Skip to content

สู่วิถีอสุรา 45

ตอนที่ 45 อายุสิบหกในปีนั้น

ในใจซูหมิงค่อนข้างตึงเครียด สาเหตุคือนอกจากอีกฝ่ายจะเป็นจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬแล้ว นางยังเป็นผู้อาวุโสของไป๋หลิง อีกทั้งยังมีเรื่องการคาดเดาและวิเคราะห์กับท่านปู่ขณะเดินทางมาเผ่าร่องลมอีกด้วย

“ผู้เยาว์ซูหมิง คารวะจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬ” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งตัวคารวะยายเฒ่าด้วยความเคารพ

ยายเฒ่าจ้องซูหมิงด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้อื่นโดยรอบเงียบลง แม้แต่ผู้นำทางจากเผ่าร่องลมยังมองมาทางซูหมิง กระทั่งสือไห่ที่ปรารถนาจะรีบจากไปโดยเร็วยังต้องชะงักฝีเท้า ก่อนมองมาอย่างประหลาดใจ

ในความคิดของเขา ซูหมิงเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ในกายไม่มีพลังจากโลหิตดำรงอยู่ เขามองเพียงแค่แวบหนึ่งก่อนละสายตาจากไป แล้วไม่สนใจเรื่องของทั้งสองเผ่าเล็กอีก เพียงแต่ในใจร้อนรนเพราะเขาตามหาหมานชั่วร้ายผู้ที่หลอมโอสถพิสดารมานานแล้ว ทว่าก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไร เมื่อหลายวันก่อนจ้าวหมานยังถามถึงเรื่องดังกล่าว ทำให้สือไห่ไม่รู้ว่าจะตามหาอย่างไรดี

“หรือว่าหมานชั่วร้ายจะออกจากที่นี่ไปแล้ว…เฮ้อ จะให้ข้าไปตามหาที่ไหนกัน!”

เหลยเฉินที่อยู่ข้างซูหมิงถลึงตามองยายเฒ่า แม้เขาจะยำเกรงจ้าวหมานเผ่าร่องลม ทว่าสำหรับยายเฒ่าคนนี้ กลับไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย

เป่ยหลิงขมวดคิ้วมองซูหมิง นัยน์ตาฉายประกายปีติยินดี

เขานึกไม่ถึงเลยว่าซูหมิงจะล่วงเกินเผ่ามังกรทมิฬ

“ผ่านมาหลายปี เจ้าโตถึงขนาดนี้แล้ว…” ยายเฒ่าจ้องซูหมิงอยู่นาน ก่อนกล่าวขึ้นเรียบๆ จากน้ำเสียงฟังไม่ออกเลยว่าโกรธหรือยินดี

ซูหมิงตึงเครียดยิ่งกว่าเก่า ยืนอยู่ที่เดิมไม่ทราบว่าควรกล่าวอย่างไรดี เขาในยามนี้รู้สึกได้เลยว่าแทบจะเป็นเป้าสายตาของทุกคนโดยรอบ ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่ค่อยได้ประสบนัก จึงยังไม่อาจปรับตัวได้

ไป๋หลิงที่อยู่ด้านหลังยายเฒ่ามีใบหน้าซีดขาว มือทั้งสองข้างจับชายเสื้อเอาไว้ ส่วนซือคงที่อยู่ข้างกายดูลำพองใจ จ้องซูหมิงอย่างเคียดแค้น

“น่าเสียดาย…” ยายเฒ่ามองซูหมิง ก่อนกล่าวต่อเรียบๆ ว่า “ปู่ของเจ้าเพียงเลี้ยงเจ้าให้เติบโตเท่านั้น แต่กลับไม่ได้สั่งสอนเจ้า ทำให้เจ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักความพอประมาณ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร!” ยายเฒ่ากล่าวเพียงเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงกลับเสียดสี ดูไม่สมกับตำแหน่งจ้าวหมานของนางเอาเสียเลย

ซูหมิงใบหน้าซีดขาว จุดอ่อนที่สุดในใจของเขาคือตรงนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ทำให้ซูหมิงกัดริมฝีปาก ไม่กล่าวสิ่งใด

“ท่านปู่!” ไป๋หลิงเห็นซูหมิงมีใบหน้าขาวซีด พลันเจ็บปวดหัวใจ จึงกล่าวขึ้นพลางมองยายเฒ่าด้วยแววตาโกรธเคือง

เหลยเฉินที่อยู่ข้างซูหมิงถลึงตามองทันที เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ยามนี้เห็นซูหมิงถูกเหยียดหยามจึงเกิดโทสะ คิดจะเข้าไปเอาเรื่อง ทว่าในขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้า ยายเฒ่ากลับมองมา นัยน์ตาขยับประกายแสงแวบหนึ่ง ทำให้เหลยเฉินพลันชะงักไปทั้งตัว ขณะนั้นเองผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วขึ้น แล้วสาวเท้าเข้ามา

ช่วงที่ย่ำฝีเท้าลง ราวกับว่าทั้งตัวผู้นำกองรักษาการณ์แปลกไป มีพลังรวดเร็วและดุดันแผ่ขยายมาจากตัวของเขา และโอบล้อมรอบกาย เหลยเฉินได้ยินเสียงดังก้องกังวานรอบตัว สีหน้าขาวซีด ถอยหลังไปหลายก้าว

“ท่านจ้าวหมาน ให้อภัยรุ่นเยาว์เผ่าเขาทมิฬของข้าเถิด อย่าทำเช่นนี้เลย” ผู้นำกองรักษาการณ์มีสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวขึ้นเรียบๆ

แทบจะเป็นช่วงเดียวกับที่เขาก้าวเดินออกมา ชายร่างกำยำด้านหลังยายเฒ่าพลันแหงนหน้าและก้าวออกมาเช่นเดียวกัน ก่อนระเบิดพลังที่แข็งแกร่งกว่าผู้นำกองรักษาการณ์เล็กน้อย

ซานเหินที่เงียบขรึมมาโดยตลอด ตาทั้งสองข้างหรี่ลงขยับประกายแสงเย็นเยือก จ้องมองชายร่างกำยำแห่งเผ่ามังกรทมิฬราวกับอสรพิษ

สถานการณ์ถึงจุดเดือดแล้ว!

สือไห่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะหยัน ในความคิดของเขาเดิมทีทั้งสองเผ่าต่างก็เป็นเผ่าเดียวกันเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทว่าตอนนี้กลับเป็นเช่นนี้ เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้ขัดขวาง เพียงแต่ยืนมองความบันเทิงอยู่ตรงที่เดิม

ซูหมิงก้มหน้าลงนิ่งเงียบ เหลยเฉินข้างกายยังคงมีโทสะไม่จางหายแม้จะหวาดกลัว ทว่าขณะกำลังจะกล่าว กลับเห็นซูหมิงจับแขนของเขาเอาไว้

เหลยเฉินตะลึงอยู่สักครู่ ซูหมิงค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น สีหน้ายังคงซีดขาว รูปร่างผอมบางราวกับลาซูที่ไม่อาจเติบโตได้อีกชั่วนิรันดร์ ใบหน้าเยาว์วัย ไม่เคยผ่านร่องรอยของกาลเวลา ไม่เคยผ่านความอ้างว้างจากลมพายุพัดผ่าน เขายังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง

ดวงตาของเขาใสสะอาดและโปร่งใส ไม่มีสิ่งเจือปนมากนัก กัดริมฝีปากล่างมองยายเฒ่าแห่งเผ่ามังกรทมิฬ ก่อนคลายมือจากแขนของเหลยเฉิน แล้วก้าวเดินไปเบื้องหน้า

ซูหมิงในยามนี้ยังคงตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนโดยรอบ ทว่าเขาไม่สนใจ ก้าวเดินทีละก้าว ผ่านเหลยเฉิน ผ่านผู้นำกองรักษาการณ์ จนอยู่ห่างหน้ายายเฒ่าเพียงหนึ่งจั้ง

เขายืนอยู่ตรงนั้นและมองยายเฒ่าอย่างสุขุม

“ข้าไม่รู้จักความพอประมาณ ไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ในสายตาของท่านก็ไม่มีคุณสมบัติหรือตำแหน่งอะไรทั้งนั้น…แต่ ท่านปู่เคยบอกกับข้าว่า ฝนที่ตกจากฟากฟ้า สิ่งที่เจ้าเห็นจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อน้ำฝนหยุดแล้ว เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่ามันมีเท่าไร…ดินเลนสกปรกบนพื้น เจ้าได้เห็นเพียงแค่เปลือกนอก แต่ไม่เห็นภายใน…ปีนี้ ข้าอายุสิบหก…” ซูหมิงก้มหน้ากล่าวขึ้นเสียงเบา เมื่อกล่าวจบจึงหมุนตัวเดินจากไปอย่างช้าๆ

เหลยเฉินที่เดินตามหลังซูหมิงหันกลับไปถลึงตาใส่ยายเฒ่าอีกครั้ง พร้อมกับทำเสียงหึ ส่วนผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหินเห็นยายเฒ่าไม่กล่าวอะไรจึงถอยกลับ ก่อนพาเป่ยหลิงและอูลาเดินตามผู้นำทางจากเผ่าร่องลมไป

ยายเฒ่ามองตามหลังของซูหมิง ขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตาประกายแสงที่ผู้อื่นไม่อาจเข้าใจได้ ก่อนหมุนตัวเดินจากไป

“ไป๋หลิง กลับไปกับข้า” ไป๋หลิงมองเงาซูหมิงเดินห่างไกลออกไป ในใจสับสน เมื่อได้ยินเสียงของท่านยายแล้ว จึงเดินตามจากไปอย่างเงียบๆ

การเยี่ยมเยือนทุกครั้ง แต่ละเผ่าจะถูกเชิญให้เข้ามาในเมืองหินโคลน จากนั้นจะแบ่งที่พักกันตามที่กำหนดเอาไว้จนกระทั่งการเยี่ยมเยือนสิ้นสุดลง เผ่าเขาทมิฬจะได้อยู่ทางทิศใต้ของเมือง เป็นบ้านขนาดใหญ่ที่เชื่อมเรือนเข้าด้วยกันเก้าหลัง มีรั้วไม้กั้นรอบสี่ทิศ ทำให้ที่นี่ดูเหมือนถูกแยกออกมาอยู่เพียงลำพัง

ยามนี้ ณ เรือนแห่งหนึ่งในเก้าหลัง คนที่มาจากเผ่าเขาทมิฬทั้งหมดต่างรวมตัวกันอยู่ในเรือนแห่งนี้ นั่งขัดสมาธิและกำลังฟังคำพูดของผู้นำกองรักษาการณ์ที่นั่งอยู่ด้านบน

“ประชากรเผ่าร่องลมมีมากกว่าเผ่าเขาทมิฬของพวกเรามากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นักรบหมานที่พวกเขามีจะต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเราหลายขุม อีกทั้งเผ่าร่องลมยังเป็นจ้าวปกครองแดนแปดทิศโดยรอบ

การคารวะส่งเครื่องบรรณาการหนึ่งครั้งแทบจะทำให้เผ่าร่องลมครอบครองสมุนไพรทั้งหมดในแถบนี้ กระทั่งเทวรูปหมานยังมีมากมายหลายองค์!” ผู้นำกองรักษาการณ์กวาดสายตามองทุกคนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เผ่าขนาดกลางไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเขาทมิฬอย่างพวกเราจะเปรียบได้ นักรบหมานจากเผ่าร่องลม ข้าไม่รู้ว่ามีจำนวนแน่ชัดเท่าไร แต่ดูแล้วน่าจะมีหลายร้อยคนอย่างแน่นอน!”

“นักรบหมานพวกนี้มีสมุนไพรที่เพียงพอ มีเทวรูปหมานที่ได้รับสืบทอดพลังแตกต่างกัน ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าขนาดเล็กจะเทียบเคียงได้ การฝึกพลังของพวกเขาเร็วกว่าพวกเรา ทั้งยังมีปัจจัยภายนอกที่ดีกว่า กระทั่งอัตราการปรากฏขึ้นของอัจฉริยะในแต่ละรุ่นยังล้ำหน้าเหนือกว่าพวกเรา”

“ในช่วงเวลานี้ข้ากับซานเหินจะปล่อยพวกเจ้าเป็นอิสระ ที่พาพวกเจ้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อให้ได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเผ่าขนาดกลาง และได้พบกับผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกันจากเผ่าร่องลม! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะหาเพื่อนใหม่จากที่นี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าร่องลมหรือว่าเผ่าอื่นก็ตาม นอกจากเผ่าภูผาดำศัตรูคู่แค้นของเราแล้ว พวกเจ้าสามารถหาเพื่อนได้จากทุกเผ่า”

ผู้นำกองรักษาการณ์กล่าวถึงตรงนี้ จึงมองไปทางซูหมิงที่เงียบขรึมตลอด กวาดสายตาไปบนตัวเขา

“ขณะเดียวกัน ข้าก็หวังให้พวกเจ้าสังเกตผู้มีพรสวรรค์รุ่นเดียวกันจากเผ่าอื่นด้วย หาความต่างและเป้าหมายของตนให้พบ…และพวกเจ้าจงจำเอาไว้ ห้ามต่อสู้กันโดยพลการในเผ่าร่องลมเป็นอันขาด!”

“แต่ก็วางใจได้ เพราะข้อนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่พวกเราเท่านั้น เผ่าอื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน นอกจากนี้แล้ว พวกเจ้าจะต้องอยู่ในเผ่าร่องลมกันอีกสักระยะ เพราะการเยี่ยมเยือนทุกครั้ง เผ่าร่องลมจะจัดงานประลองครั้งใหญ่

หากได้ลำดับสูงมันจะส่งผลดีกับพวกเจ้า เป่ยหลิง เจ้าอยู่ในเผ่าร่องลมมาหลายปี คงจะเข้าใจที่นี่มากที่สุด เช่นนั้นเจ้าก็มาแนะนำผู้แข็งแกร่งในรุ่นเดียวกันจากเผ่าร่องลมสักเล็กน้อย”

เป่ยหลิงนั่งอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหยักหน้ารับ

“ในเผ่าร่องลมมีผู้แข็งแกร่งเยอะมาก โดยเฉพาะรุ่นเดียวกันกับพวกเรา มีอยู่เจ็ดคนที่เราต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ…หนึ่งในนั้นคือเยี่ยวั่ง คนนี้…”

ขณะเป่ยหลิงกำลังกล่าวอธิบาย ซูหมิงที่นั่งอยู่ตรงมุมยังคงเงียบขรึมตลอด คำพูดของยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬทำให้เขาไม่สบายใจ แม้จะตรงมาที่นี่ทันทีเลยก็ตาม ทว่ามันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ซูหมิงหลับตาลงกำหมัดแน่น

“ซูหมิง!” น้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้น ซูหมิงหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นซานเหินผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ที่นั่งอยู่ข้างหลังตน

“เหตุใดจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬถึงได้พูดเช่นนั้นกับเจ้า?” ซานเหินมองซูหมิงอย่างสงบนิ่ง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่มีอะไร” ซูหมิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะกล่าวขึ้น

ซานเหินขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววแปลกใจ ขณะกำลังจะกล่าวต่อ พลันแหงนหน้ามองไปนอกเรือน ขณะนั้นผู้นำกองรักษาการณ์ก็มองไปเช่นเดียวกัน พบว่าเป็นผู้นำทางแห่งเผ่าร่องลมอายุราวสามสิบปีกำลังตรงเข้ามาอย่างว่องไว

“ใครคือซูหมิง จ้าวหมานเรียกหา เชิญมากับข้า!”

ซูหมิงงุงงง ยันกายขึ้นมองไปทางผู้นำกองรักษาการณ์ เห็นเขาพยักหน้าเล็กน้อย จึงเดินออกจากเรือนไปยืนอยู่หน้าคนจากเผ่าร่องลม

“ข้าคือซูหมิง” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

เขามองสังเกตซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวจากไป ซูหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตามเขาไป ขณะเดินออกจากเรือนก็มีเสียงเป่ยหลิงดังตามหลังมา

“งานประลองในครั้งก่อนมีคนเข้าร่วมประมานหนึ่งร้อยคน แต่ว่าอันดับห้าสิบแรกแทบจะเป็นคนจากเผ่าร่องลมทั้งหมด…โดยเฉพาะสิบอันดับแรก ตามที่ข้าเข้าใจ ห้าสิบปีมานี้ไม่เคยมีเผ่าอื่นปรากฏเลยแม้แต่สักครั้ง…การประลองในปีนี้ เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนเดิม พวกเจ้าจงจำเอาไว้ ครั้งนี้ต้องร่วมมือกันให้ข้าติดหนึ่งในห้าสิบให้ได้! ขอแค่ข้าติดหนึ่งในห้าสิบ แม้จะเป็นปลายแถวก็ตาม ทว่ามันก็เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของพวกเราเผ่าเขาทมิฬ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!