Skip to content

สู่วิถีอสุรา 418

ตอนที่ 418 โลกเก้าหยิน

พอได้ยินเสียงชายชราดังแว่วมาจากในรอยแยก ทั้งยังมีจังหวะการพูดแปลกๆ ซูหมิงก็นึกถึงจ้าวเชมันเผ่าโคขาวหรือชายชราปากแหลมแก้มลิงทันที

บุคคลนี้ ซูหมิงไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือรู้สึกดีอะไร ทว่าตอนนั้นอีกฝ่ายมอบสตรีสามคนจากในเผ่ามาให้ แทนที่จะบุกโจมตีกันทั้งชนเผ่า จึงทำให้พอมีความประทับใจอยู่บ้าง

ยามนี้ได้ยินอีกฝ่ายกล่าว ซูหมิงจึงขบคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินออกไป

บนแผ่นดินกว้างโล่ง ทว่ามีอยู่จุดหนึ่งเป็นรอยแยกยักษ์ปรากฏบนพื้น ลากยาวไปไกลนัก

ชายชราเผ่าโคขาวยืนอยู่นอกรอยแยก ยามนี้รอมาพักหนึ่งแล้วไม่เห็นการเคลื่อนไหว จึงเดินมาอยู่ข้างรอยแยกแล้วก้มหน้ามองเข้าไปข้างใน

“ระยำ…” ชายชราไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของซูหมิงภายในผนึก เขาเพียงมาที่นี่ในทุกๆ หลายวัน หลังจากมาถึงแล้วก็เดินวนตะโกนส่งเสียงอยู่หลายรอบ ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าเสียงของตนเข้าถึงหูซูหมิง ขณะมองรอยแยกก็บ่นพึมพำไป

“ระยำอะไร” ชายชรายังบ่นไม่จบ ก็พลันมีเสียงเย็นชาดังแว่วมาจากด้านหลัง ทำให้ชายชราอึ้งงัน รีบหมุนตัวกลับมาโดยเร็ว สีหน้าทั้งตื่นเต้นและดีใจ

“ไม่มีอะไร ข้าน้อยขอคารวะท่านเชมันผู้ดูดวิญญาณ” ชายชรารีบประสานมือก้มคารวะซูหมิง

ซูหมิงมองชายชราแวบหนึ่ง แต่ไม่กล่าวใดๆ

ในใจชายชราตื่นตัว เหลือบมองพิจารณาซูหมิง พอเห็นตราดอกท้อตรงระหว่างคิ้วอีกฝ่ายก็รีบละสายตากลับ ทำท่าทางประจบสอพลอ

“ท่าน ครั้งนี้ข้าน้อยเตรียมสตรีในเผ่ามาให้อีกไม่น้อย รับรองว่าครั้งนี้ท่านจะต้องพอใจ หากท่านไม่พอใจ ข้าน้อยก็จะขอเป็นไอ้คนระยำ!”

“ระยำอะไร อย่าพูดคำว่าระยำให้ข้าได้ยินอีก!” ซูหมิงขมวดคิ้ว

“ขอรับๆ เช่นนั้นขอเปลี่ยนเป็นคำว่าไอ้โง่แทนแล้วกัน” ชายชรารีบพยักหน้า ยิ้มประจบสอพลอ

เห็นสีหน้าชายชราเป็นแบบนั้น ซูหมิงกวาดสายตามองเขาด้วยสายตาลุ่มลึก เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นตอนเจอกันครั้งแรกหรือว่าตอนตัดสินใจมอบสตรีสามคนมาให้ ล้วนอธิบายได้ว่าชายชราผู้นี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอกจริงๆ

“มีเรื่องอะไรก็พูดมา” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

ในใจชายชราค่อนข้างตึงเครียด เมื่อถูกซูหมิงกวาดสายตามอง ความคิดเขาปานถูกอีกฝ่ายมองทะลุ เหมือนกับเปลือยกายต่อหน้าคนผู้นี้ ทำให้เขาต้องหลบสายตาตามสัญชาตญาณ

“จริงๆ แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไร…” ชายชราลังเลครู่หนึ่ง กล่าวถึงตรงนี้ ซูหมิงก็หมุนตัวกลับ แล้วเดินไกลออกไปไกลโดยไม่สนใจชายชราอีก

ชายชราตะลึงงัน รีบวิ่งตามไป ยิ้มประจบกล่าวต่อ

“ช้าก่อนท่าน เอ่อ…จริงๆ แล้วมีเรื่องที่พูดยากอยู่ คือแบบนี้ ท่านก็น่าจะรู้ว่าภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพาจะมาถึงในอีกหลายปีให้หลังนี้ ทุกชนเผ่าเชมันตอนนี้ต่างพากันอพยพแล้ว ทว่าเผ่าโคขาวเล็กเกินไป ชาวเผ่าธรรมดาก็มีไม่น้อย ด้วยกำลังเล็กจ้อย ต่อให้รวมผู้แข็งแกร่งในเผ่าเข้าไปด้วยก็ยังคุ้มครองความปลอดภัยให้ไม่ได้ ฉะนั้น…ข้าน้อยอยากถามท่านว่าจะรับว่าจ้างหรือไม่” ชายชราไม่ลังเลอีก ตามไปพลาง รีบกล่าวไปพลาง

ซูหมิงหยุดชะงัก หันกลับมามองชายชรา

“เผ่าพวกเจ้าจะใช้อะไรมาจ้างข้า? หากมีของที่น่าสนใจจริงๆ เหตุใดต้องมาหาข้า?”

“ท่าน ผู้แข็งแกร่งในแถบนี้ก็มีเพียงจีฮูหยิน…..ทว่านางหายตัวไปแล้ว…”

ชายชรากล่าวถึงตรงนี้ก็ดูระวังมากขึ้น ทั้งยังมองตราประทับดอกท้อตรงระหว่างคิ้วซูหมิงแวบหนึ่ง

“ที่นี่เป็นถิ่นกันดาร ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่จะไม่มาหรอกขอรับ อีกอย่างตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม ยากจะหาผู้แข็งแกร่งที่เชื่อใจได้จริงๆ ท่านอาศัยอยู่ตรงนี้ พวกเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน ข้าน้อยย่อมเชื่อท่านแน่นอน ส่วนจะใช้อะไรมาจ้าง ข้าน้อยนำสมบัติล้ำค่าของบรรพบุรุษมาด้วย และก็เป็นมรดกศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาของเผ่าโคขาว” ชายชรากล่าวถึงตรงนี้ก็ดูขมขื่นเล็กน้อย

“อ้อ? หากมอบมรดกสืบทอดของเผ่าเจ้าให้ข้าแล้ว เช่นนั้นมันจะต่างอะไรกับการตัดรากชนเผ่าตัวเอง”

ซูหมิงรู้ว่าทุกชนเผ่าเชมันจะมีของบูชาต่างกัน บ้างก็มีพลังมหัศจรรย์ บ้างก็เป็นของธรรมดา แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นจิตวิญญาณของชนเผ่าแห่งหนึ่ง

อย่างเช่นรูปปั้นกิ้งก่าของเผ่าเชมันกิ้งก่า นกกระเรียนตัวนั้นของเผ่ากระเรียนดำ และยังมีปลาชิวของเผ่าทะเลใบไม้ร่วง

“หากไม่ใช้สิ่งนี้ท่านก็คงไม่สนใจ หากชนเผ่าไม่อพยพไป ผลสุดท้ายเมื่อภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพามาถึงก็ต้องตายและดับสูญอยู่ดี ทว่าต่อให้อพยพหนี ด้วยกำลังของเผ่าขนาดเล็กก็ต้องพบกับความตายเช่นกัน คนที่เหลือรอดสุดท้ายจะมีใครบ้างก็ไม่รู้

กระทั่งยังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจตายทั้งหมด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าจะเก็บเอาไว้ตามคำสั่งเสียของบรรพบุรุษ สู้เอามาแลกเป็นเสี้ยวชีวิตไม่ดีกว่าหรือ” ชายชรากล่าวอย่างยากลำบาก ความจริงแล้วเขาตรึกตรองคำพูดเหล่านี้อยู่นาน จนตัดสินใจมาขอความช่วยเหลือจากซูหมิง หลังจากได้เจอกับซูหมิงหลายครั้ง เขาก็เริ่มมองออกอย่างช้าๆ ว่าซูหมิงมีนิสัยไม่ล่วงเกินใครก่อน

อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือหากอีกฝ่ายคิดแย่งชิง เช่นนั้นคงไม่รอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยลงมือหรอก

“เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้ ข้ายังออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ในเร็วๆ นี้” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ จากนั้นส่ายศีรษะ

ชายชราได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ดูจากท่าทางของเขา ราวกับเตรียมรับมือกับคำตอบของซูหมิงมาก่อนแล้ว ยามนี้จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ท่านลำบากใจ จุดนี้เผ่าโคขาวเราเข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นท่านไม่ต้องคุ้มกันขบวนอพยพก็ได้ เพียงขอรบกวนเวลาท่านไม่นาน ช่วยชาวเผ่าสองคนในเผ่าข้าข้ามผ่านผนึกแห่งผู้ดูดวิญญาณก็พอ แล้วข้าจะมอบของศักดิ์สิทธิ์เป็นค่าตอบแทนด้วย ท่านคิดว่าอย่างไร?”

“ผนึกแห่งผู้ดูดวิญญาณ? เรื่องนี้จะให้ข้าช่วยอย่างไร? เจ้าว่ามาก่อน แต่ข้าไม่รับรองว่าจะตกลง” ซูหมิงเพิ่งเคยได้ยินคำนี้ครั้งแรก

“หืม? ท่านเป็นผู้ดูดวิญญาณ ย่อมเคยข้ามผ่านผนึกแห่งผู้ดูดวิญญาณมาก่อนอยู่แล้ว…” ชายชราเผ่าโคขาวอึ้งงัน นัยน์ตาขยับประกายเล็กน้อย

“เคยผ่านจริง ทว่าไม่เคยมีใครช่วยข้าหรือเคยช่วยคนอื่น” ซูหมิงมีสีหน้าปกติ กล่าวอธิบายคร่าวๆ

“ท่านมาจากเผ่าใหญ่ มิน่าถึงไม่รู้เรื่องการช่วยเหลือ เฮ้อ เรื่องนี้คงเป็นที่น่าหัวร่อสำหรับท่าน เผ่าเล็กอย่างพวกเราจะมีโอกาสเกิดผู้ดูดวิญญาณน้อยมาก หากปรากฏ ส่วนใหญ่จะไม่อาจข้ามผ่านผนึกแห่งผู้ดูดวิญญาณและได้รับมรดกของผู้ดูดวิญญาณมาได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นจึงต้องเชิญผู้แข็งแกร่งมาช่วย” ชายชรามีสีหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ กล่าวพลางยิ้มแห้งๆ

“เดือนหน้าจะเป็นจันทร์วิญญาณ ท่านก็รู้ว่าจันทร์วิญญาณเป็นมรดกสืบทอดของการฝึกฝนดูดวิญญาณในวิหารเทพเชมัน ชาวเผ่าจากแต่ละชนเผ่าที่ตรวจสอบแล้วมีคุณสมบัติฝึกฝนดูดวิญญาณ จะรู้สึกถึงการเรียกหาของวิหารเทพเชมัน จากนั้นวิหารเทพเชมันจะใช้พลังประหลาดเปิดอาคมเคลื่อนย้ายของผู้ดูดวิญญาณ

ถึงวาระนั้น ชาวเผ่าโคขาวสองคนที่ข้ามองว่าน่าจะมีคุณสมบัติของผู้ดูดวิญญาณจะถูกพลังจากวิหารเทพเชมันส่งไปยังโลกเก้าหยิน หากพวกเขามีบุญวาสนาก็จะได้รับการยอมรับจากจู๋จิ่วอิน และได้ฝึกฝนการดูดวิญญาณ

หวังว่าท่านจะใช้พลังจากการเคลื่อนย้ายเดินทางไปด้วย และช่วยพวกเขาเปิดการฝึกฝนดูดวิญญาณให้สำเร็จ” ชายชราเผ่าโคขาวกล่าวจบก็มองซูหมิงอย่างตึงเครียด นี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาคิดได้แล้ว หากซูหมิงไม่ยอม เช่นนั้นเผ่าโคขาวคงต้องฝืนอพยพไปเท่านั้น

ซูหมิงขบคิดชั่วครู่แล้วส่ายศีรษะ เรื่องนี้เขาไม่เข้าใจ อีกทั้งพอได้ยินครั้งแรกก็ไม่ได้รู้สึกดึงดูดอะไรมากนัก

“ท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านช่วยคนอื่นเปิดการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณ ความจริงแล้วตามที่ข้ารู้มา มีเชมันผู้ดูดวิญญาณจำนวนมากที่ใช้โอกาสของชาวเผ่าที่มีคุณสมบัติผู้ดูดวิญญาณเดินทางไปยังโลกเก้าหยินด้วยกัน

เพราะผู้ดูดวิญญาณทุกคนมีเพียงครั้งแรกที่จะเข้าไปได้เอง หลังจากนั้นหากคิดจะเข้าไปในโลกเก้าหยินอีก จะต้องใช้พลังการเคลื่อนย้ายของคนอื่นเพื่อเหนี่ยวนำ

อีกทั้งนี่เป็นเพียงผู้ดูดวิญญาณเท่านั้น ยังมีผู้สื่อวิญญาณและจิตพยากรณ์อีก พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้เดินทางไปเช่นกัน เพราะในโลกเก้าหยิน ท่านก็น่าจะเคยได้ยินตำนานว่าในนั้นมีศพของจู๋จิ่วอินฝังอยู่

กระทั่งยังมีอีกตำนานหนึ่งว่าไว้ว่า วิชาคำสาปลึกลับก็มาจากโลกเก้าหยิน ฉะนั้นตอนที่โลกนี้ถูกค้นพบ เดิมทีมันเป็นเพียงโบราณสถาน

ภายในมีหลายจุดที่ชาวเผ่าเชมันส่วนใหญ่ยังไม่เคยค้นหา มีเพียงเขตเล็กๆ ที่เป็นจุดเปิดการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณ หลังจากพบที่นี่แล้วถึงเกิดการศึกษาวิชาคำสาปขึ้น…”

ชายชรากล่าวอย่างละเอียดยิ่งนัก ด้วยความฉลาดของเขา หากกล่าวกับเผ่าเชมันด้วยกันคงไม่เล่าละเอียดเช่นนี้ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นความลับในเผ่าเชมัน

ทว่าตอนนี้เขากลับกล่าวอย่างละเอียด นั่นก็เพราะความฉลาดของเขา

เขามองเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวซูหมิง ทว่าสำหรับเขาแล้ว เขาไม่สนหรอกว่าซูหมิงจะเป็นใคร เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือความปลอดภัยของชนเผ่า

อีกทั้งความแข็งแกร่งของซูหมิง ทำให้แม้ชายชรามองเห็นเงื่อนงำก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทั้งยังไม่บอกคนอื่น เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างหายนะให้กับชนเผ่าตัวเอง

ซูหมิงยิ้มทีเล่นทีจริง มองชายชราโดยไม่กล่าวสิ่งใด

ชายชรากระแอมเสียง แล้วกล่าวต่อ “อีกทั้งคาดว่าชาวเผ่าหมานก็ยังคิดหาวิธีเข้าไปในโลกเก้าหยินเช่นกัน เพราะว่าที่นั่นมีสมุนไพรชนิดหนึ่งเรียกว่าดอกเก้าอเวจี มันทำให้ตอนชาวเผ่าหมานทะลวงขั้นพลังจากเซ่นไหว้กระดูกมหาสมบูรณ์สู่ขั้นวิญญาณหมาน จะมีโอกาสมีชีวิตรอดมากขึ้นเล็กน้อย…

นอกจากนี้ โลกเก้าหยินก็เป็นโบราณสถาน บางทีอาจมีโชคลาภอีกไม่น้อย…” ชายชรากล่าวไม่หยุด ทว่าซูหมิงยังคงมีสีหน้าทีเล่นทีจริง ทำเอาชายชราขนลุกเล็กน้อย

“เจ้าบอกเป้าหมายแท้จริงของเจ้ามา” ซูหมิงกล่าวช้าๆ

“เอ่อ มิกล้าปิดบังท่าน เป้าหมายของข้าน้อยคือหลังจากช่วยชาวเผ่าสองคนเปิดการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณแล้ว ด้วยฐานะของพวกเขาก็น่าจะเป็นที่สนใจของเผ่าขนาดกลางบางเผ่า ถ้าพาสองคนนั้นไปโดยแลกกับการช่วยเผ่าข้าอพยพจะถือเป็นเรื่องดีที่สุด หากไม่ถึงขั้นนั้น ถ้าพวกเขาถูกพาตัวไปเลย ก็จะได้กลายเป็นสายเลือดเผ่าโคขาวที่หลงเหลือต่อไป

อย่างแย่ที่สุด ถ้าพวกเขาสองคนหาผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ พบแล้วยอมร่วมมือกับเผ่าโคขาวเราได้ อย่างน้อยก็จะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้ขึ้นอีกมาก” ชายชรายิ้มฝืดเฝื่อนพลางกล่าว หลังจากลังเลครู่หนึ่งแล้วก็ล้วงมือขวาเข้าใปในอกเสื้อ อกเสื้อเขาขยับแสงอ่อนวิบวับ ในมือปรากฏเป็นวัตถุลักษณะกลม

“สิ่งนี้ก็คือของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าข้า ท่านรับไว้ก่อนได้!”

ซูหมิงกวาดสายตามองวัตถุลักษณะกลม พลันหรี่ม่านตาลง ในใจเกิดระลอกคลื่นตื่นตะลึงทันใด!

‘นี่มัน…’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ คว้าวัตถุทรงกลมนั้นเอาไว้ในมือทันที!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!