Skip to content

สู่วิถีอสุรา 38

ตอนที่ 38 ข้าอยากแข็งแกร่ง

ช่วงที่ซูหมิงโบกมือขวา เป็นจังหวะเดียวกับจันทร์เสี้ยวกำลังเลือนหาย

ทว่าทันใดนั้นมันพลันแผ่ขยายแสงเงินสว่างจ้า ผู้อื่นไม่อาจมองเห็นแสงเงินได้ มีเพียงซูหมิงเท่านั้นที่ได้เห็นอย่างแจ่มชัด

แสงเงินสาดส่องจากฟากฟ้า ขณะซูหมิงกำลังโบกมือ ภาพเบื้องหน้าพลันบิดเบี้ยว แสงจันทร์ขยับแสงวูบผ่าน เสียงดังสนั่นขึ้นทันใด พร้อมกับหินผาเบื้องหน้าซูหมิงแตกกระจาย บางส่วนตกลงไปในซอกเขา ส่งเสียงดังก้องกังวาน

ซูหมิงเบิกตากว้าง สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองมือขวาของตนค้างอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา เขาพลันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ยามนี้แสงจันทร์เลือนหาย ตะวันทอแสงแรก ทั้งฟ้าดินถูกปกคลุมไปด้วยความสว่างไสว

“นี่มัน….วิชาหมานเพลิงอย่างนั้นหรือ…..เหตุใดมันถึงได้เกี่ยวกับดวงจันทร์ แทนที่จะเป็นเปลวเพลิง” ซูหมิงกล่าวพึมพำ หัวใจสั่นระรัว อานุภาพแห่งพลังแสงจันทร์ที่เขาใช้มือขวาควบคุมเมื่อครู่นี้ แฝงไว้ด้วยความพิลึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ ทว่าในขณะเดียวกันความรวดเร็วและดุดันของมัน กลับทำให้หัวใจของซูหมิงเต้นระรัว

เขาพลันกำมือขวา สายตาขยับประกายแสงก่อนทะยานหมัดเข้าใส่หินก้อนใหญ่ด้านข้าง โลหิตในกายโคจร เส้นเลือดทั้งยี่สิบห้าเส้นตัดสลับกัน ในช่วงที่หมัดพุ่งอัดเข้าใส่ก้อนหิน พลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมกับก้อนหินขนาดใหญ่เกิดเป็นรอยร้าวจำนวนมาก ในขณะเดียวกันเกิดแรงสะท้อนกลับหลั่งทะลักเข้าใส่มือขวาของซูหมิง ก่อนแล่นเข้าสู่ร่างกาย ทว่ามันก็ถูกโลหิตโคจรขวางเอาไว้ได้

ซูหมิงถอยไปหนึ่งก้าว สายตามองหินก้อนใหญ่ที่เกิดรอยร้าวจำนวนมาก นัยน์ตาของเขาค่อยๆ ฉายแววตื่นเต้น

“ด้วยพลังลำดับสี่ขั้นรวมโลหิตของข้าในตอนนี้ ทำได้เพียงให้มันเกิดรอยร้าวเท่านั้น……หากสำแดงวิชาหมานสูบวิญญาณ ใช้พลังวิญญาณจากพวกสัตว์ป่า บางทีอาจจะทำให้มันแหลกละเอียดได้…..ทว่านั่นคือการใช้พลังทั้งหมดของข้า เทียบกับพลังแสงจันทร์แล้วยังห่างไกลนัก”

“แต่นั่นก็เป็นเพียงแสงจันทร์หนึ่งเส้น หากมีมากกว่านี้เล่า…” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงหัวเราะ ดูท่าทางเบิกบานใจยิ่งนัก เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง สัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ในกาย และยังคงเฝ้ารอ….การมาเยือนของค่ำคืนแสงจันทร์

“แต่น่าเสียดาย เหมือนว่าพลังแห่งแสงจันทร์ใช้ได้เพียงยามค่ำคืนเท่านั้น” ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด หมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าไปในถ้ำภูเขาไฟ

ซูหมิงเฝ้ารอคอยการมาเยือนของแสงจันทร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านช่องเล็กอยู่บ่อยครั้ง รู้สึกว่าเวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มอีกครั้ง ยามแสงจันทร์สาดส่องลงบนผืนดินกว้าง ซูหมิงพยามยับยั้งความตื่นเต้นในใจ มองดวงจันทร์พลางสูดลมหายใจเข้าลึก แววตาเป็นประกาย

จากที่ได้รับสืบทอดพลังจากเทวรูปหมาน ซูหมิงทราบดีว่าหากทะลวงสู่ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต เขาจะได้รับสองเคล็ดวิชาหมานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งจากชนเผ่าเขาทมิฬขนาดกลางเมื่อหลายร้อยปีก่อน!

ธุลีโลหิตดำและสามตัดสังหาร!

กล่าวถึงวิชาธุลีโลหิตดำ เป็นการรวมหยดโลหิตหมานในกาย ทำให้สามารถระเบิดพลังขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา ส่วนสามตัดสังหาร เป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้ซูหมิงใจเต้นตึกตึกทุกครั้งที่นึกถึง

ทว่าเคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำจำเป็นต้องมีเส้นเลือดถึงห้าสิบเส้นก่อนถึงจะสำแดงพลังได้ ส่วนสามตัดสังหารนั้นยากยิ่งกว่า จำเป็นต้องมีเส้นเลือดถึงสองร้อยเส้นถึงจะสำแดงพลังได้ในชั้นต้น ตัดสังหารได้หนึ่งครั้ง!

ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต จำเป็นต้องมีเส้นเลือดห้าสิบสามเส้น หากคิดจะเป็นนักรบหมานลำดับหกจำเป็นต้องมีถึงหนึ่งร้อยเก้าเส้น! ส่วนลำดับเจ็ดต้องมีสองร้อยสี่สิบสามเส้น! ทั้งยังนับว่าเป็นจุดสูงสุดในระดับกลางขั้นรวมโลหิต

หากเป็นลำดับแปดต้องมีสามร้อยเก้าสิบเก้าเส้น! ลำดับเก้าขึ้นไปนับว่าเป็นขั้นรวมโลหิตระดับปลาย ส่วนลำดับสิบจำนวนเส้นเลือดจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยขีดจำกัดจะอยู่ที่เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดเส้น หากมีมากกว่านั้น ก็จะแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสทะลวงสู่ขั้นชำระล้างมากขึ้นด้วย!

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า ความปรารถนาในแววตาเพิ่มมากขึ้น แสงจันทร์ที่เขามองเห็นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงตามความคิด ก่อนความรู้สึกแผดเผาในดวงตาจะเกิดอีกครั้ง

ครั้งนี้ซูหมิงกัดปลายนิ้วตัวเองอย่างไม่ลังเล แล้วใช้โลหิตป้ายไปในดวงตาทั้งสองข้าง ทั่วร่างราวกับสั่นไหว การเปลี่ยนแปลงพิสดารที่เกิดขึ้นเมื่อวานจากทั้งในและนอกยอดเขาเพลิงทมิฬกลับมาอีกครั้ง

“ข้าอยากแข็งแกร่ง” ซูหมิงกล่าวพึมพำ พลางปรากฏเส้นเลือดยี่สิบห้าเส้น แสงโลหิตขยับวูบวาบทั่วกาย ทั้งยังดูดกลิ่นอายพลังจากเทือกเขารอบแปดทิศต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันจันทร์โลหิตในดวงตาพลันขยับประกาย ก่อนซูหมิงใช้มือขวาป้ายไปที่ดวงตาทั้งสองข้างอีกครั้ง!

“เขาเป็นหมานปรารถนา ปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง…หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน…ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง!”

“เก้าสูงสุด เก้าสูงสุด! ความหมายแฝงของประโยคนี้น่าจะเป็นให้เพลิงโลหิตแผดเผาเก้าครั้ง!” หลังจากซูหมิงใช้มือขวาป้ายดวงตาไปสองครั้ง ร่างกายพลันสั่นไหว ทั้งยอดเขาเพลิงทมิฬเกิดการสั่นสะเทือน เพียงแต่การสั่นไหวครั้งนี้ไม่มีใครสัมผัสมันได้เลย

กลิ่นอายพลังมหาศาลจากเทือกเขาพลันหลั่งทะลักเข้าในร่างของซูหมิง ทำให้เขาเกิดความรู้สึกราวกับร่างจะระเบิด เส้นเลือดยี่สิบห้าเส้นบนตัวของเขาขับแสงจ้าละลานตา ขยับบิดไปมาคลับคล้ายมีชีวิต ในขณะนั้นเอง เส้นเลือดเส้นที่ยี่สิบหกพลันปรากฏขึ้นบนตัวของซูหมิง ไม่จบเพียงแค่นั้น ยังปรากฏเส้นที่ยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปด ยี่สิบเก้า…..จนกระทั่งถึงเส้นเลือดเส้นที่สามสิบสาม!

ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ หัวใจเต้นโครมคราม ความรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งทำให้เขาตกอยู่ในห้วงไปทั้งตัวราวกับไม่ยอมออกมา ทว่าซูหมิงยังคงมีสติ เมื่อจันทร์โลหิตในดวงตาขยับแสง เขาจึงกัดปลายนิ้วที่สามของมือขวาอย่างไม่เร่งรีบ

โลหิตสดอาบปล้องนิ้วมือ ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่าง ซูหมิงมองเลือดสดแล้วค่อยๆ วางไว้เบื้องหน้าตนเอง ยามนี้เขาต้องการทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สาม!

เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก หากตนทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สามได้สำเร็จ เช่นนั้น ขั้นพลังของเขาจะรุดก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกถึงพลังทำให้เขาตัวสั่น จ้องมองนิ้วมือของตนเขม็ง ก่อนกดนิ้วมือลงบนดวงตาขวาแล้วออกแรงป้ายเบาๆ ทันใดนั้นภูผาทมิฬทั้งลูกพลันสั่นสะเทือนพร้อมกัน

ไม่ใช่เพียงแค่ยอดเขาเพลิงทมิฬที่สั่นไหว แต่ยอดเขาอีกสี่ยอดที่เหลือเองก็สั่นสะท้านเช่นเดียวกัน สัตว์ปีกจำนวนมากแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ทว่าในสายตาของผู้คนที่มองมา กลับยังคงปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เผ่ามังกรทมิฬไม่มีใครสังเกตเห็น เผ่าเขาทมิฬก็เช่นเดียวกัน

มีเพียงปี้ถูจ้าวหมานแห่งเผ่าภูผาดำที่ขณะนี้กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรทะลวงพลังสู่ขั้นชำระล้างจากการดูดเลือดของค้างคาวจันทราเท่านั้น เขาพลันชะงัก นัยน์ตาฉายแววตื่นตะลึง ก่อนยันกายขึ้นแล้วเดินออกจากเรือนไปมองท้องฟ้า

ทว่าความรู้สึกนั้นกลับมลายหายไปเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะสังเกตอย่างไรก็หาแหล่งต้นตอไม่พบ

นอกจากนั้นแล้ว ในขณะที่ซูหมิงกำลังทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สาม ณ ส่วนลึกของยอดเขาทั้งห้าแห่งภูผาทมิฬ พวกค้างคาวจันทราทั้งหมดล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น บินโฉบไปมาอยู่ในลำต้นไม้ประหลาดอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งอยากออกไปหาราชาของพวกมัน!

ทว่าพวกมันกลับถูกพลังบางอย่างขวางเอาไว้ทำให้ออกมาไม่ได้ ขณะเดียวกัน ต้นไม้ใหญ่สีแดงพิลึกในภูเขาทมิฬกำลังสั่นไหว บอกไม่ถูกว่าตื่นเต้นหรือว่าหวาดกลัวกันแน่

ณ ถ้ำภูเขาไฟ หลังจากซูหมิงป้ายโลหิตลงบนดวงตาแล้ว ร่างของเขาพลันสั่นไหวราวกับไม่อาจหยุดได้ กลิ่นอายพลังมหาศาลจากภูเขาทมิฬทั้งลูกหลั่งไหลเข้าสู่กายเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เส้นเลือดบนตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วจนซูหมิงรู้สึกหวาดกลัว

สามสิบสี่ สามสิบห้า สามสิบหก…สี่สิบสอง สี่สิบสี่…กระทั่งถึงสี่สิบเจ็ด!

ซูหมิงไม่อาจฝืนต่อไปได้แล้ว ความรู้สึกราวกับร่างจะระเบิดชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในยามนี้ยังได้ยินเสียงร้องคำรามของค้างคาวทมิฬจากส่วนลึกในภูผาทมิฬรางๆ

เขาพลันชูมือขวาขึ้น ลมหายใจกระชั้นถี่ หอบหายใจลากยาว เหงื่อชโลมไปทั่งตัว ในขณะเดียวกันจิตวิญญาณของภูเขาทมิฬหยุดสั่นไหว กลิ่นอายพลังมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามามลายหายไป เสียงคำรามเลือนรางข้างหูค่อยๆ เงียบลง ก่อนทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ!

เพียงแต่ซูหมิงทราบดีว่าทั้งหมดเมื่อครู่นี้มันไม่ปกติ!

“เป็นวิชาหมานที่แข็งแกร่งมาก! ข้ารู้สึกได้ว่า หากสำเร็จเพลิงแผดเผาครั้งที่สามแล้ว เส้นเลือดของข้าจะต้องเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า! นี่เป็นเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น หากเป็นเก้าครั้งเล่า…” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ยามนี้เขาเกิดความความกลัวจนไม่กล้าฝึกฝนต่อเล็กน้อยแล้ว

“มันก็แค่เก้าครั้งเท่านั้น ตามที่ข้าเข้าใจ เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำเก้าครั้ง เท่ากับการคารวะจันทร์โลหิตบนท้องฟ้าหนึ่งครั้ง…..หลังจากคารวะครบเก้าครั้ง ก็จะเป็นหมานเพลิงเชื่อมสวรรค์” ซูหมิงกล่าวพึมพำ สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งในกายที่ทำให้เขาแทบไม่อยากเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววเด็ดขาด

“เม็ดโอสถและวิชาหมานนี้…จะทำให้ข้ามีหวังได้ชำระล้าง!” ซูหมิงกำหมัดแน่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!