Skip to content

สู่วิถีอสุรา 39

ตอนที่ 39 เจตนาร้าย

ซูหมิงใช้เวลาหมดไปกับการหลอมสมุนไพรและการฝึกฝนอยู่หลายวัน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เสี่ยวหงจะกลับมาด้วยอาการอ่อนเพลียในขณะที่ซูหมิงกำลังนั่งบำเพ็ญเพียร บางครั้งก็กลับมาด้วยขนที่เปื้อนสีเทาไปทั้งตัว

แม้จะกล่าวว่ามันอ่อนเพลีย ทว่าสีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความภูมิใจและขบคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ดมมือขวาของตนไม่หยุด บ้างก็แยกเขี้ยวหัวเราะซื่อๆ

ยามที่เสี่ยวหงกลับมา ซูหมิงแอบลืมตาเล็กน้อย มองมันแวบหนึ่ง อดนึกถึงภาพที่เขาเห็นเมื่อหลายวันก่อนมิได้ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติทันที

เสี่ยวหงสังเกตเห็นสายตาของซูหมิง จึงหมุนตัวมามองเขา ก่อนวิ่งเข้ามาแล้วยื่นมือขวาให้เขาดม สีหน้าของมันดูภูมิใจยิ่งนัก ราวกับเจ้าสิ่งนั้นเป็นของชั้นเลิศ ควรแบ่งให้ซูหมิงบ้างถึงจะถูก

ซูหมิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาพยามไม่สนใจเสี่ยวหง และเข้าไปอยู่ในห้วงของการฝึกฝนต่อ

รวมเวลาเมื่อหลายวันก่อนแล้ว หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว สัญญาระหว่างเขากับท่านปู่ที่จะเดินทางไปเผ่าร่องลมก็ใกล้ถึงกำหนดเข้าไปทุกที

ในช่วงที่ผ่านมา ซูหมิงใช้ใบตาข่ายเมฆาจนหมดสิ้น ทว่ากลับหลอมโอสถวิญญาณผามาได้เพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้น อัตราการล้มเหลวของโอสถชนิดนี้กลายเป็นสิ่งที่ซูหมิงค่อนข้างกังวลใจ

นอกจากโอสถวิญญาณผาแล้ว ในเรื่องการฝึกฝนยังนับว่าราบรื่น เขาทำให้ลำดับสี่ขั้นรวมโลหิตเสถียรภาพ และมีเส้นเลือดเพิ่มมาอีกสองเส้น รวมเป็นสี่สิบเก้าเส้น เขาเริ่มยอมรับแล้ววิชาหมานเพลิงนี้ช่างสุดยอดจริงๆ

เพียงแต่ยิ่งเดินหน้า การรวมโลหิตยิ่งยากขึ้น หลายวันก่อนหน้านี้ ไม่ว่าซูหมิงจะพยามอย่างไรก็ไม่มีทางรวมเส้นเลือดเพิ่มขึ้นได้เลย เขาเข้าใจดีว่ามันเกี่ยวกับการที่ตนยังทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สามไม่สำเร็จ

นอกจากนี้แล้ว ในยามดวงจันทร์ปรากฏ ซูหมิงยังลองควบคุมแสงจันทร์ตามความรู้สึกอยู่หลายครั้ง ทว่าผลลัพธ์ไม่ชัดเจนนัก ราวกับว่าเขาควบคุมมันได้เพียงเส้นเดียวเท่านั้น

แต่ถึงกระนั้นแสงจันทร์เส้นเดียว เมื่ออยู่ในมือซูหมิงกลับแหลมคมจนยากจะเชื่อถือ น่าสะพรึงยิ่งกว่าเขากระดูกเสียอีก และที่สำคัญที่สุดคือแสงจันทร์นี้เสี่ยวหงมองไม่เห็น จากการวิเคราะห์แล้ว ซูหมิงค่อนข้างมั่นใจว่าคนอื่นก็มองไม่เห็นเช่นเดียวกัน

ยามรุ่งอรุณวันใหม่ ซูหมิงยันกายขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ มองไปรอบๆ ถ้ำภูเขาไฟพลางขบคิด ก่อนเดินไปเปิดฝาหม้อฮวง เขาไม่ทราบว่าการเดินทางไปเผ่าร่องลมในครั้งนี้จำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

บนผนังหินถ้ำภูเขาไฟ มีรอยร้าวเล็กๆ อยู่จำนวนมาก เรียงรายกันแน่นขนัด นั่นคือสิ่งที่ซูหมิงสร้างขึ้นจากการลองควบคุมแสงจันทร์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

หลังจากจัดเก็บถ้ำจนเป็นระเบียบแล้ว ซูหมิงก็เดินมาตรงปากถ้ำ เสี่ยวหงที่ตื่นนอนก่อนหน้านี้ พอเห็นซูหมิงเดินไปตรงปากถ้ำ มันก็รีบตามหลังไปทันที ก่อนกระโดดขึ้นมาบนบ่าของซูหมิง เพราะขี้เกียจลงเขาด้วยตัวเอง

“น่าเสียดาย โอสถวิญญาณผาหลอมยากเกินไป…บนประตูบานที่สอง ใต้ภาพวาดโอสถวิญญาณผามีถึงแปดหลุม ต้องหลอมให้ได้แปดเม็ด…..ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหลอมได้แปดเม็ดโดยที่ยังพอสำหรับการฝึกฝนด้วย….”

“มิหนำซ้ำเงื่อนไขการเปิดประตูบานที่สองจำเป็นต้องหลอมโอสถแดนใต้อีก…วัตถุดิบในการหลอมโอสถชนิดนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย ดีที่ท่านปู่ให้แผ่นภาพสมุนไพรมา ในนั้นมีเขียนแนะนำเอาไว้บ้าง” ซูหมิงยืนอยู่หน้าถ้ำภูเขาไฟ มองแสงแรกของตะวันที่อยู่ห่างไกล สูดอากาศหนาวเย็นสบาย กล่าวพึมพำกับตนเอง

“ต้องมีเม็ดโอสถสองชนิดนี้เท่านั้นถึงจะเปิดประตูบานที่สองได้…ส่วนชนิดสุดท้ายอย่างเม็ดโอสถมอบจิตเหมือนว่าจะไม่ต้องหลอมก็ได้ แต่ยิ่งเป็นอย่างนั้น ก็ยิ่งบ่งบอกถึงความล้ำค่าของมัน!” ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด เหมือนว่าเสี่ยวหงที่อยู่นั่งบนบ่าเริ่มไม่พอใจ มันจับผมของซูหมิง พร้อมกับส่งเสียงร้องไม่หยุด

ซูหมิงตบไปที่ศีรษะเจ้าลิงน้อยหนึ่งครั้ง ก่อนกระโดดลงจากยอดเขา ลมพายุหิมะส่งเสียงหวีดร้อง เส้นผมและชายเสื้อปลิวไสว นี่ยิ่งทำให้เสี่ยวหงจับผมเขาเอาไว้แน่น แผดเสียงร้องต่อเนื่อง

ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง พลันใช้มือขวาจับไปที่หินด้านข้าง เมื่อทรงตัวได้แล้ว จึงดิ่งลงไปอีกครั้ง ด้วยขั้นพลังของเขาในยามนี้ ห้อเหยียดไม่นานก็ลงจากยอดเขาเพลิงทมิฬได้

ในป่าทึบยังคงมีเกล็ดหิมะโปรยปราย เหยียบบนพื้นให้ความรู้สึกนุ่มสบาย

ร่างซูหมิงสั่นไหวพร้อมกับพุ่งทะยานไปไกล เดิมทีเขาคิดจะกลับเผ่าเขาทมิฬในทันที ทว่าระหว่างทางกลับเจอทางแยก ฝีเท้าพลันชะงัก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

เสี่ยวหงยังคงนั่งอยู่บนบ่าของซูหมิง ดูท่าทางแล้วน่าจะสบายน่าดู มันดมมือขวาไม่หยุดพลางทำหน้ามึนเมา ยามนี้เห็นซูหมิงชะงักฝีเท้า จึงเกิดความแปลกใจเล็กน้อย

ทางขวาเป็นทางกลับสู่เผ่าของตน ส่วนทางซ้าย…เป็นทางเชื่อมไปยังเผ่ามังกรทมิฬ

“ไปดูหน่อยแล้วกัน…เสี่ยวหง เจ้าเคยเจอไป๋หลิงหรือไม่? อ้อ ใช่สิ เจ้าไม่เคย ให้ข้าพาเจ้าไปหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา

เสี่ยวหงเบิกตากว้าง เกาขนตรงใบหน้า ไม่ได้ส่งเสียงอะไร

“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากเห็นนาง ข้าจะพาเจ้าไปแอบมองอยู่ไกลๆ”

ซูหมิงพยามหาเหตุผลให้ตนเองเดินทางไปยังเผ่ามังกรทมิฬ เขาหัวเราะพลางตบศีรษะเสี่ยวหง ในขณะที่เสี่ยวหงเผยสีหน้าไม่พอใจ เขาก็พุ่งทะยานไปทางด้านซ้ายแล้ว

ยามโพล้เพล้ ดวงตะวันส่องแสงสีแดงอยู่ไกลห่าง ปรารถนาลาจะลับขอบฟ้า

ซูหมิงมาถึงจุดที่แยกกับไป๋หลิงในตอนนั้น เขานั่งย่อตัวลงเห็นเผ่ามังกรทมิฬรางๆ ผู้คนในเผ่ากำลังเดินขวักไขว่ เพียงแต่ไม่เห็นเงาของไป๋หลิง

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงยังคงนิ่งเงียบ เขาเองก็ไม่ทราบว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกเพียงว่าไป๋หลิงช่างงดงามนัก ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเห็นเด็กสาวคนไหนงามเช่นนี้มาก่อน งามจนเขาอยากจะมองหลายๆ ครั้ง

ลังเลอยู่พักหนึ่ง ซูหมิงจึงนั่งลงอย่างเงียบเชียบ ไม่มีการผลีผลามใดๆ เขานั่งมองท้องฟ้า ยามตะวันลาลับใกล้พลบค่ำ แววตาของเขาเป็นประกาย ก่อนยันตัวขึ้นแล้วเดินไปเบื้องหน้าหลายก้าวด้วยความฉับไว ทว่าก็ยังคงระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เขาเดินเข้าใกล้เผ่ามังกรทมิฬไปเรื่อยๆ แต่ถึงกระนั้นก็เข้าใกล้ไม่ได้มาก ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่เผ่าเขาทมิฬ หากถูกจับได้คงไม่ปลอดภัยแน่

แม้จะบอกว่าเผ่าเขาทมิฬกับเผ่ามังกรทมิฬไม่ได้มีความแค้นเฉกเช่นเผ่าภูผาดำ ทว่าก็ไม่ได้สงบศึกกัน ขนาดพบกันในป่ายังมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร คงไม่ต้องกล่าวถึงซูหมิงที่เดินไปมาอยู่รอบๆ เผ่ามังกรทมิฬเช่นนี้

“เฮ้อ ไม่ควรทำเช่นนี้” ซูหมิงกล่าวพึมพำ เดินไปมาอย่างเงียบๆ จนห่างจากเผ่ามังกรทมิฬหนึ่งพันจั้ง เขาจึงหยุดฝีเท้า สำหรับซูหมิงที่เติบโตมาในชนเผ่าตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งยังไปเก็บสมุนไพรเพียงลำพัง กระทั่งประจันหน้ากับคนจากเผ่าภูผาดำหลายต่อหลายครั้ง ความตื่นตัวและปฏิภาณไหวพริบเติบโตคู่กับตัวเขาจนกลายเป็นสัญชาตญาณ

เขาเคยได้กลิ่นคาวเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ส่วนใหญ่จะมาจากสัตว์ป่าที่กลุ่มล่าสัตว์จับมาได้ก็ตามที ทว่าสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง มันได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจตามกาลเวลาโดยไม่รู้ตัว หนำซ้ำเขายังเคยสังหารมนุษย์!

ในจุดนี้แม้แต่เหลยเฉินก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์

ฉะนั้น แม้ว่าสัตว์ร้ายในใจของเขาบอกว่าอยากพบไป๋หลิงมากแค่ไหนก็ตาม ทว่าสัญชาตญาณใต้จิตสำนึกของเขา ยังคงบอกให้รอจนมืดค่ำอยู่นอกระยะหนึ่งพันจั้งด้วยความตื่นตัวตลอดเวลา

ซูหมิงนั่งย่อตัวมองเผ่ามังกรทมิฬพักหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ก่อนหมุนตัวกลับและออกห่างจากเผ่ามังกรทมิฬอย่างไม่ลังเล ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซูหมิงพลันขนลุกไปทั้งตัว ความรู้สึกอันตรายที่แข็งแกร่งกว่านักรบหมานสองคนจากเผ่าภูผาดำก่อนหน้านี้แผ่ขยายเข้ามา

ซูหมิงกระโดดขึ้น พลันบิดตัวโดยสัญชาตญาณ แขนท้องสองข้างกอดหัวเข่าหดตัวกลม กอดเสี่ยวหงไว้ในอ้อมอก คลับคล้ายลอยเคว้งอยู่กลางอากาศชั่วขณะ

ในช่วงนั้นเอง มีเสียงหวีดร้องแหลมดังสนั่น พบว่าเป็นหอกยาวราวสามจั้งพุ่งตรงมาจากบนกำแพงไม้ซุงใหญ่ยักษ์ของเผ่ามังกรทมิฬราวกับสายฟ้าแลบ ก่อนมาปักอยู่ตรงจุดที่ซูหมิงเพิ่งกระโดดลอยตัว เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับแผ่นดินสะเทือน เกล็ดหิมะระเบิดกระจาย

คลื่นลมแผ่ขยายไปรอบแปดทิศ โชคดีที่ความตื่นตัวของซูหมิงทำให้เขาหลบมันได้ทัน ร่างของเขาสั่นไหวยามม้วนตัวท่ามกลางคลื่นลม เมื่อฝีเท้ากระทบพื้นจึงห้อทะยานหนีไปอย่างสุดกำลัง

“คิดหนี?” เสียงหึลอยเข้ามา พบว่าเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ไว้ผมยาวประบ่า แววตาดุดัน กำลังก้าวตามเข้ามา

ซูหมิงหันกลับไปมอง นัยน์ตาฉายแววเย็นเยือก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!