ตอนที่ 427 หนาวเหน็บ
“เฮ้อ เคยเห็นเพียงแผ่นหลังเขา” ขณะหนานกงเหินกล่าวก็ส่ายหน้าอย่างเสียดาย ยามนี้ทุกคนมาถึงมุมเมืองเชมันที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน ตรงหน้าเป็นโรงเตี๊ยมที่ภายนอกดูธรรมดาอย่างยิ่ง
“ถึงแล้วสหายโม่ ทุกครั้งที่ข้ามาจะมาพักตรงนี้ ที่นี่เงียบสงบมาก สหายโม่พักผ่อนก่อน วันพรุ่งนี้ยามรุ่งสางพวกเราค่อยไปเช่าวิญญาณเก้าหยินกัน” หนานกงเหินเข้าไปในโรงเตี๊ยม มีผู้ดูแลเข้ามาทันที หลังจากคุยกันแบบง่ายๆ แล้วก็ประสานมือคารวะซูหมิง สีหน้ายังคงเสียดายที่เห็นเพียงแผ่นหลังของเขา ก่อนพาเด็กหนุ่มแขนขวาแห้งเหี่ยวไปยังห้องพัก
“ตามข้ามา” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ หมุนตัวเดินไปยังห้องพักตามที่ผู้ดูแลบอก
หลันหลันหน้าซีดขาว คนใจกล้าหาญอย่างนางยามนี้ลังเลใจ ทว่าคนใจปลาซิวอย่างอาหู่กลับดึงมือหลันหลันเอาไว้ สีหน้าแน่วแน่ เมื่อพยักหน้าให้แล้วก็ดึงมือนางเดินตามหลังซูหมิงไป
นี่เป็นครั้งแรกที่หลันหลันปล่อยให้อาหู่ดึงมือตน นางกัดริมฝีปาก ตามซูหมิงมาถึงห้องพักอย่างช้าๆ
คนในโรงเตี๊ยมมีไม่มาก ห้องส่วนใหญ่ว่างอยู่ อีกทั้งทุกห้องยังมีผนึกส่วนตัว เมื่อเหยียบเข้ามาแล้วจึงจะเปิดมันได้
เมื่อประตูห้องปิดลง ซูหมิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองถนนเงียบสงบข้างนอกและหมอกขมุกขมัวบนท้องฟ้า ยามนี้ข้างนอกใกล้จะเที่ยงวันแล้ว ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วมาแต่ไกล แต่กว่าจะมาถึงหูก็ต้องผ่านสิ่งกีดขวางหลายชั้น เสียงจึงเบาลงไม่น้อย
นี่คือเรือนพักที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ สามารถเลี่ยงสิ่งรบกวน จึงทำให้ค่อนข้างเงียบสงบ
เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสออกไปปกคลุมห้องนี้อย่างเงียบเชียบ ขอแค่ลูกคลื่นไม่เหนือกว่าจิตสัมผัสของซูหมิง คนนอกก็จะไม่มีทางตรวจพบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงนี้
อีกทั้งซูหมิงยังแผ่ขยายจิตสัมผัสปกคลุมห้องของหนานกงเหินด้วย ภายใต้จิตสัมผัสนี้ เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อหนานกงเหินกลับถึงห้องแล้วก็มีสีหน้าห่อเหี่ยว จากนั้นนั่งฌานสมาธิ จนผ่านไปนานก็ยังไม่ออกฌาน ซูหมิงจึงทิ้งจิตสัมผัสเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อตรวจสอบต่อไป ก่อนหมุนตัวมองหลันหลันกับอาหู่
เด็กหนุ่มสาวรออยู่นานมาก ทว่ากลับไม่กล้าทำอะไร ใบหน้าหลันหลันซีดขาวมากขึ้นเรื่อยๆ อาหู่จับมือนางแน่นยิ่งขึ้น
หลังจากสบตาซูหมิงแล้ว หลันหลันตัวสั่นเทา
“ผะ…ผู้อาวุโส…”
สิ่งที่อาหู่ทำตอนนี้ให้ความรู้สึกต่างจากตอนปกติอย่างชัดเจน เขามีสีหน้าเด็ดขาด ดึงมือหลันหลันคุกเข่าลง
“ผู้อาวุโสโปรดช่วยลบความทรงจำของพวกเราเมื่อครู่ด้วย ถ้าพวกเราเผลอหลุดปากออกไป ไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้ผู้อาวุโส แต่มันยังนำพาภัยพิบัติมาสู่พวกข้าด้วย”
ซูหมิงไม่กล่าวอะไร เพียงกวาดสายตามองเด็กหนุ่มเด็กสาวครู่หนึ่งแล้วก็หลับตาลงขบคิด
เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ซูหมิงเตรียมตัวมาตั้งแต่รับปากจะช่วยจ้าวเชมันเผ่าโคขาวแล้ว ถึงอย่างไรหงหลัวก็สร้างเรื่องเอาไว้ใหญ่มาก รูปร่างหน้าตาและสัญลักษณ์ของเขาคงเป็นที่จดจำของผู้คนไปแล้ว
แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมาถึงเร็วเช่นนี้ หนานกงเหินคนเดียวบอกถึงลักษณะตอนเขาผมแดงออกมาทั้งหมด ดีที่ว่าหนานกงเหินกล่าวอย่างไปตามอารมณ์ อีกทั้งจากการแสดงออกยังไม่มีความสงสัยอะไร
นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว มองเด็กทั้งสองอีกครั้ง
“เรื่องนี้พวกเจ้ารู้ไปจะมีแต่ผลเสียไม่มีประโยชน์ใดๆ ไม่เพียงจะสร้างหายนะมาเยือนตัวเอง ยังนำพาภัยพิบัติมาสู่เผ่าโคขาวของพวกเจ้าด้วย…” ซูหมิงไม่ได้พูดโกหก หากเด็กสองคนนี้เผลอหลุดปาก เช่นนั้นเผ่าโคขาวต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโส…” อาหู่หน้าซีดขาว หลันหลันข้างกายก็เช่นกัน
ซูหมิงยกมือขวาขึ้นแล้วสะบัดลง เด็กหนุ่มสาวพลันเอียงตัวล้มลงหมดสติไป ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าเขามีวิญญาณแรกของเผ่าเซียน อีกทั้งยังรู้วิธีการลบความทรงจำจากในมรดกวิชาของหงหลัวแล้ว ก่อนหน้านี้เขาคงไม่ยอมพาคนมายังโลกเก้าหยินแน่
เรื่องนี้เขาเตรียมตัวมาก่อนแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาใช้ตอนนี้
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลันหลันกับอาหู่เดินออกจากห้องของซูหมิงด้วยความสับสน เมื่อกลับไปยังห้องของตนแล้ว ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูปถึงค่อยๆ ได้สติกลับมา ในความทรงจำพวกเขาไม่มีเรื่องเกี่ยวกับซูหมิงผมแดงอีก
เด็กหนุ่มสาวมักจะซนเสมอ เมื่อหลันหลันได้สติกลับมาแล้วก็อดใจไม่ไหวออกไปดูรอบๆ เมืองเชมัน โดยเฉพาะยามนี้ที่ผ่านเที่ยงวันไปไม่นาน
ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ นางเลยมาหาอาหู่และยังเรียกเด็กหนุ่มแขนขวาแห้งเหี่ยวให้ไปด้วยกัน หลังจากแจ้งกับซูหมิงและหนานกงเหินแล้ว ทั้งสามคนก็ออกจากโรงเตี๊ยมไป
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ช่วงใกล้ยามโพล้เพล้ ขณะซูหมิงนั่งฌานอยู่พลันลืมตาขึ้น หลังมองประตูห้องครู่หนึ่งแล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา พร้อมกับเสียงสบายๆ ของหนานกงเหิน
“สหายโม่ ยามโพล้เพล้ของโลกเก้าหยินจะงดงามเป็นพิเศษ โดยเฉพาะดวงจันทร์เก้าดวง พวกเราไปดื่มสุราชมจันทร์ด้วยกันดีหรือไม่?”
หนานกงเหินมีสหายเยอะเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะคำพูดสบายๆ ของเขา และยังมีนิสัยชวนคนอื่นดื่มสุราก่อน
ยามนี้ซูหมิงได้ยินหนานกงเหินกล่าวจึงเผยยิ้ม ยืนขึ้นเดินมาอยู่หน้าประตูก่อนผลักออกไป เห็นหนานกงเหินถือเหยือกสุรายืนอยู่นอกประตู
การกระทำทุกอย่างของหนานกงเหินกระทั่งทุกอย่างในโรงเตี๊ยมล้วนอยู่ในจิตสัมผัสของซูหมิง เหยือกสุรานี้ไม่ใช่ของหนานกงเหิน แต่เขาเพิ่งให้ผู้ดูแลหยิบมาจากห้องเก็บสุราใต้ดิน อีกทั้งจิตสัมผัสของซูหมิงยังวูบผ่านตัวผู้ดูแลและสุรา แต่ก็ไม่พบปัญหาใดๆ นอกจากนี้หนานกงเหินยังเคยดื่มสุราเหยือกนี้ไปอึกหนึ่งในห้องของตน รู้สึกว่าพอไม่มีคนร่วมดื่มสุราด้วยแล้วมันไม่มีรสชาติ จึงมาหาซูหมิง
ทุกอย่างนี้ซูหมิงรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้จึงอมยิ้มรับเหยือกสุรามาดื่มไปอึกใหญ่ หนานกงเหินตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง แล้วจึงเดินขึ้นชั้นดาดฟ้าของโรงเตี๊ยมพร้อมกับซูหมิง
ชั้นดาดฟ้าเป็นลานเปิดโล่ง วางโต๊ะเอาไว้หลายตัว โดยรอบไม่มีสิ่งกีดขวางมากนัก ที่นี่จึงมีลมผ่านสบาย พวกเขานั่งบนเก้าอี้ตรงขอบ มองทอดไกลไปเห็นสีแดงเพลิงบนท้องฟ้า ให้ความรู้สึกสบายยิ่งนัก
“ข้าชอบโลกเก้าหยินมาก ข้าจะมาที่นี่แทบทุกครั้ง…” ขณะหนานกงเหินดื่มสุราก็มองท้องฟ้าไกล พลางกล่าวจากใจจริง
“ที่นี่ไม่เลว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่นี่จะเป็นโบราณสถาน” ซูหมิงมองสีแดงเพลิงบนท้องฟ้า กล่าวอย่างสงบนิ่ง
“มันดูสงบจริง ทว่าอันตรายข้างนอกโดยเฉพาะนอกระยะหนึ่งล้านลี้ แม้แต่บรรพบุรุษเผ่าเชมันยังไม่เคยไปสำรวจ แต่เรากลับมาดื่มสุราที่นี่ มองดวงจันทร์ ความรู้สึกแบบนี้มันสบายจริงๆ!” หนานกงเหินหัวเราะเสียงดังแล้วดื่มไปอึกใหญ่
“สหายโม่ เจ้ารู้ความฝันของข้าหรือไม่ ข้าอยากออกไปนอกระยะหนึ่งล้านลี้สักครั้ง ไปยังที่ที่ไม่มีใครไปแล้วมองยามโพล้เพล้บนท้องฟ้าที่นั่น ดื่มสุราพร้อมกับชื่นชมดวงจันทร์!” หนานกงเหินมองสีแดงที่ยามนี้ค่อยๆ ปรากฏเงารางของดวงจันทร์ ยิ้มพลางกล่าว
“ตรงนั้นไม่ต้องสนใจสงครามอะไร ไม่ต้องสนใจความหวังของท่านปู่ในสกุลข้า ไม่ต้องนึกถึงเรื่องใดๆ คิดถึงเพียงแค่ความฝันของตัวเอง…รอคอยคนหนึ่งที่นั่น” หนานกงเหินถอนหายใจเบา
“อ้อ?” ซูหมิงดื่มสุรา มองหนานกงเหิน
“สหายโม่จะต้องคิดอยู่แน่ว่าเหตุใดทุกครั้งข้าต้องมาที่นี่ นอกจากข้าชอบที่นี่แล้ว ที่สำคัญกว่าคือข้าสัญญากับคนคนหนึ่งเอาไว้…ต้องรอนางที่นี่ นางออกไปนอกระยะหนึ่งล้านลี้…พวกเราสัญญากันแล้ว ข้าจะรอนางที่นี่ รอนางกลับมา ทว่าผ่านไปหลายปีแล้วนางก็ยังไม่เคยกลับมา” หนานกงเหินเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นกล่าวอย่างขมขื่น
“สัญญา” ซูหมิงก้มหน้ามองสุราในมือ ยกขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่ สายตามองท้องฟ้าไกลๆ ในสีแดงตรงนั้นปรากฏดวงจันทร์ดวงแรกขึ้น
“หากเจ้าลืมนางไม่ลงจริงๆ เหตุใดถึงไม่ไปหานางนอกระยะหนึ่งล้านลี้เสีย!” ทันใดนั้น มีน้ำเสียงเย็นชาดังแว่วมาจากใต้หอ ซูหมิงรวมจิตสัมผัส สังเกตเห็นแล้วว่าหนึ่งลมหายใจก่อนจะเสียงดังขึ้นมีคนเข้ามาใกล้!
หลายลมหายใจให้หลัง มีสตรีเย็นชาผู้หนึ่งเดินขึ้นบันไดมา นางคือน้องสาวของหนานกงเหิน หรือก็คือคนที่ซูหมิงไม่อยากเจอหน้า
นางไม่มองซูหมิง เมื่อเดินมาถึงแล้วก็นั่งลงข้างๆ ทันทีที่หยิบสุรามาจากมือหนานกงเหิน ภายในก็พลันปล่อยไอหนาวสีขาวออกมา เห็นได้ชัดว่าสุราในนั้นพลันหนาวเยือก นางยกขึ้นแล้วดื่มลงไปอึกใหญ่
“ข้าต้องไปให้ได้ จะต้องไปแน่นอน!” หนานกงเหินเงยหน้าขึ้นมองนาง เงียบอยู่นานค่อยกล่าวช้าๆ
ซูหมิงอยู่ข้างๆ มองสองพี่น้องคู่นี้ ขณะกำลังจะหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวไป หน้าเขาพลันเปลี่ยนสี นัยน์ตาฉายแววเย็นชา ยืนขึ้นมองไปในเมืองไกลๆ
“สหายหนานกง แซ่โม่มีเรื่องต้องไปจัดการ ขอตัวก่อน” ขณะซูหมิงกล่าว นัยน์ตาเขาเย็นชามากขึ้น ก่อนวูบไหวตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวบินออกจากลานเปิดโล่งไป
หนานกงเหินอึ้งงัน ตอนที่เงยหน้าขึ้น สตรีผู้เย็นชาข้างกายเขามองแผ่นหลังซูหมิงเป็นครั้งแรกแล้วพลันหรี่ม่านตาลง
ยามนี้ ทางเหนือของเมืองเชมัน บนถนนการค้าที่เจริญและคึกคัก ภายในร้านค้าแห่งหนึ่ง หลันหลันมีใบหน้าโกรธเกรี้ยว อาหู่ข้างกายนางมีสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย ส่วนเด็กชายแขนขวาแห้งเหี่ยวหน้าซีดขาว เผยสีหน้าขมขื่น
ตรงหน้าพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดหรูหรา ทำสีหน้าเหยียดยามยืนอยู่คนหนึ่ง ข้างเด็กหนุ่มคนนี้มีสตรีที่แต่งงานแล้วยืนอยู่ รูปร่างนางงดงาม ใบหน้าไม่มีร่องรอยของเวลา แววตาสงบนิ่ง
ข้างหลังเด็กหนุ่มกับสตรีผู้นั้นยังมีบุรุษใบหน้าไร้อารมณ์อีกสามคน คลื่นพลังจากในตัวสามคนนี้ล้วนเป็นเชมันระดับกลาง
“เห็นๆ กันอยู่ว่าฉี่ตงชอบสมุนไพรชนิดนี้ก่อน ทั้งยังจ่ายเงินแล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงมาแย่งของคนอื่นอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้!” หลันหลันกล่าวอย่างโมโห
“ฉี่ตง ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมาเจอเจ้าที่นี่ ดูจากแขนขวาเจ้าแล้ว คงอยากจะใช้สมุนไพรชนิดนี้รักษาใช่หรือไม่ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะซื้อสมุนไพรชนิดนี้ทั้งหมดในเมืองนี้ ถ้าเจ้ามาของร้องข้า บางทีข้าอาจจะแบ่งให้สักเล็กน้อย หากเจ้าคุกเข่าโขกศีรษะข้าจะให้เจ้าหนึ่งต้น…ทว่าตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไล่พวกมันออกไป!” เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว ประโยคสุดท้ายกล่าวขึ้นกับเชมันระดับกลางด้านหลัง
“เป่ยเอ๋อร์ อย่าแกล้งคนอื่นเช่นนี้ มันเสียมารยาท ในเมื่อมันซื้อสมุนไพรนี้ไปแล้ว ก็หักขาพวกมันสามคนแล้วจับโยนไปข้างนอกก่อนค่อยให้มันเถอะ” หญิงนางนั้นกล่าวเสียงราบเรียบ ก่อนหมุนตัวไปไม่สนใจอีก แล้วมองของอื่นๆ ในร้านราวกับว่าเรื่องเล็กๆ นี้ไม่ได้น่าสนใจมากนักสำหรับนาง จึงออกคำสั่งไป ประเดี๋ยวก็มีคนทำให้เอง



