ตอนที่ 392 ข้าชอบสีแดง
“ท่านปู่!” ชาวเผ่าข้างกายชายชรากล่าวด้วยความร้อนรน
“หุบปากให้หมด เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว!” เสียงชายชราเบาลงมาก ขณะตึงเครียดก็เลียริมฝีปากพลางจ้องซูหมิงเขม็ง
เขาหวังว่าหลังจากสังเวยสตรีสามคนไปแล้วจะเติมเต็มอีกฝ่ายในสภาพนี้ได้ และความน่าสะพรึงที่ทำให้เขาใจสั่นนั้นจะหายไป หากทำสำเร็จ เขาคิดว่าการเสียสละของสตรีสามคนนั้นมันคุ้มค่า!
สตรีสามคนนั้นอายุยังไม่เยอะ ท่าทางราวยี่สิบกว่าๆ รูปร่างหน้าตาแม้ไม่ได้งดงามเป็นพิเศษ ทว่าก็พอใช้ได้ โดยเฉพาะเมื่อยามนี้พวกนางสามคนมีใบหน้าแดงขวยเขิน แววตาลุ่มหลง มีท่าทางสมยอมกาย นั่นก็มากพอทำให้คนต้องตะลึงแล้ว
ทว่าช่วงที่พวกนางสามคนเข้าใกล้ซูหมิง ซูหมิงพลันยกมือขวาตบหน้าอกอย่างแรง ก่อนกระอักโลหิตออกมา
“ออกไป!” ซูหมิงตาแดงก่ำ ใช้การกระอักเลือดมาทำให้สายตาเขาชัดเจนขึ้นเล็กน้อย ขณะตะโกนก็มองพื้น มองหน้าชายชรา ก่อนฝืนหมุนตัวแล้วกลายเป็นสายรุ้งห้อเหยียดหายไปในชั่วพริบตา
จนกระทั่งซูหมิงจากไป สตรีสามคนนั้นล้วนตัวสั่นเทา มีสีหน้าได้สติกลับมา สตรีคนอื่นๆ ในเผ่าบนพื้นก็พากันได้สติกลับมาเช่นกัน ใบหน้าแต่ละคนซีดขาว เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้พวกนางตื่นกลัวยิ่ง
ชายชราปากแหลมแก้มลิงขบคิดชั่วครู่ มองไปทางที่ซูหมิงจากไปไกลอยู่นานโดยไม่กล่าวอะไร
ซูหมิงห้อเหยียดตลอดทาง ความชัดเจนในแววตาอ่อนลงเรื่อยๆ เมื่อครู่นี้หากเขาไม่สู้อย่างสุดชีวิต หากยอมมีสัมพันธ์กับสตรีสามคนนั้นตามความต้องการดั้งเดิม สิ่งที่รอเขาอยู่คือความทรมานชั่วนิรันดร์
“ความปรารถนา…ข้าจะต้องเอาชนะมัน!” ซูหมิงไม่ไปที่อื่นอีก แต่มุ่งหน้ามายังถ้ำเทือกเขาของเขา ไม่นานก็กลับมาถึงอีกครั้ง สติในแววตาเหลือเพียงเสี้ยวเดียว อีกครู่ก็จะหายไปสิ้น กระทั่งอาจไปไม่ถึงถ้ำด้วยซ้ำ
ซูหมิงพลันยกมือขวาขึ้นชี้ระฆังเขาหาน ระฆังลอยมาหาเขาในทันใด เมื่อขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศแล้ว ศพจีอวิ๋นไห่ก็หล่นลงพื้น เมื่อจีฮูหยินตายไป หุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่จึงเสียการควบคุม ยามนี้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ช่วงที่สติในแววตาซูหมิงหายไปหมด ระฆังเขาหานส่งเสียงอื้ออึง ปิดครอบตัวเขาเอาไว้บนพื้น เสียงระฆังเขาหานดังก้องกังวานมาจากภายใน ทั้งยังมีเสียงคำรามของซูหมิงอยู่ด้วย
เวลาผ่านไปไม่นานก็ถึงยามรุ่งสาง เมื่อระฆังเขาหานปกคลุมกักตัวเอาไว้ ซูหมิงไม่คลุ้มคลั่งในระฆังอีก แต่นั่งฌานขณะตัวสั่นอย่างรุนแรง การควบคุมความปรารถนาพูดเหมือนง่าย ทว่าเมื่อความปรารถนาถูกมารดอกท้อกระตุ้นให้ขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่าหรือกระทั่งหลายร้อยเท่าแล้ว การควบคุมมันแทบจะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
เวลาผ่านไปสามวันในพริบตา ในสามวันนี้รอบตัวซูหมิงไม่มีเงามาเลย ไม่ว่าจะเป็นเผ่าโคขาวหรือกระเรียนดำล้วนไม่ปรากฏตัว กระทั่งคนผ่านทางยังไม่มี
สามวันนี้สำหรับซูหมิงแล้วเหมือนกับสามปี กระทั่งกล่าวได้ว่าเหมือนสามสิบปี ขณะกำลังดิ้นรน เขาไม่ยอมให้ความปรารถนาเข้าครอบงำ ต่อให้ขาดสติเป็นบางครั้ง แต่เพราะผนึกของระฆังเขาหานจึงออกไปไม่ได้ ตอนที่ได้สติกลับมาเขาก็จะระงับความปรารถนาอย่างสุดกำลัง
สามวันนี้ซูหมิงผอมลงไปหนึ่งรอบใหญ่ๆ เสื้อผ้าขาดวิ่น เส้นผมสีแดงฉาน สีหน้าดุร้าย ขณะเดียวกันความคิดเขาว้าวุ่นมาตลอดสามวัน ท่ามกลางความบ้าคลั่งในตัณหา มีกำแพงไร้รูปปรากฏ กำแพงนี้ปานผนึก ซูหมิงไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีมันอยู่ ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังไม่รู้
หากไม่ใช่เพราะความปรารถนาดั้งเดิมถูกขยายเพิ่มขึ้นร้อยเท่า บวกกับอยู่ในสภาพบ้าคลั่งและมีอารมณ์ชั่ววูบนี้ บางทีผนึกดังกล่าวอาจไม่ปรากฏออกมาเลย ความปรารถนาจู่โจมความคิดซูหมิงดุจมหาสมุทร ขณะเดียวกันมันก็เชื่อมต่อจนไปโจมตีใส่กำแพงผนึกนั้น!
ยามรุ่งอรุณหลังจากสามวันนั้น ขณะซูหมิงกำลังร้องคำราม ในความคิดพลันมีเสียงดังกึกๆ ราวกับว่ากำแพงไร้รูป หรือผนึกที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ถูกความปรารถนาจู่โจมจนเกิดรอยร้าว
เวลาเดียวกันก็มีเสียงโครมดังในความคิด เขาดิ้นรนมาสามวัน ยามนี้กลับขาดสติอีกครั้งแต่ยังไม่หมดสติ เพียงใช้สองมือจับดินใต้ระฆังเขาหาน เงยหน้าเปล่งเสียงตะโกน ต่อให้อยู่ในระฆังเขาหานเสียงก็ยังดังแว่วออกไปข้างนอก
ภายใต้เสียงตะโกน มีพลังน่าสะพรึงไร้รูปปะทุมาจากในร่างกายเขา ความรุนแรงของพลังนี้ เพียงปะทุขึ้นก็ระเบิดระฆังเขาหานจนลอยขึ้นฟ้า
พร้อมกันนั้นซูหมิงพลันบินขึ้น เสียงอึกทึกดังก้องกังวาน แผ่นดินระเบิดออก
ซูหมิงมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ เขาหายใจกระชั้นถี่ แววตาขาดสติเป็นสีแดงก่ำ ตราดอกท้อตรงระหว่างคิ้วเบ่งบานอย่างน่าอัศจรรย์ ใบหน้าซีดขาว ทว่าสองริมฝีปากกลับเป็นสีม่วง เมื่อเสริมกับเส้นผมสีแดงเพลิง ทำให้ทั้งตัวเขาดูไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี
ภายในดวงตาสองข้างไม่มีลูกตาดำ แต่กลายเป็นสีแดงทั้งหมด
ยามนี้เขายืนกลางอากาศอยู่พักใหญ่จนหยุดร้องตะโกน ราวกับว่าสงบนิ่งลงแล้ว ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาจึงค่อยๆ หันศีรษะ ริมฝีปากม่วงพลันฉีกยิ้มแปลกๆ แล้วก้มหน้ากวาดสายตามองแผ่นดิน
ทันใดนั้นแผ่นดินสั่นสะเทือน ประหนึ่งว่าแววตาซูหมิงแฝงไว้ด้วยพลัง แม้แต่แผ่นดินยังรับไม่ไหว ทั้งยังมีบางจุดระเบิดขึ้น ปรากฏเป็นรอยแยกหลายจุด
ตอนที่เขากวาดสายตาเจอหนอนงู มันตัวสั่นเทาและหดตัวอยู่ในดิน ไม่กล้าสบตาซูหมิง ไหวพริบบอกมันว่าห้ามเข้าใกล้ซูหมิงในตอนนี้เด็ดขาด หนอนงูตัวสั่นสะท้าน
ยามนี้สายตาซูหมิงดูน่ากลัวสุดขีด และยังมีกระบี่เล็กบนพื้นที่ยามนี้กำลังสั่นไหว
ช่วงที่ซูหมิงหยุดมองหนอนงู นัยน์ตาเขาขยับประกายสีแดงก่อนมองผ่านตัวมันและละสายตากลับ เขายกมือขวาขึ้นทันใด เล็บห้านิ้วมือพลันยาวขึ้นสามชุ่น อีกทั้งคมกริบไร้ที่เปรียบ ตรงปลายเปล่งแสงสีดำ ขณะเดียวกันนั้น เขาก็คว้าอากาศไปทางแผ่นดิน
แหวนสีแดงในกองเศษเนื้อบินขึ้นมา กลายเป็นสายรุ้งยาวตรงเข้ามาอยู่ในมือซูหมิง เมื่อสวมลงในนิ้วกลางแล้ว เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองระฆังเขาหานที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ซูหมิงแค่นเสียงหึ ก่อนชี้ระฆังเขาหาน มันส่งเสียงระฆังอย่างรุนแรง ด้านบนปรากฏเงาจิ่วอิงยักษ์บนท้องฟ้า หัวที่ตื่นอยู่ทั้งหกยามนี้ไม่มีเงาของซูหมิง แต่กลายเป็นสีแดงฉาน และคำรามใส่ซูหมิงอย่างดุร้าย
ส่วนหัวทั้งสามที่หลับตาอยู่ ยามนี้กลับสั่นเทาอย่างต่อเนื่องเหมือนกับหนอนงู ไม่กล้าเผชิญหน้ากับซูหมิง
เมื่อจิ่วอิงคำรามใส่ ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว เมื่อเหยียบลงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างระฆังเขาหานโดยไม่สนใจจิ่วอิงแม้แต่น้อย ก่อนยกมือขวาขึ้นกดบนตัวระฆัง
ทันใดนั้น จิ่วอิงพลันร้องโหยหวน หัวทั้งสามที่หลับตาอยู่พลันลืมตาพร้อมกัน ดวงตาเป็นสีแดงฉาน ทั้งเก้าหัวร้องคำรามพร้อมกัน
เมื่อซูหมิงยกมือขวาขึ้น ระฆังเขาหานพลันย่อขนาดลง รวมถึงจิ่วอิงก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน เขาอ้าปากแล้วกลืนระฆังเขาไป จากนั้นยกมือขวาคว้าอากาศ ทั้งท้องฟ้าพลันบิดเบี้ยวเหมือนถูกซูหมิงดูดเข้ามา แล้วสะบัดออกไปโดยรอบ
ทันใดนั้นปรากฏม่านแสงใต้ซูหมิง มันปกคลุมในระยะหนึ่งหมื่นจั้ง รวมถึงหุ่นเชิด หนอนงู และยังมีเทือกเขา ปานผนึกเอาไว้ทั้งหมด
ซูหมิงยืนอยู่นอกม่านแสง เงยหน้ามองท้องฟ้า หลังจากขบคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพลันร้องตะโกน เสียงตะโกนของเขาไม่ดังมากนัก ทว่ากลับทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แม้แต่ดวงจันทร์บนท้องฟ้า ยามนี้ก็ราวกับจะถล่มทลาย ระลอกคลื่นรุนแรงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เสียงระเบิดดังกังวานทั้งผืนนภา ท้องฟ้ามืดทึบปรากฏน้ำวนยักษ์ น้ำวนนั้นหมุนโคจร ส่งเสียงตะโกนของซูหมิงให้ไกลออกไป
“ข้าชอบ…สีแดง” ซูหมิงพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง ปรากฏเสื้อคลุมแดงขึ้นบนตัวเขา เสริมกับเส้นผมสีแดง ทำให้เขาในตอนนี้ดูประหลาดยิ่งนัก
วินาทีที่รูปลักษณ์ซูหมิงเปลี่ยนไปและร้องคำรามนั้น
ณ แผ่นดินเผ่าเชมัน กลางยอดเขาที่ถูกทะเลหมอกโอบล้อม ยอดเขานี้มีวิหารใหญ่อยู่หนึ่งหลัง ภายในวิหารมีชายชราผมขาวนั่งอยู่คนหนึ่ง เขานั่งอยู่ในนั้นเพียงลำพัง ตรงหน้ามีกะโหลกศีรษะเก้าชิ้นวางล้อมเอาไว้ ทุกกะโหลกศีรษะล้วนมีแสงสีเขียวลุกโชติช่วง
ชายชรามีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ยามนี้กลับลืมตาขึ้น หน้าเปลี่ยนสี ทั้งยังลุกพรวดขึ้นมา เปลวเพลิงบนกะโหลกศีรษะเก้าพลันมอดดับ
“พลังนี้…เป็นใคร!” เขายกมือขึ้นทำสัญลักษณ์มือ ทว่าเพิ่งเริ่มพิธีได้เพียงครึ่งเดียวก็กลับกระอักเลือด
ณ แผ่นดินเผ่าเชมันเช่นกัน ยามนี้หลายจุดเริ่มมีคนทยอยกันออกมา สีหน้าตื่นตะลึง คนเหล่านี้มีทั้งเผ่าเซียนและเผ่าเชมัน!
เผ่าทะเลใบไม้ร่วง จงเจ๋อกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังเต่ายักษ์ ชนเผ่ากำลังเคลื่อนตัวใกล้จะถึงที่หมายแล้ว เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ปล่อยเส้นผมยาวสยาย ทว่ายามนี้กลับลืมตาขึ้นทั้งสีหน้าตื่นตะลึง
“พลังเสียงคำรามนี้…..” นัยน์ตาเขาวูบไหว ก่อนจะยืนขึ้นมองท้องฟ้าไกลออกไป หวั่นชิวที่อยู่ข้างกายเห็นจงเจ๋อหน้าเปลี่ยนสีจึงมองตามไป
“เผ่าเชมันปรากฏผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าระดับสูงสุด! เสียงคำรามของเขาเมื่อครู่นี้…ระดับความแข็งแกร่งนี้…เขาเป็นใคร!” จงเจ๋อพึมพำแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก