ตอนที่ 460 ศพของจู๋จิ่วอิน
นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว มีสีหน้าตื่นตัวอย่างยิ่ง หลังจากเดินไปหลายก้าว เขาเห็นเงาสีขาววูบผ่านอยู่ในหมอกไกลๆ เงาสีขาวนั้นรวดเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็หายไปไร้เงา เหลือเพียงหมอกม้วนตลบและไม่มีเสียงใดๆ อีก
ซูหมิงหยุดชะงัก ไม่ใช่แค่เขาที่เห็นเงาขาวนี้ หลันหลันกับอาหู่ก็เห็นเช่นกัน พวกเขาสองคนพลันตึงเครียดขึ้นมา ไม่กล้าห่างจากซูหมิงไปไกล เดิมตามไปติดๆ
“ผู้อาวุโส….นะ…นั่นคืออะไร?” หลันหลันกล่าวเสียงเบา
“ข้าเหมือนเห็นสตรีคนหนึ่ง…” อาหู่กำหมัดแน่น จ้องไปยังจุดที่เงาสีขาวปรากฏตัวเมื่อครู่
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ยกมือขวาขึ้นสะบัดไปข้างหน้า พลันมีเสียงคำรามต่ำแว่วออกไป ก่อนปรากฏเป็นเงาชายร่างกำยำวิญญาณหยินสูงสามสิบจั้งกว่า
หลังจากชายร่างกำยำปรากฏตัว เขาก็ใช้มือขวาคว้าอากาศ พลันมีแสงสีแดงขยับวิบวับ จากนั้นรวมขึ้นเป็นขวานสงครามสีแดง ขวานนี้เหมือนกับขวานที่สลายหายไปตอนสู้กับผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันก่อนหน้านี้
เขากำขวานในมือแล้วหันกลับมามองซูหมิงแวบหนึ่ง
“ภารกิจของเจ้าคือปกป้องเด็กสองคนนี้” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า
ชายร่างกำยำพยักหน้า หลังจากกวาดสายตามองหลันหลันกับอาหู่แล้วก็มองไปรอบๆ
ทุกคนเดินหน้าต่อไป มุ่งหน้าสู่ใจกลางของหมอก ตรงใจกลางนั้นก็คือโครงกระดูกของจู๋จิ่วอิน
หลังจากมาถึงที่นี่ หลันหลันกับอาหู่จะสามารถเข้าใกล้โครงกระดูกนี้และสัมผัสถึงเจตนารมณ์ที่เหลืออยู่ของมัน หากได้รับการยอมรับก็จะสำเร็จการทดสอบในครั้งนี้
ซูหมิงฟังมาจากหนานกงเหินว่าการทดสอบนี้ความจริงแล้วไม่ได้ยากอะไรมากนัก อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก การเปิดโลกเก้าหยินครั้งก่อนๆ ล้วนมีคนที่มีคุณสมบัติดูดวิญญาณมาที่นี่ไม่น้อย
ภายในหมอกไม่มีอันตรายอะไร จริงๆ แล้วอันตรายที่สุดของการทดสอบครั้งนี้คือระหว่างทางและสหายร่วมเดินทาง ทว่าซูหมิงมาถึงนี่เร็วมาก คนอื่นๆ ล้วนอยู่ในงานพนันเมืองเชมัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีอันตรายอะไรมาก
ทว่าเหตุการณ์ในป่าทึบพิลึกเมื่อหนึ่งเดือนก่อน และยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายหลังจากนั้น ทำให้เห็นว่าโลกเก้าหยินในครั้งนี้เหมือนจะต่างไปจากเมื่อก่อน
ที่ๆ เดิมทีปลอดภัยกลับเกิดอันตรายถึงชีวิต เมื่อเป็นเช่นนั้นที่นี่ก็คงจะเช่นเดียวกัน
หลังจากพวกซูหมิงเดินเข้ามาในหมอกราวหนึ่งชั่วยาม ทันใดนั้น ตรงหน้าเขาปรากฏเงาสีขาววูบผ่านไกลๆ อีกครั้ง นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ ทว่าไม่ได้ตามไป
แต่หลันหลันกับอาหู่หวาดกลัวยิ่งขึ้น ทั้งสองคนจับมือกัน และต่างรู้สึกถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ซึมออกมากลางฝ่ามือของอีกฝ่าย
ขณะนั้น ตรงระหว่างคิ้วซูหมิงขยับแสงสีดำ ก่อนปรากฏกระบี่เล็กฟันไปยังด้านหลังอาหู่กับหลันหลัน วินาทีที่กระบี่ฟันลง หมอกด้านหลังเด็กหนุ่มเด็กสาวพลันโหมซัดสาด หมอกรูปกรงเล็บสัตว์ยื่นออกมาปะทะกับกระบี่เล็ก เสียงสนั่นดังขึ้น ช่วงที่กรงเล็บสัตว์ถูกฟันจนขาดสะบั้นกลายเป็นหมอกหายไป ชายร่างกำยำวิญญาณหยินยิ้มเยาะแล้วเหวี่ยงขวานสงครามออกไป ขวานสงครามกลายเป็นสายรุ้งยาวทะลวงเข้าไปในหมอก จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนดังแว่วมาจากไกลๆ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก หลันหลันกับอาหู่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
ซูหมิงมีสีหน้าตึงเครียด เดินมาอยู่ตรงหมอกนั้นแล้วมองทอดไกล จากนั้นมองลงพื้นก่อนสะบัดแขนเสื้อ หมอกบริเวณนั้นพลันแผ่กระจายออกโดยรอบ เผยให้เห็นก้อนเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือบนพื้นดินเหนียวสีดำ ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าชวนอาเจียน
ซูหมิงจ้องก้อนเนื้อนั้นพลางขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงแก่ชราดังแว่วมาจากในหมอกอีกครั้ง ครั้งนี้ชัดเจนกว่าครั้งก่อนๆ ไม่น้อย ราวกับอยู่ใกล้ขึ้นมาก
“สายเลือดจู๋อิน ตาซ้ายเป็นตะวัน ตาขวาเป็นหยาง หลับตาฟ้ามืด ลืมตาฟ้าสว่าง…”
ขณะเสียงนั้นดังขึ้น หนอนงูพิลึกในระฆังเขาหานร้องเสียงดังกว่าเดิม เสียงมันกังวานในระฆัง พอซูหมิงได้ยินก็เงียบงัน
“ไปกันเถอะ” ซูหมิงไม่สนใจก้อนเนื้อบนพื้นอีก พาหลันหลันกับอาหู่รวมถึงวิญญาณเก้าหยินที่ตามอยู่ด้านหลังเดินเข้าไปยังส่วนลึกของหมอกต่อ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ตลอดทางพวกเขาถูกลอบโจมตีเช่นนี้อีกหลายครั้ง ดีที่มีชายร่างกำยำวิญญาณหยินอยู่ด้วย จึงสกัดการลอบโจมตีจากในหมอกได้ทุกครั้ง
หลายชั่วยามต่อมา ไม่รู้ว่าท้องฟ้านอกแดนแห่งนี้เป็นยามกลางวันหรือกลางคืน ทว่าจากการคาดเดาเวลา ตอนนี้น่าจะเป็นยามกลางคืนแล้ว ซูหมิงกำลังพาหลันหลันกับอาหู่เดินหน้าไป ภายในหมอกตรงหน้าเขาค่อยๆ ปรากฏเงามืดใหญ่ยักษ์
เงามืดนี้สูงพันจั้ง อำพรางตัวแน่นิ่งอยู่กลางสายหมอก มองแวบแรกคล้ายสิ่งก่อสร้าง อีกทั้งยังมีความรู้สึกบอกไม่ถูกอบอวลอยู่รอบๆ ความรู้สึกนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความอึดอัด ซูหมิงเพ่งมองเงามืด ทันใดนั้นหลันหลันก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
ซูหมิงรีบหันกลับไปมองในทันที เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสไปได้ไม่ไกลนักที่นี่ ไปได้เพียงหลายจั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงสังเกตเห็นเพียงการโจมตีของสัตว์ในหมอกเหล่านั้น ทว่าไกลกว่านั้นต้องใช้ตาเนื้อมอง
ยามนี้เขามองตามสายตาหวาดกลัวของหลันหลันไป ก็พบว่าในหมอกตรงจุดที่พวกเขาเดินผ่าน ห่างไปราวสิบกว่าจั้ง มีเงาร่างสวมเสื้อคลุมขาวเหมือนนั่งอยู่บนก้อนหินและหันหลังให้พวกเขา กำลังสะอื้นไห้เบาๆ ตรงนั้น
เสียงสะอื้นไห้ดังกังวานในหมอกเงียบสงบ
ชั่วขณะที่เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้น แววตาหลันหลันดูสับสน อาหู่ข้างกายก็เช่นกัน ราวกับขาดสติไปแล้ว
ซูหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ขณะกำลังจะทำอะไรบางอย่าง พลันมีเสียงสะอื้นไห้ดังแว่วมาจากทางขวาของเขาอีกหนึ่งเสียง
ตอนที่มองไป ก็เห็นว่าในหมอกทางขวาห่างไปหลายสิบจั้งมีเงาสีขาวหันหลังให้ตนอีกหนึ่งคน เห็นเพียงเส้นผมยาวและกำลังร้องไห้อยู่
ซูหมิงถูกเสียงร้องไห้รบกวนจนกระวนกระวาย ยามนี้แค่นเสียงหึแล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว ทะยานตรงไปยังเงาสีขาวทางขวา ส่วนชายร่างกำยำวิญญาณหยิน ซูหมิงก็ส่งกระแสจิตให้เขากระทืบเท้าขวาลงพื้น ทำให้รอบตัวหลันหลันกับอาหู่ปรากฏม่านแสงคุ้มกันเอาไว้ภายใน ก่อนเดินไปยังเงาสวมเสื้อคลุมขาวด้านหลังพร้อมกับควงขวานอย่างรวดเร็ว
ซูหมิงขยับตัววูบไหว ร่างแยกมาปรากฏอยู่ทางซ้ายเขา ศพพิษปรากฏอยู่ทางขวา หลังจากเข้าถึงเงาร่างคนสีขาวในชั่วพริบตา เสียงร้องไห้ก็ดังชัดเจนขึ้นอีก
ทว่าทันทีที่เขาเข้าไปใกล้ เงาคนชุดขาวพลันหมุนตัวกลับ เผยใบหน้างดงามอย่างยิ่งซึ่งเพียงพอจะทำให้คนจิตใจหวั่นไหว เพียงแต่ว่าตอนนี้นางกลับกรีดร้องแหลม เสียงร้องอื้ออึงกลายเป็นคลื่นเสียงตรงเข้าใส่ซูหมิง
ขณะเดียวกัน สตรีชุดขาวพลันตัวพองบวมก่อนถูกฉีกแยกออกมาจากข้างใน กลายเป็นเลือดเนื้อสีดำ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งพร้อมกับลอยมาทางซูหมิง
วินาทีที่เลือดเนื้อตรงเข้ามา ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ห้านิ้วมือคว้าอากาศ มีพายุหมุนรวมอยู่กลางฝ่ามือในทันใด หมอกโดยรอบก็ม้วนตัวเข้ามา ก่อนอัดฝ่ามือไปยังเลือดเนื้อก้อนนั้น
ต่อมาร่างแยกเขาขยับแสงสีดำวูบวาบ กระบี่เล็กขยายออกกลายเป็นกระบี่ใหญ่แล้วฟันผ่านเลือดเนื้อไป ส่วนมือขวาก็ทำสัญลักษณ์มือติดต่อกันหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายถึงกดไปยังก้อนเลือดเนื้อ
ศพพิษจู่โจมแบบง่ายที่สุด เขาไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย เพียงแค่อ้าปากแล้วพ่นหมอกพิษที่ดูไม่ต่างอะไรกับหมอกโดยรอบ หมอกนี้ปานมีชีวิต หลังจากถูกพ่นมาแล้วก็กลายเป็นงูเล็กๆ เก้าตัวพุ่งออกไปด้วยความดุร้าย
ทุกอย่างเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา ปะทะเข้ากับเลือดเนื้อที่ตรงเข้ามา เพียงแต่ช่วงที่พวกมันปะทะกัน เลือดเนื้อรวมกันกลางอากาศและกลายเป็นใบหน้าสตรี ใบหน้านั้นดูดุร้าย ยังไม่ทันที่อภินิหารของซูหมิงจะมาถึง ตัวมันก็ลุกไหม้แผดเผาด้วยเปลวเพลิงเอง
ชั่วพริบตาเดียวก็เผาไหม้จนกลายเป็นควันลอยหายไป
ซูหมิงละสายตาและหันกลับไปมอง ด้านหลังกับรอบตัวล้วนเป็นหมอก ไม่มีชายร่างกำยำ ไม่มีหลันหลันกับอาหู่…
โดยรอบเงียบสงัดนัก ยังคงมีเสียงสะอื้นไห้ดังวนเวียนอยู่รอบๆ เสียงนั้นดังมากขึ้นเรื่อยๆ หลายลมหายใจต่อมาก็เหมือนมีสตรีอยู่นับไม่ถ้วนในหมอกนี้
“อ่อนหัด!” ซูหมิงแค่นเสียงหึขึ้นจมูก พยายามระงับความกระวนกระวายในใจ หลังจากสงบลงแล้วก็ยกมือขวาขึ้น กลางมือมีแสงสว่าง กระบองเขี้ยวปรากฏขึ้นในมือทันใด
ซูหมิงควงกระบองเขี้ยวจนส่งเสียงดังหวืดๆ กระบองนี้มีขนาดยาวขึ้น พริบตาเดียวก็ยาวสิบกว่าจั้ง ทั้งยังมีความหนาหนึ่งจั้ง ซูหมิงกระโดดลอยขึ้นพร้อมกับคำรามเสียงต่ำ ขณะเดียวกันก็ควงกระบองออกเป็นรูปพัดก่อนฟาดลงผืนดินอย่างแรง
“จงเปิด!” ชั่วขณะที่ซูหมิงกล่าวพร้อมกับฟาดกระบอง กระบองพลันขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า ตอนที่ฟาดลงไปก็ยาวเกือบหนึ่งร้อยจั้งกว้างหลายจั้งแล้ว ตัวซูหมิงเองก็มีเส้นเลือดดำปูดโปน กระดูกหมานในกายเปล่งแสงสีทอง
เสียงโครมดังสนั่น กระบองยักษ์ฟาดลงพื้นอย่างแรง ส่งผลให้แผ่นดินสะเทือน ทั้งยังทำให้หมอกปานทะเลบนพื้นราวกับถูกแหวกออกอย่างรุนแรงด้วยสองมือใหญ่ และม้วนถอยออกสองข้างโดยมีกระบองเขี้ยวเป็นใจกลาง
พริบตาเดียว ผืนดินในระยะหลายร้อยจั้งก็ไม่มีหมอกอีก ซูหมิงเห็นชัดว่าชายร่างกำยำวิญญาณหยินกำลังตัวสั่นและต่อสู้ดิ้นรนอยู่ไกลๆ ตรงหน้าเขามีลูกตาขนาดหลายสิบจั้งหนึ่งดวง ลูกตาดวงนี้มีพลังดูดวิญญาณ ตรงกลางเปิดออกประดุจปากใหญ่ กำลังดึงให้ชายร่างกำยำวิญญาณหยินก้าวเข้าไปช้าๆ
ข้างหลังวิญญาณหยินเป็นม่านแสงที่ใกล้จะพังทลาย นอกม่านแสงนั้นมีเงาร่างคนชุดขาวจำนวนมากกำลังสะอื้นไห้เสียงแหลมและโจมตีใส่อย่างต่อเนื่อง ในม่านแสงนั้น หลันหลันกับอาหู่มีใบหน้าขาวซีด สีหน้าสิ้นหวังและหวาดกลัว
ไกลออกไปอีกในระยะหลายร้อยจั้ง จากการที่หมอกม้วนตัวออก จึงเผยให้เห็นโครงกระดูกยักษ์สูงหนึ่งพันจั้งอย่างชัดเจน!
โครงกระดูกดูเหมือนส่วนหางของร่างงูเหลือมยักษ์ ศพนี้เน่าเปื่อยไปมากกว่าครึ่งแล้ว มีเพียงเกล็ดส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่ ตอนที่มองไป ความยาวของกระดูกมองไม่เห็นในแวบเดียว ทว่าเพียงแค่ส่วนหางยังน่าตะลึงขนาดนี้ หากเป็นทั้งตัวก็เกรงว่าคงไม่อาจจินตนาการได้
“จู๋จิ่วอิน…” ซูหมิงหรี่ม่านตาลง หนอนงูพิลึกในระฆังเขาหานส่งเสียงร้องดังถึงขีดสุด!