยเยาว์ชอบมาก เขามองกลองในมือ ใบหน้าภายใต้หน้ากากเผยรอยยิ้ม กลองนี้แตกเป็นรู ฉะนั้นจึงเคาะไม่เกิดเสียง

ซูหมิงยกมือขวาฉีกหนังสัตว์ที่ขาดออก จากนั้นฉีกเสื้อหนังสัตว์ของเด็กคนนั้นมามุมหนึ่ง แล้วติดเข้าไปใหม่ เมื่อทำให้แน่นแล้วก็ลองหมุนกลองดู พลันมีเสียงดังขึ้นทันใด

เด็กสามคนนั้นร้องด้วยความดีใจ สีหน้าตื่นเต้น หลังจากรับกลองเล็กจากซูหมิงคืนมาก็รีบผลัดกันดู แล้ววิ่งไกลออกไปพร้อมกับความตื่นเต้น

“ท่านอา ขอบคุณ ข้าชื่ออาปู้” เด็กที่ล้มทำกลองพังก่อนหน้านี้โบกมือให้ซูหมิง ก่อนวิ่งตามสหายไปอย่างมีความสุข

ซูหมิงในยามนี้ไม่สนใจเรื่องความแค้นโลหิตระหว่างเผ่าหมานกับเผ่าเชมันแดนอรุณใต้ ไม่สนใจว่าสงครามของทั้งสองฝ่าย ณ เมืองหมอกนภาจะดำเนินมากี่ปีแล้ว เขามองเด็กไร้เดียงสาพวกนั้นพลางถอนหายใจเบา

“ไม่คิดเลยว่าสหายโม่จะช่วยซ่อมกลองอาซูให้เด็กพวกนั้น ดูท่าเจ้าคงเห็นตัวเองในอดีตจากตัวพวกเขา” เสียงยิ้มๆ ดังขึ้นด้านหลังซูหมิง

บุคคลที่กล่าวเป็นชายหนุ่มเสื้อคลุมดำ มีเส้นผมยาวถึงเอว ชายหนุ่มคนนี้มีสีผิวขาวบริสุทธิ์ ตรงกลางระหว่างคิ้วมีรอยสักปลาชิว

รูปร่างหน้าตาเขาต่างจากชาวเผ่าเชมันคนอื่นๆ เล็กน้อย เป็นที่รู้กันดีว่ารอยสักเผ่าเชมันจะมีอยู่ทั้งใบหน้า ทว่าบุคคลนี้กลับมีเพียงตรงระหว่างคิ้วเท่านั้น

เขาเดินเข้ามาแต่ไกล ตอนที่เข้าใกล้ เผ่าเชมันระดับกลางเก้าคนที่เฝ้าจับตามองซูหมิงล้วนมีสีหน้าเคารพ ครั้นชายหนุ่มสะบัดมือลง ทั้งเก้าคนจึงถอยไป

“อดีตผ่านไปแล้ว” ซูหมิงหมุนตัวกลับ กล่าวขึ้นกับชายหนุ่มเบาๆ

“แม้อดีตจะผ่านไป ทว่าข้าอยากยึดเอาไว้ เพราะสิ่งที่ข้าทำสามารถตัดสินอนาคตได้” ชายหนุ่มยิ้มมองซูหมิงเช่นกัน

ยามนี้ทั้งสองคนประสานสายตา

“หยามู่แห่งเผ่าทะเลใบไม้ร่วง ผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับกลาง” ชายหนุ่มอมยิ้มกล่าว ละสายตากลับจากซูหมิง ก่อนนั่งลงข้างกองเพลิง

“สหายโม่ดื่มสุราหรือไม่” ขณะชายหนุ่มกล่าว ด้านหลังเขามีคนสาวเท้ามาไวๆ หลังจากวางไหสุราลงข้างเขาแล้ว ก็ถอยไปอย่างนอบน้อม

ซูหมิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่ายศีรษะ

ชายหนุ่มถือไหสุรายกขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วถอนหายใจยาว

“สหายโม่คงมาจากสนามรบใช่หรือไม่” ชายหนุ่มวางไหสุราลง ถามแบบสบายๆ

“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ในตัวเจ้ามีกลิ่นโลหิตเผ่าเชมันอยู่ ดูท่าชาวเผ่าเชมันคงตายตกในมือเทพแท้จริงหมานวายุโม่ซูผู้นี้ไม่น้อย” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ หลังเอ่ยจบ ในชนเผ่าครึกครื้นประดุจมีไอหนาวบีบเข้ามาทางซูหมิง

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!