ตอนที่ 406 ประตูแห่งความว่างเปล่า
ซูหมิงมองรูปปั้นหินหญิงสาวร่างเตี้ยในโลงศพ มองใบหน้านาง เสียงข้างหูปานดังแว่วมาจากในความทรงจำ ใบหน้าเขาจึงเริ่มเศร้าโศกทีละน้อย
“เจ้าตื่นขึ้นแล้ว” ตี้เทียนเงียบไปชั่วครู่ก่อนกล่าวอย่างเรียบนิ่ง ความตื่นตะลึงเล็กน้อยในสีหน้าหายไป และกลับมาเย็นชาดังเดิมอีกครั้ง
“ข้าจำนางได้…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ เขาเข้าใจแล้วว่าความฝันนั้นอาจ…ไม่ใช่ความฝัน
ความเศร้าโศกในแววตาค่อยๆ เข้มข้นขึ้น ไม่ละลายหายไปแม้แต่น้อย นัยน์ตามีประกายแวววาว ก่อนกลายเป็นน้ำตาหยดลงบนตัวรูปปั้นหิน
ขณะเดียวกัน วินาทีที่น้ำตาหยดลงบนรูปปั้นหิน ในความคิดเขาผุดภาพขึ้นอีกครั้ง…ในภาพเหล่านั้น ซูหมิงเห็นตัวเองผมแดงและสวมชุดคลุมแดง
เขาเห็นตัวเองที่มีผมแดงเดินออกจากเทือกเขานั้น แล้วสูบปราณปฐพีเปลี่ยนให้กลายเป็นมังกรแดงฉาน เห็นตนสูบพลังของผู้แข็งแกร่งเผ่าเชมันจำนวนมากในทุกที่ที่ผ่าน กระทั่งสัตว์ร้ายแข็งแกร่งบางตัวยังไม่เว้น…
เขายังเห็นว่าตนไปเผ่าทะเลใบไม้ร่วง หลังจากยกมือขึ้นผนึกท้องฟ้ารวมถึงผนึกจงเจ๋อแล้ว เขาก็ลดมือลงผนึกปฐพี ผนึกชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงทุกคน ก่อนเดินมาอยู่ข้างหวั่นชิวสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าทะเลใบไม้ร่วง แล้วโอบนางบินออกไปไกลพร้อมผมแดงโบกสะบัด
ซูหมิงเห็นวิชาเงาหงส์พ่ายมังกร เห็นขั้นตอนในการใช้วิชากับหวั่นชิวทั้งหมด การเดินทางของหงหลัวในช่วงหลายวันมานี้แล่นผ่านตรงหน้าซูหมิงด้วยความเร็วหลายเท่า
เขายังเห็นตัวเองต่อสู้กับชายชราเผ่าเซียน เห็นง้าวยาวบนท้องฟ้าฟันสังหารอย่างบ้าอำนาจ และยังเห็น….ภาพทุกอย่างตอนใช้วิชาเงาหงส์พ่ายมังกรกับสตรีผมยาว…
จนกระทั่งมาปรากฏตัวอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เผ่าเชมันแห่งนี้ จนกระทั่งตี้เทียนมาถึงและต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายภาพในความคิดเขาหยุดอยู่ตอนที่วิญญาณหงหลัวค่อยๆ หายไป เสียงหัวเราะและวิชาหนทางสู่ชีวิตถูกส่งเข้ามาในร่างกายเขา!
‘ฝึกฝนเต๋าสามหมื่นปี กลับคืนสู่มนุษย์ ไม่ขอเป็นเซียน!’ เสียงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์นั้นเกิดเป็นระลอกคลื่นหลายชั้นในความคิดซูหมิง สุดท้ายก็ค่อยๆ จางหายไปกลายเป็นเสียงแหบแห้ง
“เจ้าหนุ่ม ฟังให้ดี ข้ากับตี้เทียนมีความแค้นต่อกัน ทว่าเขาแกร่งเกินกว่าที่ข้าคิด ข้าไม่รู้ว่าตัวเองถูกผนึกมาแล้วกี่ปี ตอนนี้จะหายไปอีกครั้ง ทว่าข้าไม่ยอม!
ข้าคือบุตรแห่งจักรพรรดิเซียน ใช้วิชาหนทางสู่ชีวิตซึ่งเป็นมรดกของสายเลือดจักรพรรดิส่งพลังคลายผนึกให้เจ้า วิชานี้จะพัฒนาขึ้นตามขั้นพลัง แต่มันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วยเจ้าเปิดความทรงจำที่ถูกผนึก!
ทั้งยังสามารถปรับแก้สายเลือดของเจ้า ให้เจ้ามีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของเผ่าเซียน…ในนั้นยังมีวิถีของทั้งชีวิตข้าหงหลัว วิชาของข้า อภินิหารของข้า ทั้งหมดเป็นของเจ้า!
ข้าเผาผลาญพลังชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มากเพื่อใช้วิชาหนทางสู่ชีวิต ส่งเจ้าไปยังโลงศพ ข้ารู้สึกว่าที่นั่นมีสิ่งสำคัญกับเจ้าอย่างยิ่งอยู่…อย่าลำพองตนรับมือกับตี้เทียนคนเดียว วิกฤติครั้งนี้ข้าคิดวิธีช่วยเจ้าไว้แล้ว ขอแค่เจ้าฟังข้า มันจะต้องสำเร็จแน่นอน!
วิชาหนทางสู่ชีวิตจะสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่นในเชื้อสายจักรพรรดิ อีกทั้งหากมีคนรับไปแล้ว ผู้มาทีหลังไม่ว่าจะมีพรสวรรค์สักเพียงใดก็ไม่อาจเรียนได้ นี่คือกฎ! ผู้สืบทอดวิชานี้ทุกรุ่นจะใช้ได้เพียงครั้งเดียว มันไม่ใช่วิชาโจมตี แต่เป็นเพียงมรดกเท่านั้น…
ฉะนั้นตี้เทียนถึงเรียนวิชานี้ไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าวิชานี้เปิดประตูแห่งความว่างเปล่าได้ และใช้มันในการเคลื่อนย้าย! นี่คือประตูทางหนีฉุกเฉินเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดขณะสายเลือดจักรพรรดิกำลังรับสืบทอด ก่อนหน้านี้ข้าได้ประทับตราไว้ตรงจุดที่ข้าตื่นแล้ว ประตูนี้จะพาเจ้ากลับไปที่นั่น…
เมื่อประตูแห่งความว่างเปล่าเปิดออก พลังของตี้เทียนจะไม่อาจรบกวนได้ อีกทั้งวิชาหนทางสู่ชีวิตจะปกปิดกลิ่นอายพลังของเจ้า ทำให้จิตสัมผัสของตี้เทียนหาเจ้าไม่พบ
เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็จะมีเวลาเป็นอิสระอย่างแท้จริงสักช่วงระยะหนึ่ง…..ที่ข้าไม่ใช้วิชานี้ก็เพราะมันใช้ได้เพียงครั้งเดียว หากไม่มีผู้สืบทอดก็จะใช้วิชาไม่ได้…..อีกอย่าง หากข้าใช้วิชานี้เพื่อหนีคงยากจะหลุดพ้นจากผนึก เกรงว่าคงไม่ตื่นไปอีกชั่วนิรันดร์ ข้า….ขอยอมตายดีกว่า!
ประตูความว่างเปล่าอยู่ในใจเจ้า เรียกมันเสีย แล้วมันจะเปิดออก! ขั้นพลังเจ้าไม่สูง ทว่าวันหนึ่งเมื่อเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่ง เจ้าจะต้องช่วยข้าแก้แค้น สังหารตี้เทียน!”
ซูหมิงรู้สึกปวดหัว ภาพเหล่านั้นพลันหายไป ความจริงแล้วตั้งแต่ภาพปรากฏจนสิ้นสุดลง ซูหมิงรู้สึกเหมือนนานมาก ทว่าความจริงนี่คือการโคจรความทรงจำในความคิด คนนอกจะรู้สึกเพียงชั่วพริบตาเดียว
เสียงของหงหลัวใช้วิชาหนทางสู่ชีวิตก่อนตาย เพื่อหลบหลีกจิตสัมผัสของตี้เทียน และผนึกลงในความคิดซูหมิง มีเพียงตอนซูหมิงตื่นเท่านั้นถึงจะได้ยิน
ซูหมิงมองรูปปั้นหินในโลงศพ เขาใช้มือขวาจับขอบเอาไว้แน่น
“เจ้าไม่ควรจะตื่นขึ้น เจ้าในตอนนี้ทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…หงหลัวเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ตอนนี้ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หลับเสียเถอะ ซู่มิ่ง….”
ตี้เทียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวช้าๆ
ทว่าทันทีที่เขากล่าว ซูหมิงพลันหมุนตัวมาจ้องตี้เทียนอย่างสงบนิ่ง
“ไม่มีใครผนึกความทรงจำข้าได้อีก ไม่เว้นแม้แต่เจ้า!”
นิ้วชี้มือขวาของซูหมิงปรากฏเส้นผมพันรอบเมื่อไรไม่รู้ เส้นผมนั้นคือพลังแห่งเทพหมาน อีกทั้งตอนที่ซูหมิงถูกหงหลัวควบคุม เส้นผมนี้คล้ายหายไปอย่างน่าประหลาด ต่อให้เป็นหงหลัวก็ยังไม่รู้
ทว่าตอนนี้ เมื่อจิตใจซูหมิงกลับมา เส้นผมนี้จึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง
อีกทั้งการปรากฏของมันยังไม่เผยกลิ่นอายพลังใดๆ ฉะนั้นต่อให้เป็นตี้เทียนก็ยังไม่ได้สนใจมือขวาที่จับโลงของซูหมิงและไม่เห็นเส้นผมที่พันรอบนิ้วชี้
นี่คืออาวุธสังหารของซูหมิง เป็นสาเหตุที่เมื่อเขาพบตี้เทียนแล้วยังคงสุขุมอยู่ได้ พลังเทพหมานที่เขาหวงแหนมาตลอดนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ต้องใช้มันสักครั้ง!
แม้การใช้ครั้งนีไม่รู้ว่าจะสังหารตี้เทียนที่แม้แต่หงหลัวยังมิใช่คู่ต่อสู้ได้หรือไม่ ถึงก่อนหงหลัวจะตายได้เตรียมทางหนีที่สมบูรณ์แบบไว้ให้แล้วก็ตาม แต่ให้จากไปแบบนี้ ซูหมิงไม่ยอม!
คำว่าไม่ยอมนี้ พูดแทนคำนับหมื่นนับพัน!
ตี้เทียนมีสีหน้าราบเรียบ มองซูหมิงอย่างเย็นชา ทันทีที่ประสานสายตากับซูหมิง เขายกมือขวาขึ้นแล้วเดินเข้าไป
“เป็นบุตรของข้าตี้เทียน เจ้าต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง และต้องเชื่อฟัง!” ตี้เทียนเหยียบเท้าลง พลันเกิดระลอกคลื่นจากใต้ฝ่าเท้า ด้วยความรุนแรงของระลอกคลื่นนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็เข้าใกล้ซูหมิง
แรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานรวมตัวกันเข้ามา ร่างซูหมิงถูกตรึงเอาไว้ที่เดิม จนกระทั่งระลอกคลื่นนั้นผ่านใต้ฝ่าเท้า ซูหมิงตัวสั่นเทาและกระอักโลหิตมาหนึ่งกอง
“คุกเข่าลง!”
จิตสัมผัสและจิตใจอันแน่วแน่ของตี้เทียนรวมอยู่บนตัวซูหมิง ทำให้ซูหมิงเหมือนถูกภูเขาหนักกดทับ เกิดเสียงดังกรอบๆ ตรงหัวเข่าและสั่นไหวอย่างรุนแรง
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าคุกเข่า!” ซูหมิงกัดฟัน เงยหน้าขึ้นจ้องตี้เทียน หัวเข่าตั้งตรง ความเจ็บปวดแล่นเข้ามา ทว่ากลับไม่ยอมศิโรราบ
“เจ้าคนอกตัญญู ข้าเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ ยังไม่มีค่าพอให้เจ้าคุกเข่าอีกรึ? คุกเข่าเดี๋ยวนี้!” ตี้เทียนเดินไปทางซูหมิงทีละก้าว ระหว่างทั้งสองคนห่างเพียงสามจั้ง
หลังจากตี้เทียนกล่าวอย่างเย็นชา ก็มีเสียงดังกรุบตรงหัวเข่าซูหมิง โลหิตไหลออกมา ร่างเขาโซเซ ภายใต้จิตใจอันแน่วแน่และแรงกดดันที่เหมือนของจริง ไม่ใช่ว่าเขาควบคุมจิตใจไม่ได้ ใจเขาไม่ยอมคุกเข่า ทว่าร่างกายกลับถูกแรงกดดันถาโถมจนหัวเข่าขาขวาทรุดลงพื้น
ชั่ววินาทีที่หัวเข่าจะสัมผัสพื้นดิน มือซ้ายซูหมิงกดลงพื้นก่อนและยันเอาไว้ให้มั่น ทำให้หัวเข่าขาขวาห่างจากพื้นหนึ่งชุ่น
“นอกจากขั้นพลังที่สูงส่งกว่าข้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรอีก เจ้าให้ร่างกายข้าคุกเข่าได้ ทว่ากับใจข้า เจ้าไม่มีวันทำได้!”
ซูหมิงเงยหน้า มุมปากมีโลหิตไหล ดวงตามีเส้นเลือดฝอย ขณะจ้องตี้เทียน ดวงตาราบเรียบคู่นั้นทำให้สีหน้าเขาสงบนิ่งเช่นกัน
“วันนี้เจ้าใช้ขั้นพลังยิ่งใหญ่มาทำให้ข้าคุกเข่า ภายภาคหน้า…ข้าแซ่ซูจะคืนเรื่องวันนี้ให้เจ้าหลายเท่า! ไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียว ข้าจะให้เผ่าเซียนทั้งหมดของเจ้าคุกเข่าลงใต้เท้าข้า ข้าจะให้เจ้าตี้เทียนก้มหัวต่อหน้าข้า! ข้าจะทำให้ได้!”
ซูหมิงกัดฟันกล่าวทีละคำ ทุกคำแฝงไว้ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยคำว่าประตูแห่งความว่างเปล่าในใจ
ตี้เทียนมิได้เปลี่ยนสีหน้ากับคำพูดของซูหมิงแม้แต่น้อย เขาเดินมาใกล้ซูหมิงในระยะสองจั้ง มองอีกฝ่ายที่หัวเข่าห่างจากพื้นหนึ่งชุ่นด้วยความเย็นชา มองเส้นเลือดดำปูนโปนบนหน้า มองโลหิตจากหัวเข่า มองอีกฝ่ายกำลังต่อต้านแรงกดดันจนมือซ้ายที่กดอยู่บนพื้นปรากฏเส้นเลือดจำนวนมาก
“ข้าไม่ได้ต้องการให้ใจเจ้าคุกเข่า แค่ร่างกายก็เพียงพอแล้ว”
ตี้เทียนกล่าวเนิบช้า ก่อนยกมือขวาขึ้น สองนิ้วพลันกดไปทางระหว่างคิ้วซูหมิง หากสองนิ้วกดลง วัฏจักรทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเมื่อหลายวันก่อน ความทรงจำซูหมิงจะถูกผนึกอีกครั้ง เมื่อเขาตื่นขึ้นก็จะยังสับสนกับอดีตและอนาคต
ด้านหลังเขามีสายตามองจากในเงามืดตลอด มองทุกการกระทำของเขาไม่หยุด
ทว่าขณะที่ตี้เทียนกำลังจะกดนิ้วลง สีหน้าพลันเปลี่ยนไป มีพลังที่ไม่ใช่ของซูหมิงปะทุขึ้นจากในตัว ดุจพลังแห่งความรกร้างว่างเปล่าของโลกใบนี้
ช่วงที่พลังปะทุออกมา นิ้วของตี้เทียนหยุดชะงัก ราวกับพลังนั้นกำลังต่อสู้กับเขา เพียงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ ตี้เทียนแค่นเสียงหึแล้วถอยไปหนึ่งก้าว
หนึ่งก้าวนี้ทำให้ระลอกคลื่นที่ปกคลุมอยู่ใต้เท้าซูหมิงพลันหายไป จิตสัมผัสและแรงกดดันบนตัวเขาก็ถูดดีดออกด้วยแรงปะทุของพลังจากในร่างกาย มวลอากาศด้านหลังซูหมิงบิดเบี้ยว เกิดเป็นน้ำวนยักษ์ลักษณะวงรี!
ขณะเดียวกับที่น้ำวนปรากฏ การโคจรของทั้งฟ้าดินล้วนหยุดนิ่งไปในชั่วพริบตา!