ตอนที่ 429 ล้านวิญญาณกลืนสวรรค์
พอได้ยินซูหมิงกล่าวอย่างเย็นชา นัยน์ตาสตรีนางนั้นฉายแววชั่วร้าย นางพูดถึงชนเผ่าตนแล้ว กระทั่งลดฐานะตัวเองแล้ว เพราะไม่อยากล่วงเกินคนที่ถือว่าพอจะเป็นผู้แข็งแกร่งคนนี้อย่างเปล่าประโยชน์
ถึงอย่างไรคนเผ่าแดนบูรพาก็มาเมืองเชมันไม่มากนัก กระทั่งเรื่องวันนี้ ในความรู้สึกนางก็ไม่ได้เกินเลยอะไร นางเมตตาเด็กหนุ่มฉี่ตงแล้ว ส่วนเด็กหนุ่มสาวสองคน นางจะหักขาข้างเดียวเท่านั้น ไม่ได้จะเอาชีวิต
ตอนนี้อีกฝ่ายสังหารคนเช่นนี้ นางทนไหว แต่คำพูดของเขาไร้เหตุผลและมากเกินไป
“เจ้าอย่าอวดดีให้มากนัก!” สตรีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่าเพิ่งกล่าวจบ ซูหมิงก็ส่ายศีรษะแล้วเดินเข้ามา
“ฆ่ามัน!” สตรีผู้นั้นเผยสีหน้าเหี้ยมโหดอย่างโจ่งแจ้ง ในสายตานาง ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รู้จักชั่วดี เช่นนั้นก็ต้องตัดศีรษะเอาไว้ที่นี่
“ข้าจะทุบตีเจ้า แต่เจ้าห้ามสวนกลับ…” ตอนซูหมิงเดินมา เชมันระดับกลางสองคนข้างนางตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในหมู่เชมันระดับกลางสองคนนี้ หนึ่งเป็นเชมันนักสู้ อีกหนึ่งเป็นผู้สื่อวิญญาณ ยามนี้ผู้สื่อวิญญาณกัดปลายลิ้นพ่นโลหิต โลหิตนั้นพลันกลายเป็นวิญญาณอาฆาตจำนวนมาก พุ่งตรงใส่ซูหมิงพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
ขณะเดียวกัน เชมันนักสู้สาวเท้ายาวด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งนัก ม้วนพายุคลั่งขึ้นมา บนตัวเขามีแสงสีทองขยับวิบวับปานสวมเกราะทองทั้งตัว ก่อนปล่อยหมัดใส่ซูหมิงด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
หนึ่งหมัดนี้ทำให้เกิดเสียงมวลอากาศระเบิดโดยรอบ ทั้งยังมีแรงดูดที่เหมือนปล่อยมาจากหมัด อากาศจึงบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าหมัดนี้ไม่ธรรมดา
ทันทีที่ปล่อยหมัดนี้ไป ซูหมิงเหมือนจะไม่หลบและปล่อยให้หมัดชกเข้าใส่ตัว ทว่าช่วงเสี้ยววินาทีนี้ ซูหมิงขยับตัวเบาๆ หมัดของเชมันนักสู้ทะลวงผ่านอากาศ ขณะเดียวกัน เงาร่างซูหมิงก็มาปรากฏอยู่ข้างขวาเชมันนักสู้
“เพราะหากเจ้าสวนกลับ ข้าจะลงมือให้หนัก” ซูหมิงกล่าวอนิ่งๆ มือขวาทำสัญลักษณ์มือ พลังของวิญญาณแรกในกายแผ่กระจายมาในชั่วพริบตา มือขวาเขาทำสัญลักษณ์มือหลายครั้งในพริบตาเดียว ก่อนกดตรงซี่โครงชายร่างกำยำเชมันนักสู้ ชายร่างกำยำผู้นั้นพลันตัวสั่น ใบหน้าซีดขาว ในเวลาเดียวกัน ซูหมิงดึงพลังของวิญญาณแรกกลับมา รวมพลังหมานจากการฝึกฝนร่างกายไว้ยังมือขวา กำหมัดแล้วชกเข้าไป
เชมันนักสู้กระอักโลหิต ทั้งยังกระเด็นถอยไป ไม่อยากเชื่อว่าตนจะขวางซูหมิงเอาไว้ไม่อยู่ ขณะกระเด็นถอย สีดำตรงซี่โครงเขาปรากฏตราสัญลักษณ์วงกลมพิลึก
ตราสัญลักษณ์นี้ดูดเลือดเนื้อของชายร่างกำยำ ทำให้ร่างแห้งเหี่ยวทั้งตัวด้วยความรวดเร็วในระหว่างกระเด็นถอย เมื่อถูกสัญลักษณ์วงกลมสีดำสูบจนหมดแล้วก็เริ่มน่าเปื่อยเป็นวงกว้าง
สัญลักษณ์นี้ดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วซูหมิงได้มาจากการศึกษาวิชาคำสาปในช่วงหลายวันมานี้ พลังของวิญญาณแรกจะช่วยตัดการโคจรทางเดินในร่างกายอีกฝ่าย หมัดของหมานจะหยุดการฟื้นฟูเลือดเนื้อชั่วคราว ส่วนคำสาปทำให้ตอนที่อีกฝ่ายไม่อาจโคจรระดับพลังจะไม่มีการฟื้นฟูเลือดเนื้อ และสูบทุกอย่างที่ใช้การในเติบโตในร่างกายไปประดุจระเบิด!
หมอกดำกระจายออกมาจากในตราสัญลักษณ์วงกลม ชายร่างกำยำร้องโหยหวน สีหน้าหวาดกลัว คิดจะหยุดการเน่าเปื่อยของตราสัญลักษณ์ใต้ซี่โครง ทว่ากลับยากจะทำได้ ได้แต่เพียงร้องโหยหวนอย่างน่ากลัว
“หากเจ้าลงมือหนัก ข้าจะเอาถึงตาย” ซูหมิงไม่สนใจชายร่างกำยำอีก
แต่เดินทางไปเชมันระดับกลางผู้สื่อวิญญาณ ยามนี้วิญญาณร้ายของผู้สื่อวิญญาณกำลังบินวนรอบตัวซูหมิง แต่วินาทีที่จะกระโจนเข้ามานั้น มีเสียงระฆังดังมาจากในร่างซูหมิง
เสียงระฆังดังสนั่น วิญญาณร้ายเหล่านั้นพลันร้องโหยหวน พากันถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนสิ่งใด ราวกับว่าในร่างกายซูหมิงมีสิ่งที่ทำให้พวกมันกลัวอยู่
ทว่าพวกมันยังถอยไปได้ไม่ไกลนักกลับกรีดร้อง เหมือนในตัวซูหมิงมีแรงดูดมหาศาล ดึงวิญญาณร้ายเหล่านั้นเข้ามา พริบตาเดียวก็หายเข้าไปตามรูขุมขนทั้งตัวของซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ราวรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ นี่คือพลังของระฆังเขาหานหลังจากเศียรที่หกตื่นขึ้น จะต้องดูดวิญญาณที่มากพอถึงจะมีโอกาสปลุกเศียรที่เจ็ด
อีกทั้งเมื่อหงหลัวสิ้นลงและซูหมิงฟื้นคืนสติ เขาเคยตรวจสอบระฆังเขาหานด้วย พบว่าสามเศียรที่หงหลัวกระตุ้นปลุกให้ตื่นขึ้นหลับใหลอีกครั้งเมื่อหงหลัวสิ้นลง ทว่าในความรู้สึกซูหมิง แม้สามเศียรจะหลับใหลอีกครั้งก็ปลุกขึ้นง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก
‘ดูดวิญญาณหนึ่งล้านดวง จะมีพลังเศียรที่หกของระฆังเขาหาน ล้านวิญญาณกลืนสวรรค์…’
ผู้สื่อวิญญาณเห็นกับตาว่าซูหมิงสูบวิญญาณร้ายเข้าไป อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าการเชื่อมต่อระหว่างตนกับวิญญาณถูกตัดขาด เขาพลันหน้าซีดขาว ยกมือขวาขึ้นตบไปยังศีรษะตัวเอง ก่อนมีเส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นบนศีรษะหลายเส้น
ภาพนี้ทำให้ผู้สื่อวิญญาณดูน่าสะพรึงอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับคน แต่เหมือนวิญญาณร้าย เขาส่งเสียงกรีดร้อง หมอกดำจำนวนมากออกมาจากทั้งตัว
“หากเจ้าคิดเอาถึงตาย ข้าจะให้ญาติพี่น้องเจ้าลงหลุมไปพร้อมกับเจ้า…”
ซูหมิงกล่าวช้าๆ ตอนเอ่ยคำเขาก็มาอยู่ตรงหน้าผู้สื่อวิญญาณแล้ว
ผู้สื่อวิญญาณตัวสั่นทั้งตัว
คำพูดกับความเด็ดขาดในการสังหารก่อนหน้านี้ของซูหมิงผุดขึ้นในความคิด คำพูดเนิบช้า ทว่าความหมายกลับเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่
ความรู้สึกของการใช้อำนาจนี้ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้ กระทั่งไม่อาจต่อต้าน มิเช่นนั้นแล้วจุดจบคือความตาย ศพสหายคนแรกของเขายังนอนอยู่บนพื้น สหายคนที่สองตอนนี้ร้องโอดครวญ ร่างกายเน่าเปื่อยไปมากกว่าครึ่ง…
ขณะหมอกดำโอบล้อมผู้สื่อวิญญาณ เส้นเลือดดำปูดโปนบนใบหน้า เขายกมือขวาขึ้นแล้วฟันขาขวาตัวเอง เสียงกรุบๆ ดังขึ้น ขาถูกตนฟันจนขาด เมื่อโลหิตสาดกระเซ็นก็มีหมอกดำเข้ามาอุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขาหน้าซีดขาว จับกำแพงด้านข้าง มองซูหมิงด้วยความยำเกรง
ซูหมิงหยุดมองผู้สื่อวิญญาณครู่หนึ่ง ก่อนเบนสายตามองสตรีนางนั้นที่ยามนี้มีแววตาตื่นกลัว
“ข้าเป็นหญิงของจ้าวเผ่าแดนบูรพา เผ่าของพวกข้าเป็นรองเพียงเผ่าใหญ่เท่านั้น ในชาวเผ่าที่มาเมืองเชมันในครั้งนี้มีเชมันระดับปลายอยู่ด้วย!
หากเจ้ากล้าทำร้ายข้ากับบุตร เผ่าแดนบูรพาจะไม่ปล่อยเจ้า! เจ้าต้องตายแน่!”
นางตะโกนเสียงแหลม ช่วงที่ซูหมิงมองนางและนางเอ่ยประโยคนี้ขึ้น ในมือขวานางพลันมีแสงวิบวับเด่นชัดก่อขึ้นเป็นม่านแสง ปกป้องนางกับเด็กหนุ่มที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวเอาไว้ข้างใน
ในเวลาเดียวกัน เมื่อม่านแสงปรากฏ แรงระเบิดพลันแผ่ขยายมาจากในนั้น ผู้สื่อวิญญาณขาขาดหน้าเปลี่ยนสี หมอกดำล้อมทั้งตัวเอาไว้ แล้วบินหนีไปอย่างรวดเร็ว
แทบจะเป็นตอนที่ผู้สื่อวิญญาณบินจากไป ภายในร้านค้าแห่งนี้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น เสียงนี้ดังไปไกลมากกว่าครึ่งเมืองเชมัน ทำให้คนส่วนใหญ่ในเมืองได้ยิน
ท่ามกลางเสียงระเบิดนี้ ร้านค้ากระจายเป็นเสี่ยงๆ ม้วนกระเด็นไปหลายตลบ กลายเป็นเศษจำนวนมาก อีกทั้งบนถนนเส้นนี้ยังปรากฏเป็นหลุมน่าตะลึง
ฝุ่นฟุ้งกระจาย ท่ามกลางฝุ่นขมุกขมัว เห็นสตรีกับเด็กหนุ่มถูกคุ้มกันอยู่ในม่านแสงโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ส่วนซูหมิงยืนอยู่ข้างหน้า มีสีหน้าปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ส่วนพวกหลันหลันด้านหลังถูกแสงอ่อนโอบล้อมเอาไว้ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากร้านที่ถล่มเช่นกัน
สตรีในม่านแสงจ้องซูหมิงด้วยความเคียดแค้น ยามนี้ความงามของนางหายไป ความเคียดแค้นเช่นนี้คล้ายกับจีฮูหยินในตอนนั้นเล็กน้อย
วินาทีที่เสียงระเบิดดังกังวาน บนท้องฟ้าไกลออกไปมีสายรุ้งลากยาวเข้ามาสองเส้น พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างซูหมิง เป็นบุรุษหนึ่งสตรีหนึ่ง
บุรุษคนนี้คือหนานกงเหิน ส่วนสตรี เมื่อปรากฏตัวแล้วก็มีความหนาวเยือกมาจากทั้งตัว นางคือหนานกงซาน นางจ้องแผ่นหลังซูหมิง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หนานกงเหินมีสีหน้าทะมึน กวาดสายตามองไปรอบๆ หลังจากเห็นศพเชมันระดับกลางถูกทะลวงระหว่างคิ้วแล้ว สายตาเขาหยุดชะงัก พอเห็นชายร่างกำยำร่างเน่าเปื่อยทั้งตัวทว่ายังไม่ตาย และยังคงร้องโอดครวญอยู่ เขาก็หรี่ตาลง
“สหายโม่ นี่มัน…..” หนานกงเหินลังเลครู่หนึ่ง เขาย่อมมองเห็นสตรีที่ยามนี้มีสีหน้าเคียดแค้นในม่านแสง
“หนานกงเหิน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างเผ่าแดนบูรพากับเขา!” พอสตรีนางนั้นเห็นหนานกงเหินมาแล้วก็รีบกล่าวขึ้น นางเป็นสตรีของจ้าวเผ่า มีประสบการณ์กว้างขวางมาแต่เยาว์วัย ยามนี้ย่อมมองออกว่าหากหนานกงเหินเข้ามายุ่งด้วยคงส่งผลไม่ดีกับนางมาก
“คนแซ่โม่ หากเจ้าเก่งจริงก็อย่าออกจากเมืองเชมัน ตอนนี้ข้าเปิดม่านแสงแล้ว ท่านลุงของเผ่าข้ากำลังมา ข้าอยากรู้นักว่าต่อหน้าเชมันระดับปลาย เจ้ายังจะกล้าอวดดีเช่นนี้หรือไม่! ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากประนีประนอมก็ไม่มีทางแล้ว!”
สตรีกล่าวมาทีละคำ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเคียดแค้น
หนานกงเหินมีสีหน้ามืดทะมึน หันกลับไปมองเด็กหนุ่มแขนขวาแห้งเหี่ยวแวบหนึ่ง ตอนเขารับปากกับเด็กหนุ่มคนนี้ว่าจะช่วยเปิดการฝึกฝนผู้สื่อวิญญาณ เขาก็รู้ถึงเบื้องลึกระหว่างเด็กคนนี้กับเผ่าแดนบูรพาแล้ว ทว่ากลับไม่ได้สนใจ ด้วยฐานะของวิหารเทพเชมัน เขามั่นใจว่าต่อให้เผ่าแดนบูรพารู้ก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา
แต่ตอนนี้กลับลากให้โม่ซูเข้ามาเกี่ยวด้วย จึงทำให้หนานกงเหินปวดหัวยิ่งนัก มองครั้งเดียวเขาก็รู้ถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว หากจะถอยจริงๆ คงต้องตัดขาดจากซูหมิง