ตอนที่ 371 สตรีบนปลาชิวตัวนั้น
ขณะผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับสูงสุดถอนหายใจ ทั้งชนเผ่าทะเลใบไม้ร่วงเงียบสงัด เวลาผ่านไป ความรู้สึกเงียบกลายเป็นความอึดอัด หนักอึ้งอยู่ในใจของทุกคน รวมถึงซูหมิงเช่นกัน
ซูหมิงเคยคาดเดาประวัติของศิษย์พี่ใหญ่หลายครั้ง จนถึงตอนนี้เขาถึงได้รู้ฐานะแท้จริงของศิษย์พี่ใหญ่
‘ประมุขของเผ่าเชมันเก้าอรุณ…’
ขณะความอึดอัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น สตรีวิญญาณเชมันเก้าอรุณจากควันดำมีระลอกคลื่นกระจายรอบตัว จากนั้นเสียงที่ซูหมิงคุ้นเคยราวกับทะลวงผ่านระลอกคลื่นมาจากที่ห่างไกล
“ข้าจะไปก่อนเซียนต่างแดนมาเยือนครั้งที่สี่…”
เสียงนั้น ชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาพลันคุกเข่าลง แม้แต่ปลาชิวบนท้องฟ้าเหล่านั้นยังส่งเสียงร้อง ทำให้ท้องฟ้ามืดทึบดุจกลายเป็นทะเลสีดำ และมีคลื่นเสียงไหลเชี่ยวกราก
“พวกเรา คารวะประมุขแห่งเก้าอรุณ!” คลื่นเสียงรวมกันเป็นหนึ่งเสียง เสียงนี้ค่อยๆ แผ่ขยายอยู่นาน
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าเพิ่งกลับเผ่าหมานในตอนนี้…” เสียงศิษย์พี่ใหญ่ดังมาจากในตัวสตรีวิญญาณเชมันเก้าอรุณ กล่าวจบเสียงก็ค่อยๆ หายไป
สตรีวิญญาณเชมันเก้าอรุณก็สลายไปเช่นกัน แล้วกลับมาเป็นกำไลข้อมือซูหมิงอีกครั้ง ทว่ากำไลมืดสลัวลงไม่น้อย เห็นได้ชัดการว่าสนทนาเมื่อครู่ แม้เป็นเพียงสองประโยคก็ไม่ใช่ง่ายๆ
ยามนี้ ชาวเผ่าเชมันโดยรอบค่อยๆ ยืนขึ้นจากท่าคุกเข่า หญิงชรามองซูหมิงแวบหนึ่งก็ไม่สนใจอีก แต่หมุนตัวจากไป ราวกับว่าการมาของนางเป็นอย่างที่ซูหมิงคิด นั่นคือเพื่อคุยกับประมุขแห่งเก้าอรุณ
ส่วนเชมันระดับกลางเก้าคนที่ยังอยู่ข้างซูหมิงเหมือนจะได้รับคำสั่งใหม่เช่นกัน ยามนี้ถอยออกไป ไม่สนใจซูหมิงอีก มีเพียงหยามู่ที่ยังอยู่ เขายิ้มให้ซูหมิง ก่อนหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่
“เอาละ คนแก่พวกนั้นไปแล้ว ที่นี่ไม่มีใครคุมตัวเจ้าอีก สหายซู เจ้าไปได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ หากไม่ไปจะอยู่ที่นี่ก็ได้”
“เซียนจากต่างแดนมาเยือน…มันเกิดอะไรขึ้น?” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง หยิบไหสุราขึ้นมาดื่มพลางมองหยามู่
“ย่อมเป็นพวกเซียนจากต่างแดน ใช้วิธีพิเศษบางอย่างเข้ามาในโลกของพวกเรา วิชาเซียนพวกนี้ต่างกับพวกเรา เพียงแค่ผู้มาเยือน ส่วนใหญ่ก็มีขั้นพลังที่ไม่อาจคาดเดา กระทั่งพวกเขายังมีวิธีทำให้ผู้แข็งแกร่งเชมันระดับสูงสุดก้าวเข้าสู่ระดับนภา…พูดได้ว่ามีพลังที่ทำให้ตาแก่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ในเผ่าเจ้าทะลวงไปอีกขั้นพลังหนึ่ง
สำหรับตาแก่พวกนั้นแล้ว สิ่งนี้มันเย้ายวนใจจนไม่อาจต้านไหว โดยเฉพาะผู้ใกล้จะหมดอายุขัย ตอนทะลวงขั้นพลังจะเหนี่ยวนำพลังฟ้าดิน ทำให้ชีวิตแปรเปลี่ยนคล้ายว่าไม่สูญสลาย ความยั่วยวนใจแบบนี้ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ข้ายังปรารถนายิ่งนัก” หยามู่ยักไหล่ กล่าวจากใจ
“เจ้าเคยเห็นพวกเซียนหรือไม่?” ซูหมิงพลันกล่าว
“เคย” นัยน์ตาหยามู่วูบไหว เขากล่าวเสียงเบา
“ข้าเคยเห็นเซียนสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายเป็นตาแก่ เมื่อสิบปีก่อนมาเผ่าทะเลใบไม้ร่วงและต่อสู้กับท่านจงเจ๋อ…”
ซูหมิงพลันใจจดใจจ่อ ตั้งใจฟังหยามู่เล่า
“รายละเอียดยิบย่อยในการต่อสู้ครั้งนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าก็มองไม่ออก แต่การต่อสู้ของพวกเขายังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็มีมือยักษ์ปรากฏบนท้องฟ้า มือนั้นกำหมัดแล้วคลายออกเก้าครั้ง เมื่อครบเก้าครั้ง การต่อสู้ก็จบลง ข้าเห็นกับตาว่าชายชราคนนั้นสวมอาภรณ์งดงามยิ่งนัก เขาเดินหายไปในท้องฟ้าโดยไม่กล่าวสักคำ
ใช่แล้ว บนเสื้อของชายชราปักภาพสัญลักษณ์เอาไว้ด้วย มันเป็นมังกรสีม่วงตัวหนึ่ง เหนือกรงเล็บมังกรมีของอยู่สี่อย่าง แบ่งเป็นขวด ไข่มุก กระบี่เล็ก และยังมีอีกอันซ่อนอยู่ในเมฆ
เมื่อชายชราจากไป ท่านจงเจ๋อถึงปรากฏตัวบนท้องฟ้าแล้วกลับมายังเผ่า…ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเขามีสีหน้าย่ำแย่มาก พวกเราเดาว่า บางที..เฮ้อ เจ้าก็รู้แล้ว” หยามู่ถอนหายใจ หยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่
ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “แล้วอีกคนหนึ่ง?”
“อีกคนหนึ่งเป็นสตรี…” นัยน์ตาหยามู่ฉายแววคะนึงคิดและมีสีสัน
“จะว่าอย่างไรดี นางไม่ได้งดงามเป็นพิเศษ ทว่ามองแวบแรกกลับลืมไม่ลง ดวงตานางเหมือนแฝงไว้ด้วยโลกทั้งใบ…นางบินอยู่บนท้องฟ้า ตอนที่ข้าเห็นนาง มองแวบแรกก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่เผ่าเชมัน ไม่ใช่เผ่าหมาน เพราะกลิ่นอายพลังแบบนั้นต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง
หากเจ้าเห็นเซียนจะต้องมองออกในแวบแรกเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่ต่างกัน จนถึงตอนนี้ข้ายังจำได้ พอนางเห็นข้าแล้วก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย นางสับสน เห็นใจ และยังหวาดกลัวนิดๆ…เหมือนว่านางจะกลัวข้ามาก ทว่าขั้นพลังนางกลับทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับเชมันระดับปลาย ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงมีสีหน้าหวาดกลัว”
หยามู่ดื่มสุรา ขณะกล่าวก็ส่ายศีรษะ ราวกับว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ
ซูหมิงนั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดทึบ บางคราจะมีดาวระยิบระยับ แววตาเขาค่อยๆ หยั่งลึก หลังจากผสานรวมกับเอกลักษณ์เฉพาะตอนเขาไม่สวมหน้ากากแล้วก็กลายเป็นความงามของศิลป์ดั่งเทวะอย่างบอกไม่ถูก
หยามู่วางไหสุราลง ไม่นึกถึงเรื่องสตรีผู้นั้นอีก มองซูหมิงแวบหนึ่ง ทว่าเขากลับตัวสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีอย่างเด่นชัด
“เจ้า…เจ้า…” หลังจากหยามู่ตะลึงงัน สูดลมหายใจเข้า จนกระทั่งซูหมิงก้มหน้าลงแล้วมองมาทางเขา ความล้ำลึกในแววตาจึงหายไปกลายเป็นสงบนิ่ง หยามู่เหม่อลอยก่อนขยี้ตา
“เป็นอะไร?” ซูหมิงถามขึ้น
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนสตรีเผ่าเซียนผู้นั้น และยังมีชายชราเผ่าเซียนอีก! เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง…”
หยามู่เงียบไปครู่หนึ่ง เขามองซูหมิงพลางกล่าวเรียบๆ
“ท่านจงเจ๋อพูดถูก ในตัวเจ้ามีหมอกหนาทึบที่มองไม่ผ่าน หากมิใช่เพราะรู้ว่าเจ้าเป็นเผ่าหมาน ก่อนหน้านี้จะต้องคิดว่าเจ้าเป็นผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับกลาง…
หากไม่ใช่เพราะรู้ประวัติเจ้า เมื่อครู่นี้ข้าเกือบคิดจริงๆ ว่าเจ้าเป็นเซียนมาเยือน”
หยามู่ส่ายศีรษะ สะบัดความคิดเมื่อครู่ทิ้งไป เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เซียนผู้มาเยือนไม่มีทางเป็นเทพแท้จริงของเผ่าหมาน และไม่มีทางรับมรดกสืบทอดจากเทพหมานรุ่นหนึ่ง ต่อให้เป็นเผ่าเชมันก็เช่นเดียวกัน
“เผ่าเซียนรึ….” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ยิ้มเฝื่อนในใจ
เทียบกับความรู้สึกของหยามู่ ความสับสนเป็นต้นตอความขมขื่นของซูหมิง หากสับสนไปเลยก็ว่าไปอย่าง ทว่าเขากลับ…คาดเดาอะไรบางอย่างได้
มันเป็นการคาดเดาที่เขาไม่อยากยอมรับ กระทั่ง…ไม่อาจยอมรับ
“ต่างแดนจะปรากฏตัวที่ใด? จะมาประมาณเมื่อไร? ข้าเคยเห็นสตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแบบที่เจ้าว่านี้ตอนอยู่สนามรบนอกเมืองหมอกนภา นางเป็นใครเจ้ารู้หรือไม่? แล้วจะหาคนเผ่าเซียนเจอได้อย่างไร?” ซูหมิงพลันถามขึ้น
“เจ้าพูดเร็วเกินไปแล้ว เซียนต่างแดนจะมาในอีกสามปี วันไหนข้าไม่รู้ ตอนที่เจ้าเห็นท้องฟ้าเป็นสีขาวทั้งที่ยังเป็นยามคืน หรือเป็นสีดำทั้งที่เป็นยามกลางวัน เมื่อนั้นเผ่าเซียนจะมาเยือน
ตำแหน่งโดยละเอียดข้าก็พอรู้ เป็นภูเขาที่สูงสุดในเผ่าเชมัน ยอดเขาเชมันเมฆา เพราะหลายครั้งก่อนหน้านี้เผ่าเซียนจะปรากฏตัวที่นั่น ส่วนเซียนบนสนามรบที่เจ้าว่าข้าไม่เคยพบ ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ข้ารู้ว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่เจ้าจะได้พบเผ่าเซียนแน่ ที่นั่นคือวิหารเทพเชมัน หรือที่อาศัยของยอดจ้าวเชมัน! มันก็อยู่บนยอดเขาเชมันเมฆาเช่นกัน”
ขณะหยามู่กล่าวก็ยืนขึ้น มองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแผ่นไม้บันทึกจากอกเสื้อมาส่งให้ซูหมิง
“ดูท่าเจ้าคงจะไปจากที่นี่ นี่คือแผนที่ส่วนใหญ่ของเผ่าเชมัน ต้องเป็นชาวเผ่าทะเลใบใม้ร่วงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง เจ้าเอาไปเถอะ มันจะมีประโยชน์กับเจ้า
แม้จะอยู่ในช่วงสงคราม ทว่าการเดินทางคนเดียวก็ยังอันตรายอยู่ ด้วยขั้นพลังของเจ้าแล้ว…ดูแลตัวเองให้ดีด้วย” หยามู่ส่ายศีรษะ หิ้วไหสุราจากไป
ซูหมิงรับแผ่นไม้บันทึกมา ใส่ไว้ในอกเสื้อแล้วยืนขึ้น เขาจะไปจริงๆ เป้าหมายที่มาเผ่าเชมันในครั้งนี้ นอกจากต้องการให้ตนผ่านการต่อสู้เป็นตายหลายครั้งและข้ามผ่านขั้นพลังแล้ว เขายังต้องการรู้ว่าซู่มิ่งคืออะไรจากเซียนผู้มาเยือนเหล่านั้น!
เซียนต่างแดนจะมาเยือนภายในสามปี เขาจะต้องไปแน่นอน ทว่าก่อนหน้านั้นเขายังต้องทำเรื่องที่สำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นการหลอมเม็ดโอสถหรือหลอมชายชราเผ่าหมาน และยังต้องฝึกฝนหมานวายุ วิชาหมานอัสนี และผสานรวมกับผลึกผู้สืบทอด
เรื่องเหล่านี้เขาต้องใช้เวลาเตรียมตัว และยังมีหนอนงูอีกว่าจะวิวัฒนาการหรือไม่ ไหนจะเม็ดโอสถที่ยังไม่รู้ในหม้อโอสถอีก ระฆังเขาหานก็ต้องยกระดับขึ้นอีกจากการทะลวงขั้นพลัง อีกทั้งยังต้องเรียนรู้พลังแท้จริงของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ เรื่องเหล่านี้กำลังรอให้ซูหมิงจัดการอยู่
“สามปี…สามปีหลังจากนี้ ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีก!” นัยน์ตาซูหมิงแน่วแน่ ขณะกำลังจะจากไปสีหน้าพลันเปลี่ยน เขาเงยหน้าขึ้น
ยามนี้หยามู่ยังไปไม่ไกล ท้องฟ้ามืดทึบพลันมีเสียงอึกทึกลากยาวเข้ามา ทะเลหมอกไหลเชี่ยวกราก ปลาชิวบนท้องฟ้าเหล่านั้นส่งเสียงร้องพร้อมกัน เสียงของพวกมันไม่เหมือนเจอศัตรู แต่เหมือนยินดีต้อนรับอย่างนอบน้อม ก่อนพากันถอยไปพร้อมกัน
เวลาเดียวกัน ในทะเลหมอกปรากฏปลาชิวยักษ์ตัวหนึ่ง มองไม่ออกว่ามันมีขนาดเท่าไร เห็นเพียงส่วนหนึ่งในทะเลหมอกเท่านั้น!
ปลาชิวยักษ์ว่ายเข้ามาประหนึ่งท้องฟ้าเป็นมหาสมุทร บนหลังมันมีสตรีถือขลุ่ยไม้ เส้นผมนางปลิวไสว สวมอาภรณ์สีขาว นางใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เผยใบหน้างดงามอย่างยิ่งที่ทำให้ผู้มองต้องหวั่นไหว!