Skip to content

สู่วิถีอสุรา 459

ตอนที่ 459 แดนฝังกระดูก

‘ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้คือหาที่สงบๆ เพื่อนั่งฌาน จากนั้นก็ใช้น้ำหวานดอกไม้ในตัวผึ้งพิษมาเพิ่มขั้นพลัง หรือไม่ก็เปิดหินสีแดง! เพียงแต่ว่าในตัวผึ้งพิษมีน้ำผึ้งอยู่หรือไม่…แม้ข้าคิดว่าน่าจะมี ทว่าก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีเช่นกัน หากมีละก็ หลังจากกินไปแล้วต้องปิดด่านฝึกฝนสักระยะ

หากมีข้าคนเดียวคงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้พาหลันหลันกับอาหู่มาด้วย…’ ซูหมิงยืนอยู่บนตัวมังกรแดงฉาน ก่อนก้มหน้ามองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีสีหน้าตึงเครียดและตื่นเต้นแวบหนึ่ง

‘ช่างเถอะ ข้าพอจะเข้าใจการเปิดจุดฝึกฝนดูดวิญญาณอยู่บ้าง มันไม่ได้มีอันตรายมากนัก แค่เสียเวลาไปบ้างก็เท่านั้น…’ ซูหมิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วพลิกมือขวา พลันปรากฏแผนที่ไม้สองแผ่นในมือ สองแผ่นนี้หนึ่งได้มาจากหนานกงเหิน อีกหนึ่งได้มาจากหมัวไป้ประมุขวิหารใต้ดิน

หลังจากเทียบกันแล้ว อย่างหลังละเอียดกว่ามาก อีกทั้งยังมีเค้าโครงคร่าวๆ ของนอกระยะหนึ่งล้านลี้ด้วย

ตรงขอบทางตะวันออกนอกระยะหนึ่งล้านลี้ โดยมีสัญลักษณ์เมืองเชมันเป็นศูนย์กลางบนแผนที่ บริเวณนั้นมีเขตพื้นที่ราวหลายหมื่นลี้ ด้านบนวาดเป็นกระดูกสัตว์ยักษ์ กระดูกนี้มีลักษณะเหมือนงู แม้จะวาดกระดูกแบบง่ายๆ ก็ยังดูน่าสะพรึงอยู่บ้าง

‘จุดฝังกระดูกของจู๋จิ่วอิน…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาเก็บแผนที่สองแผ่น แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะมังกรแดงฉาน หลับตาลงและเริ่มกำหนดลมหายใจ

การเปิดการฝึกฝนดูดวิญญาณนั้นแท้จริงแล้วง่ายมาก ขอแค่มีคนที่มีคุณสมบัติผู้ดูดวิญญาณเข้าไปใกล้จุดฝังกระดูก และสัมผัสถึงจิตใจที่ยังคงอยู่ของจู๋จิ่วอิน

ยิ่งรู้สึกจิตนี้มากเท่าไร จะยิ่งช่วยยกระดับพลังในภายภาคหน้ามากเท่านั้น จุดนี้เหมือนกับพิธีชี้นำหมานของเผ่าหมาน เพียงแต่ว่าการฝึกฝนของเผ่าหมานสืบทอดกันเป็นระบบมาเนิ่นนาน และเป็นอิสระแล้ว ฉะนั้นท่านปู่ของแต่ละชนเผ่าจึงปฏิบัติแทนได้ ส่วนเผ่าเชมัน โดยเฉพาะผู้ดูดวิญญาณ ผู้สื่อวิญญาณ และจิตพยากรณ์สามอย่างนี้ต้องสืบทอดในโลกเก้าหยิน จึงไม่มีใครมาปฏิบัติแทน ต้องมาที่นี่เองเพื่อสัมผัสด้วยตัวเอง

มังกรแดงฉานทะยานอยู่บนท้องฟ้าตลอดทาง เดิมทีมันมีชีวิตจากปราณปฐพี พูดได้ว่าตัวมันอยู่ระหว่างความจริงกับมายา ประสาทสัมผัสเฉียบคมอย่างยิ่ง จึงรับรู้ถึงอันตรายทุกอย่าง ฉะนั้นขณะเดินทางอยู่นี้จึงมีอยู่สามครั้งที่ซูหมิงไม่ต้องเตือน มันก็เปลี่ยนทางทางเพื่ออ้อมหรือไม่ก็หลบหลีกเอง

รอบตัวหลันหลันกับอาหู่มีม่านแสงอ่อนนุ่มคุ้มกันหนึ่งชั้น ม่านแสงนี้ทำให้ทั้งสองคนไม่รู้สึกถึงพายุหมุนรุนแรง ตอนอยู่บนหลังของมังกรแดงฉาน พวกเขามักจะมองลงไปข้างล่างเป็นบางครั้ง พอเวลาผ่านไป ความตื่นเต้นบนใบหน้าค่อยๆ ลดน้อยลง แต่กลับรู้สึกตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

พวกเขารู้ว่าสิ่งที่ต้องเผชิญต่อไปนี้คือเรื่องสำคัญที่มาในครั้งนี้ นั่นคือเพื่อให้ได้การยอมรับจากเจตนารมณ์ของจู๋จิ่วอิน และเปิดการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณ!

ก่อนมาที่นี่ จ้าวเชมันของพวกเขาเคยพูดด้วยว่า ในประวัติศาสตร์เผ่าเชมัน ใช่ว่าคนที่มีคุณสมบัติดูดวิญญาณทุกคนจะได้รับการยอมรับจากเจตนารมณ์ของจู๋จิ่วอิน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นถึงไม่ได้รับการยอมรับจากจู๋จิ่วอินและไม่อาจฝึกฝนดูดวิญญาณ สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางการฝึกฝน หรือไม่ก็เป็นคนธรรมดาไปชั่วชีวิต

แม้คนแบบนี้จะมีไม่เยอะ ทว่าก็มีจริงๆ จึงทำให้หลันหลันกับอาหู่ตึงเครียด ยิ่งใกล้แดนฝังกระดูกของจู๋จิ่วอินมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากเท่านั้น

หลายวันต่อมา ช่วงที่เผ่าเชมันส่วนใหญ่ในเมืองเชมันยังคงเข้าร่วมงานพนันสมบัติต่อ ตรงทางตะวันออกของเมืองเชมัน บนน่านฟ้าตรงขอบระยะหนึ่งล้านลี้ มีสายรุ้งสีแดงฉานขยับวิบวับอยู่ในชั้นเมฆ และกลายเป็นมังกรแดงฉานยาวหลายพันจั้งบินวนอยู่บนท้องฟ้า

ซูหมิงนั่งอยู่บนตัวมังกรแดงฉาน ยามนี้ลืมตาขึ้น แววตาเขาปานสายฟ้า ขยับวูบวาบพลางมองผืนดินข้างล่าง

แผ่นดินโอบล้อมด้วยหมอก โดยรอบเป็นเทือกเขาลักษณะวงกลมล้อมเขตนี้เอาไว้ หมอกในเทือกเขาลอยเนิบๆ ลอยขึ้นและลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดไปชั่วนิรันดร์…ท้องฟ้าภายในเขตนี้ดูมืดครึ้มกว่าที่อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ชั้นเมฆหนาให้ความรู้สึกหนักอึ้ง

ซูหมิงมองอยู่นอกเขตนี้ไม่นานก็มีไอหนาวพัดตลบเข้ามา ทันทีที่กระทบใบหน้า ซูหมิงหรี่ม่านตาลง เขาเห็นชั้นเมฆบนท้องฟ้าของเขตนี้มีหยดน้ำฝนตกลงมาตามการเคลื่อนไหวของลมหนาว

ฝนตกไม่หนักมาก แต่เมื่อตกลงมากลับกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้ไอหนาวรุนแรงยิ่งขึ้น

นี่คือแดนลึกลับในระยะหนึ่งล้านลี้ ตอนนี้นอกจากเสียงน้ำฝนตกใส่หมอกแล้วก็ไม่มีเสียงใดอีก ทุกอย่างสงบนิ่ง ทว่าในความเงียบสงบนี้ พลันมีเสียงเบาๆ ลอยออกมาจากหมอกที่ซูหมิงเพ่งมองอยู่

“ไอร้อน…..คือบิดา…..”

เสียงนั้นแก่ชราและเลื่อนลอยราวกับพึมพำ ส่งเสียงก้องกังวาน ทำให้หมอกค่อยๆ แผ่ขยายสู่ข้างนอก ตอนที่ได้ยินเสียงนั้น ซูหมิงรู้สึกว่ายามนี้หนอนงูพิลึกในระฆังเขาหานตัวสั่น เขาหน้าเปลี่ยนสี พลันมองไปยังหมอกหนาที่มาของเสียง

ภายในหมอกไม่เห็นเงาใดๆ ขณะฝนตกลงไป ทุกหยาดน้ำฝนจะทำให้หมอกค่อยๆ หายไปทีละนิด ทว่าขณะเดียวกันก็มีหมอกเกิดขึ้นมาจากจุดอื่นๆ อีกครั้ง ทำให้หมอกบริเวณนี้คงอยู่ไปตลอด

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงก็ละสายตากลับ มองหลันหลันกับอาหู่ ทั้งสองคนนี้เหมือนมิได้ยินเสียงนั้น กระทั่งมังกรแดงฉานเพียงแค่บินวนรอบๆ อย่างต่อเนื่อง สายตาจ้องหมอกในแดนนี้ นอกจากนี้แล้วก็ไม่ตอบสนองอะไรอีก ราวกับว่าเสียงนี้มีแค่ซูหมิงที่ได้ยิน

นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ตอนที่เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสไปยังแดนแห่งนี้ มันกลับหายไปประดุจก้อนหินตกน้ำ ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ก่อนเดินลงจากมังกรแดงฉาน หลังจากนั้นมังกรพลันกลายเป็นตราสัญลักษณ์สีแดงประทับอยู่บนแขนเขา

ส่วนหลันหลันกับอาหู่ ซูหมิงก็สะบัดชายเสื้อพาทั้งสองคนกลายเป็นสายรุ้งยาวลงมายังแผ่นดิน ซูหมิงไม่เลือกบินบนท้องฟ้า เพราะที่นี่คือแดนต้นกำเนิดผู้ดูดวิญญาณที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเผ่าเชมัน เขาจึงระวังตัวอย่างยิ่ง

หลังจากถึงพื้น หลันหลันกับอาหู่หน้าซีดขาวเล็กน้อย ดูตื่นกลัวอย่างชัดเจน พวกเขาตามหลังซูหมิงมาติดๆ และเดินหน้าไปอย่างเงียบๆ ภายใต้ความเงียบสงบ ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ

เมื่อเหยียบบนเทือกเขา ลมหนาวพัดเข้ามาพร้อมกับฝนน้ำแข็ง ตกใส่ตัวจนเปียกชื้น จึงทำให้หนาวปานทิ่มแทงเข้ากระดูก

ทว่าที่แปลกคือแผ่นดินที่นี่มีไอร้อนแฝงอยู่ หลังจากเหยียบบนพื้นจะมีไอร้อนทะลวงผ่านใต้เท้าขึ้นมาและไหลผ่านเข้าสู่ร่างกาย

เมื่อเป็นเช่นนั้น ในร่างกายของทุกคนจึงมีการปะทะกันระหว่างความร้อนกับความหนาว หลันหลันกับอาหู่หน้าขาวซีด เดินตัวสั่นตามซูหมิงไป ไม่นานก็มาถึงยอดเทือกเขา พวกเขายืนอยู่ตรงนั้น ลมหนาวรุนแรงยิ่งขึ้น

ด้านล่างพวกเขาเป็นแดนอบอวลไปด้วยหมอก และก็เป็นแดนฝังกระดูกของจู๋จิ่วอินในระยะหนึ่งล้านลี้พอดี

“เตรียมตัวพร้อมรึยัง” ซูหมิงยืนบนเทือกเขานอกแดนหมอกม้วนตลบ เขาไม่หันกลับไปมอง เพียงมองหมอกแล้วกล่าวเรียบๆ นี่เป็นประโยคแรกหลังจากเขามาถึงที่นี่

“พะ…พร้อมแล้ว ผู้อาวุโส!” อาหู่กัดฟัน แม้ยังตัวสั่นกลับมีสีหน้าแน่วแน่

“ข้าก็พร้อมแล้วเหมือนกัน…” หลันหลันกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า

ซูหมิงไม่กล่าวอีก แต่เดินหน้าหนึ่งก้าว ทั้งตัวดิ่งลงสู่ในหมอก หลันหลันกับอาหู่รีบตามหลังมาติดๆ ตอนแรกยังเห็นเงาหลังทั้งสามคนในหมอก ทว่านานเข้า เมื่อเดินไปเรื่อยๆ หมอกพลันไหลเชี่ยว เหมือนกับปากใหญ่เขมือบทั้งสามคนเข้าไป

ช่วงที่เหยียบเข้าหมอก ซูหมิงหยุดชะงักเล็กน้อย

มีเสียงแก่ชราดังมาจากในหมอกอีกครั้ง เสียงนี้เหมือนกับก่อนหน้านี้ คล้ายพึมพำเบาๆ และก้องกังวาน ทำให้หมอกม้วนตัวดุจไม้กระดานโต้คลื่นบนผิวทะเล

“ความหนาว…..คือมารดา…..”

วินาทีที่ซูหมิงได้ยินประโยคนี้ หนอนงูในระฆังเขาหานตัวสั่นแล้วเงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้อง เสียงร้องของมันแฝงไว้ด้วยความอ้างว้าง ราวกับว่ามันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

เสียงนั้นเหมือนกับเด็กทารกถูกมารดาทอดทิ้ง เมื่อยามค่ำคืนมาถึงและเห็นว่าไม่มีเงาคนคุ้นเคย เด็กทารกผู้นั้นเลยส่งเสียงร้องเรียกด้วยความเศร้าสร้อยและอ้างว้าง…..

เพียงแต่ว่าเสียงนั้นดังก้องในระฆังเขาหาน ไม่ได้ดังออกมาข้างนอก

ซูหมิงใจสั่นไหว เขาเคยคาดเดาเกี่ยวกับหนอนงูพิลึกตัวนี้มาตั้งนานแล้ว จนกระทั่งเจอกับจงเจ๋อเชมันดูดวิญญาณระดับสูงสุดแห่งเผ่าทะเลใบไม้ร่วง

ตอนจงเจ๋อรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของมันและหลุดปากมาว่าจู๋จิ่วอิน ซูหมิงก็เลยเกิดความสงสัย

ทว่ายามนี้ เมื่อเขาเห็นหนอนงูตัวสั่นและยังร้องด้วยความอ้างว้าง ความลังเลเขาหายไป ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าต่อให้หนอนงูตัวนี้ไม่ใช่จู๋จิ่วอิน ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับจู๋จิ่วอินแน่นอน!

หลันหลันกับอาหู่ข้างหลังยังคงไม่ได้ยินอะไร พวกเขาเห็นเพียงเงาหลังของซูหมิง ส่วนโดยรอบก็เป็นหมอกขมุกขมัว

เพราะเหตุนี้ในใจพวกเขาจึงเกิดความกลัวและตึงเครียด ยิ่งเดินเข้าไปหมอกลึกเท่าไร ความรู้สึกก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

“สิ่งนี้คือหยินหยาง…..ฟ้าเป็นบิดา ดินเป็นมารดา…..สิ่งนี้คือหยินหยาง…..” ขณะพวกซูหมิงเดินหน้าต่อ ก็มีเสียงที่มีเพียงซูหมิงคนเดียวที่ได้ยินดังกังวานอีกครั้ง

ครั้งนี้ เสียงร้องในระฆังเขาหานเศร้าโศกและอ้างว้างมากยิ่งขึ้น

หลังจากเงาพวกซูหมิงสามคนหายเข้าไปในหมอก ราวครึ่งชั่วยามต่อมา นอกกลุ่มหมอกบนเทือกเขามีมวลอากาศบิดเบี้ยว ชายสวมเสื้อคลุมดำเดินออกมาจากด้านใน นัยน์ตาคนผู้นี้ฉายแววลังเลใจ ทว่าไม่นานนัยน์ตาก็ขยับประกาย ก่อนเหยียบหายเข้าไปในหมอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!