Skip to content

สู่วิถีอสุรา 437

ตอนที่ 437 ตาแก่

จิตของซูหมิงมีเพียงวิญญาณเก้าหยินที่ได้ยิน ส่วนชายชราข้างกายไม่ได้ยิน ยามนี้พอรูปปั้นแม่ทัพใหญ่ที่กำลังคืนชีพได้ยินซูหมิงกล่าวจึงหันหน้ามาจ้องเขา

ขณะเดียวกัน ร่างที่กำลังจะฟื้นคืนชีพพลันหยุดชะงัก

ชายชราคนนั้นตะลึงงัน

“เจ้ามีโอสถชำระล้าง?” ซูหมิงถอยไปหลายก้าวขณะมองรูปปั้น เสียงอีกฝ่ายดังก้องในความคิดปานสายฟ้า

“จะให้ท่านคุ้มกันต้องใช้โอสถชำระล้างเท่าไร?” ซูหมิงส่งจิตไป สีหน้าเป็นปกติ

ทว่าชายชราไม่ใช่คนเขลา พอเห็นรูปปั้นมองซูหมิง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับอีกฝ่าย เพียงแต่ที่นี่ห้ามต่อสู้กัน อีกทั้งการเลือกวิญญาณเก้าหยิน จุดสำคัญไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นการยินยอมจากวิญญาณเก้าหยิน

ตอนนี้เขาจึงจ้องซูหมิงอย่างเย็นชาและเหยียดหยาม

เป็นที่รู้กันดีว่าจะเช่าวิญญาณเก้าหยินต้องใช้ผลึกเชมันมากจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะหยิบผลึกเชมันขนาดนั้นมาได้ง่ายๆ!

“ทุกเจ็ดวันต้องการโอสถชำระล้างสิบเม็ด แม้เจ้าจะมีเพียงสิบเม็ด ข้าก็จะปกป้องเจ็ดวัน หากเจ้ามีห้าเม็ด ก็สามวันครึ่ง หากมีเม็ดเดียวข้าจะปกป้องเจ้าหนึ่งวัน!”

ทันทีที่เสียงวิญญาณเก้าหยินดังในความคิดซูหมิง เขาแอบนับเม็ดโอสถชิงวิญญาณของตนครู่หนึ่ง ตอนนี้เขามีไม่ถึงยี่สิบเม็ด ทว่าหากมีวัตถุดิบที่เพียงพอก็จะหลอมขึ้นมาได้ อีกทั้งเขายังชำนาญการหลอมโอสถชนิดนี้ยิ่งนัก ผิดพลาดประมาณส่วนเดียว

“ท่านต้องการโอสถแดนใต้หรือไม่?” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่แล้วส่งกระแสจิตอีกครั้ง ใช้คำพูดลองหยั่งเชิง

“โอสถแดนใต้! เจ้ามีโอสถแดนใต้รึ?” นัยน์ตารูปปั้นยักษ์พลันเปล่งประกาย มีเสียงฮึกเหิมดังก้องในความคิด

ตัวเขาสั่นไหวเล็กน้อยและทำการฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่สายตากลับมองซูหมิง ไม่สนใจชายชราแม้แต่น้อย

“เจ้าจะทำเกินไปแล้ว ไสหัวไปให้พ้น หากมาแย่งข้าอีก…” ชายชราพลันตึงเครียดขึ้นมา ตะโกนใส่ซูหมิง ทว่ายังกล่าวไม่จบ รูปปั้นยักษ์ก็พลันยื่นมือซ้ายมาทางเขา ชายชราหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจ ก่อนถูกเหวี่ยงลงจากเขาไป

“ไสหัวไป อย่ามารบกวนการเจรจาค้าขายของข้า!” เมื่อสะบัดมือ ร่างชายชราพลันกลายเป็นสายรุ้งยาวถูกเหวี่ยงออกไปจากยอดเขาลูกสี่

“โอสถแดนใต้กับวิญญาณผา สองชนิดนี้ไม่ว่าชนิดใดก็ได้ ห้าเม็ดแลกกับการคุ้มกันเจ็ดวัน” เสียงรูปปั้นดังอื้ออึง ซูหมิงพูดถึงชื่อโอสถแดนใต้ เขาจึงตื่นเต้นยิ่งนัก เป็นที่รู้กันดีว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว และก็เคยเจอคนนำโอสถชำระล้างมา ทว่าส่วนใหญ่มีน้อยมาก อีกทั้งคุณภาพยังด้อย เห็นได้ชัดว่าได้มาจากบางแห่งในโลกเก้าหยิน

แต่ซูหมิงให้ความรู้สึกกับเขาว่ามีจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังพูดถึงโอสถแดนใต้ นี่ยิ่งทำให้วิญญาณเก้าหยินตนนี้ฮึกเหิมขึ้นมา

“ดูท่าเจ้าน่าจะเจอที่ซ่อนลับ เอาแบบนี้ หากเจ้ามีโอสถที่ดีกว่า อย่างเช่นโอสถชิงวิญญาณ ข้าขอเม็ดเดียวแล้วจะคุ้มกันให้เจ้าสิบหกวัน! หากเจ้ารู้สึกว่าพลังข้ายังไม่ตรงกับความต้องการของเจ้า เช่นนั้นบนเขาลูกที่ห้า ข้ารู้จักตาแก่คนหนึ่ง เดิมทีเขาอยู่เขาลูกหก ทว่าชั้นหกนั้น เผ่าเชมันของพวกเจ้าจำกัดพลังว่าต้องถึงชะมันระดับปลายก่อน มิเช่นนั้นก็จะขึ้นไปไม่ได้

ดังนั้นตาแก่เลยลงมาอยู่ชั้นห้าเอง…โอสถชิงวิญญาณหนึ่งเม็ด เขาจะปกป้องเจ้าสิบวัน ข้าจะช่วยเจ้าติดต่อให้ บางทีอาจได้เวลามากขึ้นอีกเล็กน้อย เงื่อนไขคือเจ้าต้องเซ่นไหว้โอสถแดนใต้กับชำระล้างให้ข้าก่อน!”

“ตาแก่ที่ท่านพูดถึงนั่นมีขั้นพลังระดับใด?” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายก่อนกล่าวขึ้น

“ถ้าวัดตามระดับพลังของเผ่าเชมัน เขาคือเชมันระดับสูงสุด” รูปปั้นยักษ์รีบกล่าว มีสีหน้าเฝ้ารอคอย

ซูหมิงใจเต้นแรง เขาอยากไปหลายที่มากในโลกเก้าหยิน อันดับแรกคือศพของจู๋จิ่วอิน และยังมีสุสานของผู้สื่อวิญญาณ ที่นั่นอาจจะมีส่วนช่วยวิชาล้านวิญญาณกลืนสวรรค์ที่ได้มาตอนปลุกเศียรที่หกของระฆังเขาหาน

นอกจากนี้ยังมีสถานที่ของพวกจิตพยากรณ์ ในเมื่อมันเป็นต้นกำเนิดของเชมันจิตพยากรณ์ ซูหมิงคิดว่าถ้าหากเป็นไปได้ก็อยากจะไปดูสักครั้ง

นอกจากนี้แล้วเป้าหมายหลักของเขาคือดอกเก้าอเวจี สิ่งนี้จะทำให้ภยันตรายเป็นตายขณะขั้นเซ่นไหว้กระดูกมหาสมบูรณ์ข้ามไปสู่ขั้นวิญญาณหมานลดน้อยลง โอกาสสำเร็จจะสูงขึ้น เป็นของที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้มา

และเขายังต้องคิดถึงปัญหาเรื่องสถานะถูกเปิดเผยอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น หากมีวิญญาณเก้าหยินเทียบเท่าเชมันระดับสูงสุดคอยปกป้อง เขาก็จะเหมือนปลาได้น้ำ…..กระทั่งออกไปสำรวจนอกเขตหนึ่งล้านลี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“ได้!” หลังขบคิดครู่หนึ่งแล้ว ซูหมิงก็พยักหน้า หยิบขวดเล็กมาจากอกเสื้อก่อนโยนไปทางวิญญาณเก้าหยินที่ฟื้นคืนชีพสมบูรณ์แล้ว วิญญาณเก้าหยินถือขวดเล็กเอาไว้ ไม่รู้ว่าตรวจสอบอย่างไรโดยที่จิตสัมผัสของซูหมิงไม่พบระลอกคลื่นใดๆ เลย จากนั้นถึงมีเสียงหัวเราะดังมาจากใต้หน้ากากของวิญญาณเก้าหยิน

“นามของข้าคือหลีหั่ว ตามสัญญาของเผ่าข้ากับเผ่าเชมัน ข้าจะทำตามคำสั่งเจ้า”

ขณะหลีหั่วหัวเราะ เขาก็เดินมาข้างนอกหนึ่งก้าว หลังจากมายืนอยู่หน้าซูหมิงแล้วก็แบกขวานสงครามยักษ์ขึ้น เสียงลากยาวดังกึกก้อง ทั้งยังมีพายุพัดจากโดยรอบ

“เจ้าหนู ขึ้นไปชั้นห้าเถอะ ข้าจะบอกเจ้าว่าตาแก่อยู่ที่ใด มิเช่นนั้นเจ้าคงหาเขาไม่เจอ” เสียงหลีหั่วดังข้างหูซูหมิง ซูหมิงก้มหน้ามองสัญลักษณ์ด้านหลังฝ่ามือแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นไปยังยอดเขาด้วยความรวดเร็ว

เขาไม่กลัวว่าหลีหั่วจะเล่นตุกติกอะไร เขายังมีพลังแห่งเทพหมานอีกหนึ่งครั้ง หนึ่งครั้งนี้ก็เพียงพอจะสร้างความน่าสะพรึงโดยที่ไม่ต้องใช้จริงๆ แล้ว

ต่อให้เป็นเชมันระดับสูงสุด ซูหมิงก็ยังทำให้หวาดกลัวได้เช่นกัน!

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหมิงมาถึงยอดเขาแห่งนี้ ตอนที่อาคมเคลื่อนย้ายส่องสว่าง เงาร่างซูหมิงหายเข้าไปในนั้นแล้วมาปรากฏตัวอยู่บนเขาลูกที่ห้า

เขาลูกนี้มีเพียงหนานกงเหิน

หนานกงเหินกำลังเดินอยู่บนภูเขา บ้างก็หยุด และหารูปปั้นสีเงินที่เขาคิดว่าพอใช้ได้อยู่ตลอด เขามองแสงจากอาคมเคลื่อนย้ายชั้นสี่แวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ยังคงตามหารูปปั้นที่มีอยู่ไม่มากบนเขาลูกนี้ต่อไป

จนกระทั่งมาถึงกลางภูเขา เขาพลันหยุดชะงัก มองบนขั้นบันไดไม่ไกลด้วยความประหลาดใจ เขาเห็นซูหมิงกำลังเดินมาอย่างช้าๆ

หนานกงเหินกะพริบตา กระแอมเสียงหนึ่งที ก่อนยิ้มให้ซูหมิง

“เมื่อครู่เห็นแสงจากอาคมเคลื่อนย้ายของเขาลูกสี่ ข้ายังคิดเดาเลยว่าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสหายโม่ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นมาเดินดูกับข้าดีหรือไม่?”

ซูหมิงเห็นหนานกงเหินแล้วก็ยิ้มประสานมือคารวะด้วยสีหน้าปกติ

“ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าต้องเจอสหายหนานกงบนชั้นห้านี้ จำได้ว่าสหานหนานกงเคยบอกว่าจะมาเลือกวิญญาณเก้าหยินที่นี่”

“ช่างน่าอาย วิญญาณเก้าหยินของเขาลูกห้านี้ ทุกตนต้องการผลึกเชมันหลายล้าน พูดตามตรงเลยว่าหากข้าไม่เตรียมมาก่อนคงไม่กล้ามาเลือกตรงนี้” หนานกงเหินยิ้มด้วยสีหน้าลำพองใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรการเลือกบนชั้นห้านี้ก็ต้องใช้ผลึกเชมันจำนวนมากจนน่าตะลึง

“มาเถอะ สหายโม่ ข้าจะแนะนำให้ วิญญาณเก้าหยินตนนี้ เจ้าจะเห็นว่าเกราะเขามีอำนาจบีบบังคับอยู่ แต่อาวุธกลับเป็นดาบโค้ง วิญญาณตนนี้น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องป้องกัน ส่วนการต่อสู้กลับด้อยกว่าวิญญาณเก้าหยินตนอื่นๆ เล็กน้อย” หนานกงเหินชี้รูปปั้นรูปหนึ่งแล้วอธิบายให้ซูหมิงฟัง

ตอนที่ซูหมิงมองไป มีเสียงหึของหลีหั่วดังเบาๆ ข้างหู

‘สหายเจ้าคนนี้รู้ไม่จริง ความคมดาบโค้งของถาข่า ต่อให้เป็นข้าก็ยังลำบากเล็กน้อย กลับกัน เกราะของเขาตัวนี้ธรรมดามาก’

หนานกงเหินชี้มือตลอดทาง และเอามือกดบนรูปปั้นเหล่านั้นเพื่อดูราคาสูงสุด ซูหมิงยังคงยิ้ม ไม่กล่าวอะไรมากนัก ข้างหูเขามีเสียงของหลีหั่วกล่าวค้านหนานกงเหินตลอด จนสุดท้ายก็เหยียดหยามมากยิ่งขึ้น

“แม้สหายโม่จะเซ่นไหว้ของชั้นห้าไม่ได้ มาดูไว้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ความรู้ไปบ้าง นึกถึงตอนนั้นข้าเองก็มาทีเดียวชั้นห้าเหมือนกัน” ขณะหนานกงเหินกล่าวก็มาอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา มีรูปปั้นสองรูปตั้งอยู่

รูปปั้นสองรูปนี้ หนึ่งเล็กอีกหนึ่งใหญ่ รูปใหญ่สูงสี่สิบกว่าจั้ง รูปเล็กสูงยี่สิบจั้ง ในมือไม่ถืออาวุธใดๆ ดูธรรมดายิ่งนัก ส่วนรูปใหญ่ถือทวนยาว ดูยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา

หนานกงเหินกดมือบนรูปปั้นทั้งสองตัว ผ่านไปครู่หนึ่งนัยน์ตาเขาขยับประกาย มองรูปปั้นสี่สิบกว่าจั้งด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“สหายโม่ดูวิญญาณตนนี้ ราคาเขาต้องการผลึกเชมันสามหมื่นสองพันต่อวัน เป็นวิญญาณที่แพงสุดในนี้แล้ว ทว่าเจ้าอย่ามองว่ามันแพง วิญญาณตนนี้จะต้องแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน!

เจ้าดูวิญญาณข้างๆ เขาสิ แม้ราคาเพียงสองหมื่นต่อวัน ทว่า….ข้าจะไม่เลือกเด็ดขาด!” เดิมทีหนานกงเหินยังลังเลใจ แต่เห็นซูหมิงอยู่ด้วยจึงมีสีหน้าเด็ดขาด

“ข้าเลือกตนนี้!” ขณะกล่าวเขาก็วางมือบนรูปปั้นอีกครั้ง

‘โง่เขลา แม้ซู่ฮันจะอยู่ชั้นห้า กลับไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุด สหายเจ้าคนนี้ช่างโง่เขลา รูปปั้นข้างเขาต่างหากที่เป็นตาแก่บ้าที่แกร่งที่สุดในนี้ ตาแก่นั่นทำให้อีกฝ่ายเด่นกว่า จากนั้นก็ข่มขู่ซู่ฮันให้ตั้งราคาสูงขึ้น เจ้าคอยดูเถอะ ของเซ่นไหว้ที่ซู่ฮันได้จะต้องแบ่งให้ตาแก่เท่าไร!

เจ้าหนู คนที่ข้าบอกคือเขานี่แหละ เขาวางมือบนตัวเขา แล้วข้าจะพูดกับเขาเอง!’

เสียงหลีหั่วดังข้างหูซูหมิง ซูหมิงฝืนยิ้มมองหนานกงเหินแวบหนึ่ง รู้ว่าเตือนไปอีกฝ่ายคงไม่ฟัง จึงเดินมายังรูปปั้นที่สูงเพียงยี่สิบจั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!