Skip to content

สู่วิถีอสุรา 383

ตอนที่ 383 เสียงของผู้ดูดวิญญาณ

“ท่านปู่ ไม่เป็นไร…” ชายร่างกำยำลังเลเล็กน้อย มองจีหูหยินที่สวมงอบแวบหนึ่ง สตรีผู้นี้แม้ไม่เผยใบหน้า ไม่กล่าวสักคำ ทว่าตอนที่นางยืนอยู่ตรงนั้นกลับมีความรู้สึกหนาวเยือกแผ่กระจาย ทำให้ผู้คนโดยรอบส่วนใหญ่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว

โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งและเหล่าผู้นำในเผ่าที่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ ส่วนใหญ่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจีฮูหยินมาบ้าง ยามนี้เห็นอีกฝ่ายตัวเป็นๆ จึงเกิดความเคารพยำเกรงยิ่ง

“ช่างเถิด ก็แล้วแต่เจ้า” นัยน์ตาจ้าวเชมันเผ่ากระเรียนดำฉายแววเย็นชา

จ้าวเผ่ากระเรียนดำพยายามยืนขึ้น อดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เริ่ม ทว่ากลับไม่กล่าวถึงเรื่องปรากฏการณ์ฟ้าดินเมื่อหลายวันก่อน

“บุคคลนี้ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ จีฮูหยินโปรดช่วยด้วย” ชายร่างกำยำกล่าวจบก็พยามยามคารวะสตรีผู้นั้น

ชายชราสวมเสื้อทำขึ้นจากขนนกสีดำ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับบางๆ จนจับสังเกตไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็สนิทกับชายร่างกำยำ จึงอ่านเงื่อนงำออกเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เปิดโปง เพียงหรี่ม่านตาลง เขารู้ว่าชายร่างกำยำคนนี้มีความคิดรอบคอบ ไม่มีทางทำอะไรอย่างไร้จุดประสงค์ ตอนนี้ขอให้จีฮูหยินลงมือราวอ้อนวอนต่อหน้าตน นี่จึงเห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นตนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย

“จีฮูหยิน เรื่องนี้…ได้โปรดช่วยลงมือด้วย!” ชายชรากัดฟัน หากเป็นชาวเผ่าคนอื่นพูดแบบนี้เขาอาจจะไม่เชื่อ ทว่าชายร่างกำยำตรงหน้าเป็นจ้าวเผ่ากระเรียนดำรุ่นนี้ ฉะนั้นชายชราจึงเชื่อคำพูดของเขา

“อีกฝ่ายเป็นเชมันระดับปลายหรือไม่!” จีฮูหยินผู้สวมงอบพลันกล่าว

“ไม่ใช่เชมันระดับปลาย เรื่องนี้ข้ากล้ารับประกัน!” ชายร่างกำยำรีบตอบ

“หากเจ้ารับประกันมั่วซั่ว เผ่ากระเรียนดำต้องลงหลุมตามไปด้วย! สังหารหนึ่งคน สองพันผลึกเชมัน สองคนสี่พัน! และยังมีที่คุยกันก่อนหน้านี้ ผลึกเชมันของเผ่าโคขาวกับของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า หลังจากพวกเจ้าเผ่ากระเรียนดำทำลายผนึกแล้ว มันต้องเป็นของข้า!”

สตรีสวมงอบกล่าวเสียงเฉียบคม ตอนที่เอ่ยคำผู้ฟังโดยรอบล้วนใจสั่นไหว

จ้าวเชมันเผ่ากระเรียนดำปวดใจยิ่งนัก เขาลังเลครู่หนึ่ง ทว่าพอเห็นแววตาแน่วแน่ของชายร่างกำยำแล้ว ก็รู้ว่าข้างในจะต้องมีเงื่อนงำแน่นอน จึงกัดฟันพยักหน้า

“ขอบคุณจีฮูหยินมาก หลังจากจบเรื่องนี้ ข้าจะส่งผลึกเชมันสองพันก้อนที่เหลือไปให้”

“เจ้าจะไม่ให้ก็ได้” จีฮูหยินผู้สวมงอบหัวเราะ เสียงหัวเราะนางก็แหลมเสียดหูเช่นกัน

“มิกล้า มิกล้า” ชายชรารีบประสานมือคารวะ

“ข้าจะช่วยรักษาขาเจ้า ครั้งนี้ไม่ต้องจ่าย” จีฮูหยินยกมือขวาชี้ไปทางขาขวาชายร่างกำยำ ทันใดนั้นมีตะขาบสีสันแพรวพราวดุจลายบนเสื้อผู้หญิงตัวหนึ่งขยับหลายครั้ง ก่อนไหลมาตามแขนนางอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าใส่ขาขวาชายร่างกำยำ ขณะชายร่างกำยำตัวสั่น ตะขาบกัดเนื้อแล้วมุดเข้าไป

ความเจ็บปวดนี้ทำให้ชายร่างกำยำสั่นเทาทั้งร่าง อยากจะอดกลั้นเอาไว้ ทว่าสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เปล่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด พรวดเดียวก็ล้มลงกับพื้น ชาวเผ่ากระเรียนดำโดยรอบล้วนหน้าเปลี่ยนสี กระดูกขาขวาจ้าวเผ่ากระเรียนดำส่งเสียงดังกรุบๆ เลือดเนื้อประสานตัวอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวขาขวาก็ไม่มีบาดแผลอีก

ทว่ามีภาพสัญลักษณ์ตะขาบตัวหนึ่งขยับวูบวาบตรงขาขวา

ชายร่างกำยำหน้าซีดขาว ยืนขึ้นแล้วประสานมือคารวะจีฮูหยินด้วยแววตาหวาดกลัว

“ขะ…ขอบคุณมากจีฮูหยิน”

“ไม่เป็นไร เลือดเนื้อเจ้าจะเป็นอาหารให้ลูกข้าได้เจ็ดวัน เจ็ดวันหลังจากนี้หากยังไม่มอบผลึกเชมันมาละก็…” จีฮูหยินที่สวมงอบหัวเราะเสียงแหลม

โดยรอบเงียบสงัด มีเพียงเสียงหัวเราะของนางดังกังวาน

“ตอนนี้ขาเจ้าหายดีแล้ว นำทางไป” จีฮูหยินหัวเราะจบก็กล่าวเสียงแหลม

“จีฮูหยิน พักผ่อนก่อนดีหรือไม่ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อย…” จ้าวเชมันเผ่ากระเรียนดำรีบกล่าว เขามีบางเรื่องต้องคุยกับชายร่างกำยำอย่างละเอียด

“ไม่ต้อง แค่สังหารสองคนเท่านั้นเอง กลับมาแล้วค่อยพักก็ยังไม่สาย”

จีฮูหยินสะบัดชายแขนเสื้อ ตัวนางบินขึ้นไปในพริบตา มือขวาชี้ไปทางจ้าวเผ่ากระเรียนดำบนพื้น ขาขวาพาเขาลอยขึ้นโดยไร้การควบคุม เขาทันแค่หันไปมองจ้าวเชมันด้วยความหมายลึกซึ้งแวบเดียว ก็กลายเป็นสายรุ้งยาวตามจีฮูหยินไปติดๆ ก่อนทั้งสองคนจะหายลับไปจากเส้นขอบฟ้าในชั่วพริบตา

จนกระทั่งจีฮูหยินจากไป จ้าวเชมันเผ่ากระเรียนดำถึงมีสีหน้าทะมึนทึบ เขาหมุนตัวไปกวาดสายตามองชาวเผ่าโดยรอบ

“บอกข้ามา ระยะนี้มันเกิดอะไรขึ้น!”

หลังจากชาวเผ่าแต่ละคนกล่าวเสียงเบา เล่าเรื่องให้จ้าวเชมันฟัง ชายชราก็เริ่มหน้าเปลี่ยนสีช้าๆ โดยเฉพาะตอนได้ยินว่ามีสัตว์เก้าเศียรยักษ์กับปรากฏการณ์ฟ้าดินพิลึกเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก

“เรื่องนี้…เรื่องนี้…” เขาก้าวเท้าเดินหน้า คิดจะตามชายร่างกำยำไป แต่กลับหยุดชะงักแล้วเงียบขรึมอยู่ตรงนั้น

ในความคิดเขาผุดภาพสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งก่อนจ้าวเผ่ากระเรียนดำจะไป

บนท้องฟ้า จีฮูหยินบินด้วยความเร็วสูง ขณะห้อเหยียดใต้เท้านางปรากฏสีสันแพรวพราว ดูเด่นตาอย่างยิ่งบนท้องฟ้า หมอกหลากสีนั้นแผ่กลิ่นหอมอ่อนๆ

เมื่อจ้าวเผ่ากระเรียนดำได้กลิ่นก็มีสีหน้าเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย เขาพลันกัดปลายลิ้นเพื่อเรียกสติกลับมา ในความคิดผุดข่าวลือเกี่ยวกับจีฮูหยิน จึงอดรู้สึกยำเกรงมากขึ้นมิได้

“แม้บนท้องฟ้าจะมีลมพายุรุนแรง ทำให้กลิ่นอายพลังจากหมอกหลากสีของข้ากระจายจนมีไม่เยอะ ทว่าพอได้กลิ่นแล้วกลับได้สติเร็วเช่นนี้ ดูท่าจิตใจเจ้าคงแน่วแน่น่าดู” เสียงแหลมของจีฮูหยินดังแว่วมาจากในหมอกหลากสี แม้เสียงไม่แหลมมากนัก กลับแฝงไว้ด้วยพลังที่สั่นสะเทือนจิตใจคน เมื่อเข้าถึงหูชายร่างกำยำ ทำให้แววตาเขาเคลิบเคลิ้มอีกครั้ง

แทบจะทันใดนั้น ชายร่างกำยำถูกพลังดึงเข้ามาอยู่ในหมอกหลากสี

“จีฮูหยิน…วะ…ไว้ชีวิตด้วย…” ชายร่างกำยำตัวสั่น กัดฟันแน่นพลางส่งเสียงสั่นลอดไรฟัน เขาเห็นเพียงหมอกหลากสีตรงหน้า ไม่เห็นสิ่งอื่นใด ทว่าเขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีมืออ่อนนุ่มกำลังลูบหลังเขา ราวกับใช้นิ้ววาดเป็นวงกลมหลายวงบนหลัง ความรู้สึกชาวาบหลั่งทะลักไปทั้งตัว ทำให้ใบหน้าเขาพลันแดงขึ้น หายใจกระชั้นถี่

“เจ้ามีจิตใจแข็งแกร่งมาก เดิมทีข้าชอบเจ้าแบบนี้ ข้าขอลิ้มลองความหวานของเจ้าสักหน่อย…” ชายร่างกำยำตัวสั่น เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีลมร้อนพัดมาข้างหูขวา จากนั้นเหมือนมีลิ้นอ่อนนุ่มกำลังตวัดในใบหูเขาเบาๆ

มีเสียงอื้ออึงดังในความคิดชายร่างกำยำ พรวดเดียวก็คล้ายลืมสิ้นทุกอย่าง ในตัวเหลือเพียงอารมณ์ชั่ววูบดั้งเดิม เขาตาแดงก่ำ ลมหายใจถี่มากขึ้น สูดหมอกหลากสีจำนวนมากเข้าไป

เสียงหัวเราะคิกๆ ดังก้องอยู่ในหมอก บนท้องฟ้า ขณะหมอกหลากสีกำลังห้อเหยียด ภายในนั้นหมุนตลบ มีสายลมพัดกระจายกลิ่นหอมอ่อนๆ มากขึ้น จุดที่กลิ่นหอมพัดผ่าน สัตว์ปีกบริเวณนั้นจะบ้าคลั่งและเกิดอาการกระสับกระส่าย

“ฮู…ฮูหยิน…ถะ…ถึงแล้ว!” ชายร่างกำยำตัวสั่น ช่วงที่จิตสำนึกจะสั่งให้เขาสูดหมอกทั้งหมดไป เขาพลันกัดปลายลิ้น ความเจ็บปวดระดับที่ลิ้นเหมือนจะขาดทำให้เขาได้สติกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังตื่นกลัวอย่างยิ่ง ยากจะเอ่ยประโยคนี้ไป

“น่าเบื่อ ช่างเถอะ จัดการเสร็จเมื่อไรค่อยมาลิ้มลองเจ้าต่อ” เสียงเกียจคร้านไม่แหลมสูงดังแว่วมาจากในหมอกนั้น ก่อนจีฮูหยินจะเดินออกมาจากด้านใน

นางยังคงสวมเสื้อยาวสีแดงตัวใหญ่ ตะขาบพร่างพราวบนเสื้อแน่นขนัด สวมงอบปกปิดใบหน้า ทำให้คนนอกยากจะมองเห็นชัด หลังจากเดินออกมาแล้ว จีฮูหยินก็ยกมือขวา สะบัดหมอกหลากสีด้านหลัง ชายร่างกำยำพลันบินออกมาจากในนั้น ทั้งตัวเขาเป็นสีแดงเรื่อ แววตาปานจะพ่นเพลิงได้ สีหน้าขาดสติ เปล่งเสียงคำรามต่ำ

หลังจากจีฮูหยินกดนิ้วยาวตรงระหว่างคิ้วเขาแล้ว จ้าวเผ่ากระเรียนดำพลันตัวสั่นก่อนหมดสติไป ตัวดิ่งลงสู่พื้น ทว่ากลับมีเส้นหมอกหลากสีเข้ามาโอบล้อมเอาไว้ ทำให้ชะลอความเร็วลง เพียงแต่หลังจากหมอกเส้นนั้นโอบล้อมเขาแล้วก็กลายเป็นร่างสตรีมายาผู้หนึ่ง มุดเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด ทำให้เขาหลับตาแผดเสียงร้องคำรามประดุจสัตว์ป่าทันใด

จีฮูหยินอยู่บนท้องฟ้า หายใจกระชั้นเล็กน้อย ราวกับว่าได้รับผลจากเสียงคำรามของชายร่างกำยำเผ่ากระเรียนดำ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้งอบเลียริมฝีปากหอมหวาน นางวูบไหวตัวตรงเข้าไปยังเทือกเขาไกลๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เทือกเขานี้เป็นถิ่นถ้ำอาศัยของซูหมิง

ขณะจีฮูหยินห้อเหยียดไป ปรากฏหมอกหลากสีใต้เท้านางอีกครั้ง และแผ่ขยายออกโดยรอบ ดูแล้วเหมือนเกือบครึ่งท้องฟ้าถูกหมอกหลากสีปกคลุม ณ ถ้ำเหนือเทือกเขา วานรเพลิงนอนหลับอยู่บนหินก้อนใหญ่ หลับตาพักผ่อน บ้างก็ใช้เล็บเกาตามตัว ทันใดนั้นมันลืมตาขึ้น มองหมอกหลากสีที่ตรงเข้ามา ทำจมูกฟึดฟัดราวกับได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ก่อนจะแยกเขี้ยว

ภายในถ้ำ หนอนงูไม้พลองที่ซูหมิงปล่อยออกมาข้างนอกกำลังปีนอยู่ในหนึ่งรูเล็กๆ จำนวนมากด้านบนถ้ำ ยามนี้มันเคลื่อนไหว แววตาเย็นชา

ด้านล่างมันเป็นซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถงใหญ่กลางถ้ำ มือขวาถือผลึกผู้สืบทอดหมานวายุ มือซ้ายกดอากาศไว้ด้านบน เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้น

ก่อนหน้าวานรเพลิงกับหนอนงู เขาก็สังเกตเห็นหมอกหลากสีกำลังตรงเข้ามาจากบนท้องฟ้าแล้ว

แทบจะเป็นวินาทีที่ซูหมิงเงยหน้า จิตสัมผัสแผ่ขยาย ตอนที่หนอนงูพิลึกแววตาเย็นชา วารเพลิงแยกเขี้ยว ทันใดนั้น มีเสียงดังมาจากปากจีฮูหยินในหมอกบนอบอวลท้องฟ้า…มันเป็นเสียงครวญครางสั่นสะเทือนจิตใจ

เสียงนี้กะทันหันยิ่งนัก ดุจเป็นของผู้ดูดวิญญาณ ทั้งยังเด่นชัดไร้ที่เปรียบ เสียงก้องโดยรอบ ดังไปในเทือกเขา ลอยมาถึงในถ้ำของซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!