Skip to content

สู่วิถีอสุรา 42

ตอนที่ 42 อบรมสั่งสอน

รุ่งอรุณที่สามหลังซูหมิงกลับถึงเผ่า มีกลุ่มคนเรียงแถวกันตรงจุดที่ทำพิธีชี้นำหมานโดยมีท่านปู่เป็นผู้นำ ท่านปู่ยังคงสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ เส้นผมสีขาวทั้งหัวถักเปียหลายจุด มองแล้วดูจิตใจดี เขากวาดสายตาไปยังเป่ยหลิง เหลยเฉิน ซูหมิง และยังมีเด็กสาวที่อายุเท่ากับซูหมิงอีกหนึ่งคน

เด็กสาวคนนี้นามว่าอูลา เป็นคนที่ถูกเลือกว่ามีกายหมานจากพิธีชี้นำหมานครั้งก่อน ยามนี้หลายเดือนผ่านไป นางบรรลุถึงขีดจำกัดลำดับสองขั้นรวมโลหิตแล้ว สามารถรวมเส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดเพื่อทะลวงสู่ลำดับสามได้ทุกเมื่อ

ด้านหลังท่านปู่ยังมีบุรุษอีกสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้นำกองรักษาการณ์ในเผ่าหรือบิดาของเป่ยหลิง รูปร่างกำยำแข็งแกร่งประดุจหอคอยเหล็ก แววตาที่ขยับแสงเป็นประกายเผยความอ่อนโยน

ส่วนอีกคนมีสีหน้าเย็นชา เขามีนามว่าซานเหิน คือผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ยิ้มยาก เสื้อหนังสัตว์ที่สวมอยู่บนตัวเขาแสดงถึงความห้าวหาญของบุรุษคนนี้ เขาเป็นคนไม่ชอบพูดมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าสำหรับนักรบหมานส่วนใหญ่ในเผ่าแล้ว เขาต่างเป็นที่เคารพยิ่งนัก อีกทั้งกลุ่มล่าสัตว์ของเขายังคอยปกป้องชนเผ่า และเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องปากท้อง นั่นจึงทำให้ตำแหน่งของเขาสูงส่ง

“เผ่าเขาทมิฬของเราเล็ก เทียบไม่ได้กับเผ่าร่องลม ในทุกๆ หลายปีจะต้องส่งบรรณาการให้แก่เผ่าร่องลมเพื่อแสดงถึงความเคารพ หลายปีมานี้ข้าไม่อาจเดินทางไปด้วยได้ ปีนี้จึงถือโอกาสเสีย การเดินทางครั้งนี้นอกจากเผ่าเขาทมิฬ เผ่ามังกรทมิฬ และเผ่าภูผาดำแล้ว ยังมีเผ่าเล็กอีกหลายเผ่าใกล้เคียงเดินทางไปด้วย”

“การเดินทางครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบพวกเจ้า เมื่อเผชิญหน้ากับคนรุ่นเดียวกันจากเผ่าอื่นจำนวนมากแล้วจะแสดงความสามารถออกมาได้เต็มร้อยหรือไม่ หรือจะทำให้ชื่อเสียงของเผ่าเขาทมิฬไม่เสื่อมเสียได้หรือไม่ ก็ต้องพึ่งพวกเจ้าแล้ว”

“ที่เลือกพวกเจ้าในครั้งนี้ก็เพราะพวกเจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ในชนเผ่าของเรา ได้ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์บ้าง มันจะช่วยพวกเจ้าในภายภาคหน้าได้ไม่น้อย ในหมู่พวกเจ้า เป่ยหลิงเคยเข้าร่วมมาแล้วสองครั้ง คงได้ประสบการณ์มาบ้าง พวกเจ้าก็ลองถามเขาดูแล้วกัน” ท่านปู่กล่าวอย่างช้าๆ น้ำเสียงแหบพร่าดังก้องกังวาน

เป่ยหลิงขานรับเสียงต่ำ ปรายตามองเหลยเฉิน ก่อนจะมองไปทางเด็กสาวนามอูลา ท้ายที่สุดจึงมองซูหมิงที่อยู่ข้างๆ พลันขมวดคิ้วขึ้น

“ท่านปู่ การเดินทางครั้งนี้จะมี…การประลองเหมือนกับสองครั้งก่อนหรือไม่?” เป่ยหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามท่านปู่ด้วยความเคารพ เมื่อเห็นท่านปู่หยักหน้า แววตาเป่ยหลิงจึงเป็นประกาย ชี้นิ้วไปทางซูหมิง

“ท่านปู่ ข้าว่าซูหมิงไม่ควรไปด้วย เขาไม่ใช่นักรบหมาน ต่อให้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขา สู้ให้คนอื่นไปแทนไม่ดีกว่าหรือ” กล่าวจบ เหลยเฉินที่อยู่ข้างๆ พลันมีสีหน้าไม่พอใจ เขาเดินหน้าหลายก้าว ก่อนตะโกนเสียงดัง

“ไม่ใช่นักรบหมานแล้วจะไปไม่ได้หรือ? เป่ยหลิง นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”

เด็กสาวนามอูลากวาดสายตามองซูหมิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยามลึกๆ เพียงแค่ไม่ได้กล่าวก็เท่านั้น

“ท่านปู่ การเยี่ยมเยือนทุกครั้งจะต้องพารุ่นเยาว์ไปเพียงสี่คนเท่านั้น อีกอย่างการประลองครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนก็มีข้าเพียงคนเดียวที่ติดหนึ่งในห้าสิบ ปีนี้มีเหลยเฉินมาด้วยก็อาจจะพอได้ ส่วนอูลา แม้ขั้นพลังไม่สูงนัก ทว่าในพิธีชี้นำหมานกลับปรากฏแสงกะพริบเก้าครั้ง บางทีนางอาจติดหนึ่งในร้อยก็ได้”

“ผลคะแนนแบบนี้นับว่าดีกว่าหลายปีก่อนมากแล้ว หากยังมีอีกคนที่ติดหนึ่งในร้อยได้จะไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจกว่าหรือ? แต่ซูหมิง เขามาแย่งพื้นที่ตรงนั้นไป” เป่ยหลิงกล่าวเรียบๆ ไม่มองเหลยเฉินที่กำลังโกรธเป็นฟืนไฟแม้แต่หางตา

“ซูหมิงเข้าร่วมการประลองไม่ได้ก็จริง แต่ข้าพาเขาไปย่อมมีเหตุผลของข้า” ท่านปู่กล่าวช้าๆ

เหมือนว่าเป่ยหลิงอยากจะกล่าวต่อ ทว่าผู้นำกองรักษาการณ์ด้านหลังท่านปู่กลับถลึงตาใส่เขา ทำให้เป่ยหลิงต้องกลืนคำพูดลงไปทันที สำหรับท่านพ่อคนนี้ เขาหวาดกลัวมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยแล้ว

“เอาละ เวลาก็มีไม่มากแล้ว พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ” ท่านปู่พลันชูมือขวาขึ้นคว้าไปทางอากาศแจ่มใส ทันใดนั้นมีเสียงฟ้าร้องดังก้อง สั่นสะเทือนรอบแปดทิศ ก่อนพบว่าเมฆหนาบนท้องฟ้ากลายเป็นสีดำทมิฬ

ขณะเดียวกัน บนใบหน้าท่านปู่ปรากฏลวดลายหมานที่ก่อขึ้นจากเส้นเลือดจำนวนมาก มีลักษณะเป็นงูเหลือมทมิฬ หลังจากลวดลายหมานปรากฏขึ้น บนท้องฟ้าราวกับมีสองมือกำลังโกยเมฆหนาสีดำเข้าด้วยกัน ก่อนกลายเป็นงูเหลือทมิฬใหญ่ยักษ์หน้าตาดุร้ายยาวหลายสิบจั้ง!

ภาพดังกล่าวทำให้เหลยเฉินและอูลาจิตใจสั่นไหว ราวกับยืนเหม่อลอย ส่วนเป่ยหลิงยังคงพยามรักษาความเงียบเอาไว้ บังคับให้ตนฝืนเมินเฉย

ซูหมิงมองงูเหลือมทมิฬตัวนั้น สูดลมหายใจเข้าลึก ขณะเดียวกันนัยน์ตาฉายแววเฝ้าปรารถนา

ผู้นำกองรักษาการณ์ด้านหลังท่านปู่มองงูเหลือมทมิฬด้วยแววตาชื่นชม และยังมีซานเหิน ยามที่เขาเห็นงูเหลือยักษ์ นัยน์ตาฉายประกายกระตือรือร้นพาดผ่าน

งูเหลือมตัวนี้แปลงกาย แม้แต่เกล็ดบนตัวยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งแผ่มาจากตัวมัน งูเหลือมยักษ์สะบัดศีรษะ เผยให้เห็นความดุร้ายจากดวงตาแดงฉาน ทว่ายามนี้ความดุร้ายค่อยๆ จางหายไปเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน ก่อนบินลงมาจากท้องฟ้า แล้วนอนพาดอยู่ข้างตัวท่านปู่

“ขึ้นมา”

เป่ยหลิงกระโดดขึ้นไปบนหลังงูเหลือยักษ์เป็นคนแรก แล้วนั่งขัดสมาธิลง ตามด้วยเหลยเฉิน อูลาตามลำดับ ส่วนซูหมิง เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกระโดดขึ้นมาบนหลังงูเหลือมยักษ์ ขณะกำลังจะไปนั่งข้างเหลยเฉิน พลันมีเสียงท่านปู่ดังขึ้น

“ซูหมิง มานั่งข้างปู่!” น้ำเสียงท่านปู่แฝงความเข้มงวด ทำให้ซูหมิงมีสีหน้าทุกข์ระทม เดินไปนั่งลงข้างท่านปู่ ก่อนพบว่าผู้อาวุโสกำลังถลึงตาใส่ตน

“ท่านปู่….ข้าผิดไปแล้ว…..ผิดไปแล้วจริงๆ…” ซูหมิงรีบกล่าวเสียงเบา

ท่านปู่ไม่ได้สนใจ เมื่อเห็นผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหินกระโดดขึ้นมาบนหลังงูเหลือมแล้ว จึงโบกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นงูเหลือมทมิฬพลันแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า ก่อนบินทะลวงสู่ผืนเมฆา

ชนเผ่าด้านล่างเล็กลงเรื่อยๆ ตามการมองเห็นระดับสายตา จนในที่สุดกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น งูเหลือมยักษ์ทะยานขึ้นสูง คลื่นลมส่งเสียงหวีดร้องราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ซูหมิงมีสีหน้าซีดขาวทันที

คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ทว่าในขณะนั้นเอง ผู้นำกองรักษาการณ์และผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ต่างแยกกันไปอยู่ตรงกลางลำตัวและส่วนหางเพื่อปกป้องพวกเป่ยหลิง

ส่วนซูหมิง ท่ามกลางคลื่นลมโหมกระหน่ำราวกับรู้สึกหายใจกระชั้นถี่

ทว่าไม่นานพลังอ่อนโยนก็ปกคลุมตัวเขาเอาไว้ข้างใน เป็นท่านปู่ที่สำแดงอานุภาพ ทำให้ซูหมิงทนกับสภาพอากาศในครั้งแรกนี้ได้

“เจ้ารู้สำนึกเป็นด้วยหรือ? เจ้าไม่ผิดหรอก เห็นๆ กันอยู่ว่าลาซูจากเผ่ามังกรทมิฬเป็นคนยืมเหรียญหินเจ้าห้าพันเหรียญเอง แถมยังค้ำประกันด้วยหอกของเขาอีก” แม้โดยรอบจะเต็มไปด้วยเสียงคลื่นลมครืนครืน ทว่าเสียงของท่านปู่กลับดังขึ้นในหูของซูหมิงอย่างชัดเจน อีกทั้งด้วยอานุภาพพลังโลหิตของท่านปู่ นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว จึงไม่มีใครได้ยินเลย

“เอ่อ…” ซูหมิงมีสีหน้าเก้อเขิน ก่อนหน้านี้ตอนกลับถึงเผ่า เขาเล่าให้ท่านปู่ฟังอย่างดีใจ ทว่าไม่คาดคิดเลยท่านปู่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ทั้งยังอบรมเขาไปหนึ่งยก กระทั่งยังยึดหอกยาวไปด้วย พอซูหมิงกลับเรือนก็ต้องถอนหายใจหลายครั้ง ไม่เข้าใจว่าตนทำผิดอะไร

“ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้วจริงๆ…ข้าไม่ควรไปเอาศาสตราวุธหมานของซือคงมา ไม่ควรมีความโลภ…” ซูหมิงมีใบหน้าทุกข์ระทม สังเกตสีหน้าของท่านปู่พลางกล่าวขึ้นอย่างรอบคอบ

“และก็ไม่ควรให้เขาเขียนอักษรเลือด เฮ้อ ท่านปู่ ข้าสำนึกผิดแล้ว” ซูหมิงมองท่านปู่ด้วยแววตาร้อนใจ

“อ้อ ผิดแค่นี้เองรึ? ไม่มีอย่างอื่นแล้วหรือ เจ้าลองนึกดีๆ เจ้าผิดตรงไหนกันแน่” ท่านปู่มองซูหมิง กล่าวช้าๆ

ซูหมิงงุนงง เกาศีรษะโดยไม่รู้ตัว ในใจขบคิดถึงคำพูดของท่านปู่ที่ราวกับมีความแฝงอยู่ในนั้น นอกจากความผิดพวกนี้แล้ว ตนยังมีความผิดอื่นอีกหรือ?

ซูหมิงขมวดคิ้ว ตั้งใจไคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างพลันฉายแววเย็นเยือก ก่อนเงยหน้าขึ้นกล่าว

“ท่านปู่ ข้ารู้แล้ว ข้าควรสังหารเขาแล้วนำศพไปฝัง จากนั้นจึงค่อยชิงศาสตราวุธหมาน!”

ได้ยินดังนั้น ท่านปู่หรี่ตาทั้งสองข้าง มองซูหมิงอย่างเลื่อนลอย ทว่าสิ่งที่มองอยู่ไม่ใช่เด็กหนุ่มตรงหน้า แต่เป็นความหมายแฝงที่ซูหมิงไม่เข้าใจ

“อ้อ? เหตุใดถึงคิดว่าผิดตรงจุดนี้ อีกทั้งยังจะสังหารเขาด้วยหรือ?”

ท่านปู่มองซูหมิงพลางกล่าวขึ้นเรียบๆ

“เพราะว่าเขาคิดจะสังหารข้า ท่านปู่ไม่รู้อะไร เขาจะสังหารข้าจริงๆ หากไม่ใช่เพราะข้าเป็นคนรอบคอบ ท่านคงไม่ได้เห็นข้าแล้ว แต่ว่า…แต่ว่ามันคงไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะหากข้าสังหารเขาจริงๆ คงจะนำพาความเดือดร้อนมาให้แก่ชนเผ่า” ซูหมิงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน มันยังคงฝังอยู่ในใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวอธิบาย

“เจ้าพูดถูก…ซูหมิง เจ้าจงจำเอาไว้ ภายภาคหน้าหากพบกับคนที่มีจิตสังหารต่อเจ้า เจ้าจงชิงสังหารมันก่อนเสีย!” ท่านปู่หลับตาอยู่นาน ก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองซูหมิงด้วยความเมตตา

“แต่ที่ปู่บอกว่าเจ้าว่าผิดยังไม่ใช่ตรงจุดนี้ เจ้าลองนึกอีกทีว่ามีตรงไหนที่เจ้ายังไม่ได้ตรึกตรองอยู่อีกหรือไม่? การสังหารคนง่ายนัก แต่หลังจากสังหารแล้วทำอย่างไรถึงให้ตนปลอดภัย? ท่ามกลางวิกฤตเมื่อถึงทางตันจะหาทางออกได้อย่างไร?” ท่านปู่มองซูหมิง เอ่ยขึ้นเสียงเบา

ซูหมิงเกาศีรษะ เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แม้จะเป็นคนที่มีความประพฤติดี ทว่าโดยแก่นแท้แล้วก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม สำหรับคำพูดของท่านปู่ เขางุนงงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“คิดดูดีๆ ยังไม่ต้องรีบให้คำตอบปู่ รอจนเจ้าเข้าใจแล้วจึงค่อยบอก เจ้าต้องเรียนรู้การไตร่ตรองและครุ่นคิดให้ได้” ท่านปู่หลับตาลง

เรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นกับซูหมิงมาตั้งแต่เยาว์วัย ท่านปู่มักจะสอนเขาแบบนี้เป็นประจำ ซึ่งมันได้ผลดีอย่างมาก

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววครุ่นคิด นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่หอกยาวพุ่งโจมตีมาจากเผ่ามังกรทมิฬ จากนั้นซือคงก็ไล่ล่าเขา จนกระทั่งถึงตอนจบ…

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงครี่งชั่วยาม ห่างจากเผ่าร่องลมเพียงครึ่งทางเท่านั้น ราวกับมีลมพายุกระหน่ำพัดเข้ามาจากที่ห่างไกล ทำให้ร่างงูเหลือมสั่นไหวเล็กน้อย แม้แต่คนที่นั่งอยู่ยังโคลงเคลง ในขณะนั้นเอง ประหนึ่งมีสายฟ้าแล่นผ่านความคิดของซูหมิง

“ท่านปู่…ข้ารู้แล้ว…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ด้านหลังมีเหงื่อซึมออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!