Skip to content

สู่วิถีอสุรา 457

ตอนที่ 457 บุ่มบ่าม?

ศีรษะยักษ์สีแดงฉาน เคราปลิวไสวพร้อมกับเส้นผมยาวของซูหมิง ร่างกายสีแดงและยังมีดวงตาดุร้าย มันส่งเสียงคำรามดังสนั่น ทำให้กลุ่มคนบนผืนปฐพีล้วนเงียบกริบ

แรงกดดันมหาศาลกระจายมาจากตัวมังกรสีแดงฉาน ยามนี้มันร้องคำราม แรงกดดันจากร่างใหญ่ยักษ์ทำให้ลมหายใจของทุกคนจะแข็งค้าง

หวั่นชิวแห่งเผ่าทะเลใบไม้ร่วงอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ในใจนางรู้ดีว่าตนไม่มีทางเรียกมังกรสีแดงฉานทรงพลังตัวนี้ได้ แต่มังกรตัวนี้บินออกมาเอง!

เห็นมังกรส่งเสียงคำรามและลอยอยู่ใต้เท้าของโม่ซู ทั้งยังเห็นแววตาสงบนิ่งใต้หน้ากากของโม่ซู ทันใดนั้น ความสงสัยและคาดเดาในใจหวั่นชิวพลันชัดเจนขึ้น!

เทียนหลันเมิ่งเหม่อมองซูหมิง มองเขายืนอยู่บนตัวมังกรสีแดงฉาน ความคิดนางพลันขาวโพลน บรรพบุรุษเทียนหลันด้านหลังยามนี้เบิกตากว้าง มีสีหน้าเหลือเชื่อ

ส่วนเถี่ยมู่ก็เช่นเดียวกัน เขาสูดลมหายใจด้วยความตะลึง

มองซูหมิง มองมังกรแดงฉานใต้เท้าอีกฝ่าย ทั้งยังเห็นผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันกระเด็นถอยไปเมื่อครู่ มิหนำซ้ำยังแขนขวาระเบิดกระจุย กระทั่งด้วยขั้นพลังของเขาจึงมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ชัด

ในใจเถี่ยมู่สั่นสะเทือน ปานเกิดลูกคลื่นยักษ์ เขาพลันรู้สึกว่าอ่านโม่ซูคนนี้ไม่ออกเลย โดยเฉพาะนึกถึงตอนเขาสู้กับโม่ซูเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขายังนึกโชคดีที่ว่าตนในตอนนั้นไม่ได้คิดจะสังหารอีกฝ่าย

มิเช่นนั้นแล้ว…

สายตาที่เถี่ยมู่มองซูหมิงมีความกลัวและความเคารพเพิ่มเข้ามา

หนานกงเหินมีสีหน้ามึนงงในกลุ่มคนบนพื้น เรื่องราวเปลี่ยนไปเร็วยิ่งนัก ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้เขามองมังกรสีแดงฉาน มองโม่ซูบนตัวมังกร หนานกงเหินมีความรู้สึกมึนงง และสงสัยว่าทุกอย่างนี้คือมายาหรือความจริงกันแน่

หากเป็นความจริงเขาคงเหลือเชื่อ และหากเป็นมายา แขนขวาที่ระเบิดกระจุยของผู้อาวุโสวิหารเทพเชมัน และยังมีสีหน้าขาวซีดและหวาดกลัว เหตุใดถึงสมจริงขนาดนั้น…..

โดยเฉพาะตอนที่มังกรแดงฉานปรากฏตัว ร้องคำรามพร้อมกับมาอยู่ใต้เท้าซูหมิงนั้น หนานกงเหินมองซูหมิง ภาพตรงหน้าเขาเหมือนซ้อนทับกับตำนานในตอนนั้น คล้ายกับเงาแผ่นหลังที่เขาเคยเห็นมาก่อน

เขาหายใจกระชั้นมากขึ้น ขณะนัยน์ตาสับสนก็มีความฮึกเหิม

ตรงมุมไกลออกไป ท่ามกลางสายตาของผู้คน ยามนี้มีสายตาคู่หนึ่งแฝงไว้ด้วยความแค้น นางเป็นสตรีคนหนึ่ง สตรีผู้เย็นชาปานน้ำแข็ง!

‘เป็นเจ้าจริงๆ…..ทว่าเจ้าตอนนี้อ่อนแอกว่าตอนนั้นมาก…..’

หนานกงซานกำหมัดงามแน่น กัดฟัน ทว่านางเข้าใจดี ต่อให้อีกฝ่ายอ่อนแอกว่าตอนนั้นมาก ตนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี โดยเฉพาะอภินิหารหลากชนิดเมื่อครู่ ไม่อยากเชื่อว่าจะทำลายแขนขวาของผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันได้ คนที่ทำแบบนี้ได้มีเพียงเชมันระดับสูงสุดเท่านั้น

บนท้องฟ้า ซูหมิงก้มหน้าลง ข้างหูมีเสียงแก่ชราดังกังวาน เสียงนี้คนนอกไม่ได้ยิน มีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้

“เหลือโอกาสอีกสองครั้ง เจ้าต้องให้โอสถชิงวิญญาณข้าหนึ่งเม็ด…..หากจะให้สังหาร หนึ่งคนต่อหนึ่งเม็ด…..”

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองมังกรสีแดงฉานใต้เท้าแวบหนึ่ง เขาคุ้นเคยกับมังกรตัวนี้ ในความทรงจำของหงหลัว เขาสร้างมังกรตัวนี้ขึ้นมาจากปราณปฐพีและมอบชีวิตให้มัน ต่อมาเพราะหงหลัวต้องไปจากโลกนี้เลยพามันไปด้วยไม่ได้ จึงมอบให้กับหวั่นชิว……

ซูหมิงไม่ได้ตื่นตะลึงกับการปรากฏตัวของมันมากนัก ความจริงแล้วตอนสู้กับผู้อาวุโสวิหารเทพเชมัน เขาก็รู้สึกถึงความโกรธแค้นของมังกรตัวนี้จากหวั่นชิวแล้ว

มันถูกสร้างโดยหงหลัว หงหลัวถูกผนึกในร่างซูหมิง แม้จะตายไปแล้ว แต่ก่อนตายได้มอบวิชาหนทางสู่ชีวิตให้ ก็เท่ากับมอบมรดกให้ซูหมิง ฉะนั้นแม้ว่าซูหมิงจะไม่ใช่หงหลัวเจ้านายของมัน ทว่าในความรู้สึกของมังกรแดงฉานตัวนี้….ก็แทบจะไม่ได้ปฏิบัติอะไรต่างกับเจ้านายของมันเลย

ช่วงที่สัมผัสถึงภยันตรายต่อซูหมิง มันก็ทะลวงออกจากตราสัญลักษณ์แล้วปรากฏร่างจริงขึ้น

ซูหมิงละสายตาจากมังกรแดงฉาน ก่อนมองผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันที่อยู่ห่างจากตนหนึ่งร้อยจั้งและมีใบหน้าขาวซีด สีหน้ายังคงตื่นตะลึงและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

การโจมตีน่าสะพรึงเมื่อครู่นี้ ซูหมิงเรียกชายชราเชมันระดับสูงสุดของชั้นห้าออกมา ผู้แข็งแกร่งระดับนี้เพียงนิ้วเดียวก็บีบให้ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันถอยไปได้ อีกทั้งแขนขวายังระเบิด!

หนึ่งนิ้วเมื่อครู่นี้สร้างเป็นระลอกคลื่นบิดเบี้ยวโดยรอบ ฉะนั้นนอกจากซูหมิงกับชายชราแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมองเห็นไม่ชัด พวกเขาเห็นเพียงซูหมิงพึมพำ จากนั้นชายชราที่คว้ามือเขามาก็ร้องโหยหวน แขนขวาระเบิดพร้อมกระเด็นถอยไป

เพราะไม่รู้ เพราะความลึกลับ เพราะมีมังกรแดงฉานคำรามออกมา และยามนี้ซูหมิงให้ความรู้สึกอ่านไม่ออกดุจเหวลึก ฉะนั้นในสายตาของแทบทุกคน ซูหมิงในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม

“ตอนนี้ข้าแกร่งกว่าเจ้า” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันหน้าซีดแล้วกล่าวช้าๆ

ชายชราหน้าเปลี่ยนสี ยามนี้ในใจเขายังคงสั่นไหว เมื่อครู่นี้เขารู้สึกถึงภยันตรายถึงชีวิต ดีที่นิ้วนั้นกดตรงกลางฝ่ามือเขา หากกดตรงระหว่างคิ้ว เขาเชื่อว่าตนในตอนนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน แม้แต่วิญญาณยังหนีไม่พ้น

เพราะนิ้วนั้น….น่ากลัวจริงๆ!

“เจ้ายังอยากจะแย่งหินสีแดงของแซ่โม่อีกหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

“เจ้าเป็นใครกันแน่!” ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันหน้าแดงอมดำ มองซูหมิงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับความตื่นตะลึงและหวาดกลัวในใจ ก่อนกล่าวด้วยความหนักแน่นโดยไม่สนใจแขนขวาที่เป็นแผลเหวอะหวะ

“โม่ซู” ซูหมิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ยามนี้ทุกคนโดยรอบเงียบกริบ สายตาจำนวนมากล้วนจับจ้องตน ทำให้เขาเห็นท่าทีของผู้คนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เรื่องในวันนี้เป็นข้าเองที่บุ่มบาม เช่นนั้น…..” ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันยากจะเอ่ย คำพูดเช่นนี้เขาพูดได้ไม่คล่องนัก เพราะเขาจำไม่ค่อยได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ต้องพูดทำนองนี้คือเมื่อไร

“บุ่มบ่าม?” นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา ตบเท้าขวาบนตัวมังกรแดงฉานเบาๆ และส่งกระแสจิตเข้าไป นี่คือครั้งแรกที่เขาควบคุมมังกรแดงฉานจึงไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร ในความทรงจำ หงหลัวก็ควบคุมมังกรแดงฉานด้วยการส่งกระแสจิตเช่นนี้

“คำว่าบุ่มบ่ามสองคำนี้ ก็คือการแย่งหินของแซ่โม่อย่างไม่หวั่นเกรงผู้ใดรึ?” ยามซูหมิงส่งกระแสจิต มังกรแดงฉานคำรามดังยิ่งขึ้น ก่อนวาดหางผ่านชายร่างกำยำวิญญาณหยินกับร่างแยกของซูหมิงกับหุ่นเชิดศพพิษไป

การคำนวณแรงของมันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หลังจากวาดหางใส่แล้ว ผนึกรอบตัวพวกเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วแตกกระจายโดยที่ไม่ส่งผลกระทบถึงข้างในเลย

“คำว่าบุ่มบ่าม คือการใช้ขั้นพลังมาตัดสินความเป็นตายของแซ่โม่รึ?” เสียงระเบิดดังกังวานขณะซูหมิงกล่าว ราวกับผสานเข้าด้วยกัน เหมือนเสียงซูหมิงกลายเป็นฟ้าผ่า ขณะเสียงนี้ดังสนั่น ชายร่างกำยำวิญญาณหยินเป็นอิสระ เขาเดินมาอยู่ข้างหลังซูหมิง สายตาที่มองมามีความตื่นตะลึงอยู่

ที่เขาตื่นตะลึงไม่ใช่เพราะตาแก่ของเผ่าเขาลงมือ แต่เป็นเพราะมังกรแดงฉานใต้เท้าซูหมิง เขารู้สึกว่ามังกรตัวนี้แข็งแกร่งมาก กระทั่งมากกว่าระดับพลังของเขาตอนนี้

ร่างแยกซูหมิงขยับตัวมายืนอยู่ข้างหลังซูหมิง ศพพิษก็ขยับวูบวาบมาอยู่ข้างซูหมิงเช่นนั้น

“ในเมื่อบุ่มบ่าม เช่นนั้นวันนี้แซ่โม่ก็ขอบุ่มบ่ามสักครั้ง” ซูหมิงยกมือขวาชี้ไปยังผู้อาวุโสวิหารเทพเชมัน มังกรแดงฉานพลันพุ่งทะยานไปยังชายชราพร้อมกับเขาด้วยความเร็วสูง

ชายชราหน้าเปลี่ยนสี คิดจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่กลับไม่ทัน จึงห้อเหยียดถอยไปอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้เขาเร็วกว่านี้อีกก็ไม่เร็วเท่ามังกรแดงฉาน พริบตาเดียว ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันก็ถูกแรงถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้ากระพือพึ่บพั่บ

ทันใดนั้น ราวกับมีเสียงถอนหายใจดังกังวานฟ้าดิน ตรงหน้ามังกรแดงฉานและตรงหน้าชายชราวิหารเทพเชมัน ระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งมังกรสิบจั้ง พลันปรากฏแสงสว่างจ้าละลานตา เงาคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในแสงนั้น

เงาคนนี้ไม่ทราบหน้าตาและอายุ หลังจากปรากฏตัวแล้วก็ยกมือขวาขึ้น แสงสว่างจ้ารอบตัวเขาพลันถูกรวมอยู่ในมือเงาคน ทำให้มือเขาประดุจกำดวงตะวัน ฟ้าดินในยามรุ่งอรุณนี้จึงสว่างจ้าขึ้นมาราวกลางวัน

เงาคนเหมือนขยับช้าๆ ทว่าความจริงแล้วเขากดมือไปทางมังกรแดงฉานด้วยความเร็วอย่างยิ่ง

มังกรแดงฉานส่งเสียงคำราม แสงสีแดงขยับวิบวับทั้งตัวก่อนปะทะกับมือขวาของเงาคน เสียงระเบิดดังสนั่นก้องทุกสารทิศ ซูหมิงตัวสั่นเทา มังกรแดงฉานใต้เท้าเขาถูกหยุดนิ่ง

หากแต่เงาคนเมื่อครู่นี้ก็ใช้แรงไปทั้งหมดแล้วเหมือนกัน ยามนี้แม้ทำให้มังกรแดงฉานหยุดนิ่ง ตัวเขากลับถอยไปหลายก้าว แสงรอบตัวค่อยๆ หายไป กลายเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าขาว มีจุดเด่นคือดวงตาเรียวยาวหางตางอน

“สหายโม่หยุดมือได้หรือไม่ ให้แซ่ไป้ได้พูดก่อนเถิด” ชายวัยกลางคนยิ้มเจื่อนพลางกล่าวเสียงเบา

หลังจากเขาปรากฏตัว ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันลอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนประสานมือคารวะบุคคลนี้ด้วยความนอบน้อม

“คารวะท่านประมุขวิหารใต้ดิน”

“สหายโม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้แซ่ไป้เพิ่งรู้วันนี้ แต่สหายโม่กลับทำให้ข้านับถือมานาน….ท้าสู้กับผู้แข็งแกร่งเชมัน ผนึกจงเจ๋อแห่งทะเลใบไม้ร่วง ทั้งเผ่าเชมันไม่มีใครไม่รู้…น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือหลังจากนั้นมา สหายโม่ก็ไม่เคยปรากฏตัวอีก…..วันนี้ได้เห็นสหายโม่นับว่าโชคดียิ่งนัก” ชายวัยกลางคนมองซูหมิง ยิ้มประสานมือคารวะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!