Skip to content

สู่วิถีอสุรา 464

ตอนที่ 464 กว้างไกลไร้ขอบเขต

ซูหมิงห้อเหยียดอยู่ในเส้นทางเลือดเนื้ออันมืดมิด กลิ่นเน่าเหม็นโดยรอบชวนคลื่นเหียนอาเจียน พอหายใจนานเข้าก็ยิ่งรู้สึกง่วงนอน

ซูหมิงกัดปลายลิ้นให้ตนตื่นอยู่ตลอดและเร่งความเร็วขึ้น ถึงอย่างไรจู๋จิ่วอินตัวนี้ก็ตายแล้ว ความอันตรายจึงลดลงมาก ห่างไกลกับตอนยังมีชีวิตยิ่งนัก ทว่าเขาก็ยังคงตื่นตัว หากไม่ใช่เพราะทนเห็นหนอนงูถูกกินไม่ได้ เขาจะไม่มีทางเข้ามาในที่อันตรายเช่นนี้เป็นอันขาด

ซูหมิงพุ่งทะยานไปตลอดทาง กระทั่งยังเห็นศพเน่าเปื่อยจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงนี้มาไม่รู้กี่ปี ศพเหล่านี้เหมือนกับจู๋จิ่วอิน มันไม่เน่าเปื่อยทั้งหมด แต่พอเห็นสภาพน่ากลัวของพวกมันแล้วก็ต้องตกตะลึง

อีกทั้งถ้ามองจากตำแหน่งของศพเหล่านี้ เหมือนจะไม่เคยขยับตัวมาก่อน พอนึกถึงอุปสรรคในการเข้ามาในตัวจู๋จิ่วอิน นัยน์ตาซูหมิงก็เพ่งสมาธิมอง

‘หรือว่าหลังจากจู๋จิ่วอินตายแล้ว จะไม่มีเคยมีใครเข้ามาในตัวมัน….’

โดยรอบเงียบสงัด นอกจากฝีเท้าของซูหมิงแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นอีก กระทั่งลมยังไม่มี ต่อให้ซูหมิงใช้ความเร็วมากขึ้นอีกก็ยังไม่เกิดลมแผ่วขึ้น

เหตุการณ์พิลึกเช่นนี้ทำให้ซูหมิงตื่นตัวยิ่งขึ้น อีกทั้งที่นี่ยังร้อนอบอ้าวนัก

ซูหมิงจึงเริ่มมีเหงื่อออก ด้วยความที่เขาอยู่ในธารน้ำแข็งมานาน ความจริงแล้วในร่างกายเขาจึงมีไอหนาวอยู่ไม่น้อย

ไอหนาวนี้ทำให้ซูหมิงไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนจนเหงื่อออกมานานมาก ทว่าที่นี่ไอหนาวกลับหายไปอย่างต่อเนื่อง จนเหงื่อไหลตามมา

เขาห้อเหยียดตลอดทาง นอกจากส่วนโครงกระดูกจากศพเน่าเปื่อยพวกนั้น ซูหมิงยังเห็นกระดูกสีขาวเรียงกันแน่นขนัด กระดูกเหล่านั้นส่วนใหญ่ย่อยสลายไปไม่น้อยแล้ว ที่เหลืออยู่คือกระดูกสีดำทึบ อีกทั้งจากลักษณะแล้วไม่เหมือนคน แต่เหมือนสัตว์ร้าย

กระทั่งซูหมิงยังเห็นสิ่งของคล้ายของวิเศษวางกระจัดกระจายอยู่รอบๆ เพียงแต่ตอนนี้เขารีบอยู่จึงไม่มีเวลาไปดูอย่างละเอียด มีเพียงบางชิ้นที่นำติดมือไปด้วยระหว่างทางเท่านั้น

‘จู๋จิ่วอินตัวนี้ตายมาแล้วกี่ปี…’ ขณะทะยานไป ซูหมิงก็ตรวจสอบตำแหน่งของหนอนงูไปพร้อมกับคาดเดาในใจ

ระหว่างนั้นเขาพลันเกิดความรู้สึกถึงอันตราย จึงฝืนถอยหลังไปหลายก้าว แทบจะทันใดนั้น มีหนามกระดูกสีดำพุ่งออกมาจากผนังเนื้อตรงหน้าเขา

หนามกระดูกนี้เป็นสีเทาทุกส่วน หลังจากปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดัง ก็เกิดระลอกคลื่นจากผนังเนื้อบนพื้น ก่อนกลายเป็นคนเล็กสีเทาสูงราวหัวเข่าหนึ่งตน มันคือมารกระดูกจู๋จิ่วอินที่ซูหมิงเคยเห็นตอนอยู่ข้างนอก!

มารกระดูกตนนี้ลืมตามองซูหมิงแล้วแผดเสียงคำราม ดวงตาขยับแสงอ่อนวูบวาบ ทะยานตรงมายังเขา ขณะเดียวกันผนังเนื้อโดยรอบมีใบหน้าจำนวนหนึ่งปูดออกมา ใบหน้าเหล่านั้นดุร้ายอย่างยิ่ง หลังจากลอยออกมาแล้วก็เปล่งเสียงคำรามแหลม ราวกับจะพุ่งออกมากัดกินซูหมิงทั้งเป็น

ใบหน้าเหล่านั้นไม่เหมือนคน แต่เหมือนสัตว์ดุร้ายรูปร่างพิลึก พวกมันสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อของจู๋จิ่วอิน หรือก็คือสัตว์ในหมอกข้างนอก

ในเวลาเดียวกัน มีหนามกระดูกพุ่งออกมาจากหนังเนื้อตรงหน้าซูหมิงอย่างต่อเนื่อง แล้วกลายเป็นมารกระดูกตามกันมา ไกลออกไปอีก ยามนี้พลันมีเสียงร้องไห้ดังแว่วเข้ามา พร้อมกับปรากฏเงาสีขาวขึ้นจำนวนมาก!

จากนั้นด้านหลังซูหมิงมีเสียงพึมพำแผ่วเบาขาดๆ หายๆ ห่างไปหลายร้อยจั้งด้านหลัง ดวงตาขนาดสิบกว่าจั้งปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ ดวงตานั้นตรงขอบเป็นสีขาว ตรงกลางเป็นลูกตาแนวตั้งสีเหลืองอมน้ำตาล

ยามนี้ในลูกตานั้นเหมือนมีรอยแยกกำลังเปิดออกอย่างช้าๆ

แรงดูดพิลึกส่งมาจากด้านหลังซูหมิงอย่างต่อเนื่อง เสียงพึมพำเบาๆ ราวกับกำลังร้องเรียก ทำให้ซูหมิงใจสั่นไหว มีความรู้สึกอยากหันกลับไปมอง ทว่าตอนนี้เขาพลันกัดปลายลิ้นแล้วได้สติกลับมา ทำให้รู้ตัวว่าจะหันไปมองไม่ได้ ความจริงแล้วแม้ไม่หันไป ก็คาดเดาได้ว่าด้านหลังเขาจะต้องปรากฏดวงตาที่สองของจู๋จิ่วอินอย่างแน่นอน

ตอนนี้อยู่ในตัวจู๋จิ่วอิน โดยรอบไม่มีใคร ซูหมิงจึงไม่ต้องปกปิดฐานะเผ่าหมานอีก ตอนที่คนเล็กสีเทาตรงเข้ามาด้วยความดุร้าย นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายเย็นชา กระดูกหมานสี่ชิ้นในร่างกายรวมกับชิ้นที่ห้าซึ่งมาจากมรดกหมานวายุ

ยามนี้ปลดปล่อยพลังแกร่งกล้าพร้อมกัน พลังนี้แผ่กระจายไปทุกส่วนของร่างกาย ความรู้สึกถึงพละกำลังเช่นนี้ ซูหมิงไม่ได้สัมผัสมานานมากจริงๆ

ตั้งแต่ซูหมิงมาถึงเผ่าเชมัน นอกจากแดนธารน้ำแข็งแล้ว เขาก็ไม่เคยใช้พลังเผ่าหมานต่อสู้อย่างสุดกำลังเสียที คราวนี้ปะทุพลังขึ้น ในจิตใจเขาจึงมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังแว่วออกมา

ชั่วขณะเดียวกัน ลายหมานภูเขาทมิฬปรากฏบนใบหน้าซูหมิง เผ่าเขาทมิฬตรงหน้าอกใต้อาภรณ์เผยขึ้นตามมา การปะทุพลังเผ่าหมานทั้งหมดนี้ทำให้ตราสัญลักษณ์เผ่าหมานของเขาปรากฏขึ้นทั้งหมด

“ไสหัวไป!” ซูหมิงคำรามเสียงต่ำ

กำหมัดขวาชกไปยังคนเล็กสีเทาที่กระโจนเข้ามาทันที หนึ่งหมัดนี้ กระดูกหมานห้าชิ้นตรงกระดูกสันหลังเปล่งแสงสีทองพร่างพราว แสงสีทองนี้แผ่ขยายในร่างกายเขา กระทั่งมองจากข้างหลังยังเห็นแสงทองส่องทะลุมาจากกระดูกสันหลัง

พลังกระดูกหมานปะทุออกมาทั้งหมด และไหลมาตามหมัดของซูหมิง ก่อนปล่อยออกไปสุดกำลัง

เสียงโครมดังสนั่น มีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมาจากในตัวซูหมิงอีกครั้ง คนเล็กสีเทาตัวสั่นและถอยไปหลายก้าว ก่อนจะตัวระเบิดกลายเป็นกระดูกชิ้นหนึ่งกระเด็นถอยไปในพริบตา ทว่ากระดูกชิ้นนี้กลับขยับแสงสีเทากลางอากาศ กลายเป็นคนตัวเล็กพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ซูหมิงระงับขั้นพลังเผ่าหมานมานานมากนัก ยามนี้ปะทุออกมาทั้งหมด เมื่อใช้หมัดอย่างสุดกำลังเมื่อครู่แล้ว เขาพลันเกิดความรู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่พละกำลังทั้งหมด ราวกับว่าในร่างกายยังมีพลังเหลืออยู่

นัยน์ตาเขาขยับวูบไหว เสียงพึมพำเบาๆ ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขารีบทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้คิดอะไรให้มากความ

ตรงหน้าเขามีคนเล็กสีเทาจำนวนมากพุ่งเข้ามาพร้อมกับร้องคำราม ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องสะอื้นไห้ของเงาสีขาวอีกมากมาย และยังมีสัตว์หมอกนับไม่ถ้วนมุดออกมาจากในผนังเนื้อโดยรอบ ทั้งหมดนี้ตรงเข้ามายังซูหมิงจากทุกสารทิศ

ซูหมิงคำรามเสียงต่ำ เรียกเกราะแม่ทัพเทพขึ้นมา เขาไม่ได้ใช้เกราะนี้มานานมาก หลังเรียกมาแล้วก็จัดเรียงเมฆหมอกให้ก่อขึ้นเป็นเส้นอาคม ทำให้เกราะมายานี้มีความทนทานถึงระดับที่มั่นคง

ขณะซูหมิงทะยานไปข้างหน้า วิญญาณแรกในกายเขาพลันลืมตาขึ้น และบินออกจากกลางกระหม่อมมาลอยอยู่เหนือศีรษะเขา วิญญาณแรกเปล่งแสงรอบตัว เมื่อปรากฏตัวแล้วก็เปิดปากพูดว่าสายฟ้า กระบี่เล็กแสงดำบินกวาดล้างทำลายอยู่ตรงหน้ามัน

ขณะเดียวกันนั้น วิญญาณแรกของซูหมิงทำสัญลักษณ์สองมือ ก่อนพ่นปราณแห่งวิญญาณแรกออกมา ปราณนี้กลายเป็นหนึ่งหมัดผลักออกสู่ภายนอก

‘การต่อสู้ ผู้กล้าหาญชนะ!’ ซูหมิงไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ยามนี้เขาถอยไม่ได้แล้ว กระทั่งเขายังมีความรู้สึกเหมือนกลับมาอยู่ในสงครามระหว่างเผ่าหมานกับเผ่าเชมันอีกครั้ง

ขณะเดินหน้า เขายกมือขวาขึ้นแล้ววาดมือไปทางสัตว์หมอกที่พุ่งตรงเข้ามา ภายใต้หนึ่งลายเส้นนี้ ราวกับโดยรอบหยุดนิ่ง ก่อนปรากฏวิชาหมานสังหารอีกครั้ง!

ลายเส้นลากเป็นแนวนอนพร้อมกับเสียงระเบิดดังกังวาน สัตว์หมอกตรงหน้าซูหมิงเหล่านั้นกรีดร้องเจ็บปวด กลายเป็นเศษเนื้อเน่ากระจายอยู่เต็มพื้น

สัตว์หมอกเหล่านี้ไม่แข็งแกร่ง เทียบเท่าเชมันระดับกลางเท่านั้น ทว่ามันกลับมีจำนวนไร้ขีดจำกัด ยามนี้ก็ยังผุดมาจากผนังเนื้อจากโดยรอบไม่หยุดหย่อน

มารกระดูกไม่นับว่าแข็งแกร่งเท่าไร แต่พวกมันเป็นอมตะ ต่อให้ใช้วิชาหมานสังหาร แม้จะสลายไปก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่แข็งแกร่งจริงๆ คือเงาสีขาวของวิญญาณสะอื้นไห้เหล่านั้น

พวกมันแต่ละตัวเทียบเท่ากับขีดสุดของเชมันระดับปลาย! ทว่าเมื่อเทียบกับดวงตาของจู๋จิ่วอินด้านหลังซูหมิงแล้ว ก็ยังสู้ไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด

ถึงอย่างไรจู๋จิ่วอินตัวนี้ก็ตายแล้ว นี่เป็นเพียงจิตใจที่เหลืออยู่

แต่พอลงมือแล้ว ซูหมิงกลับพบถึงสิ่งน่าตะลึงอย่างหนึ่ง นั่นคือสัตว์ร้ายเหล่านี้จะแข็งแกร่งกว่าตอนอยู่ในหมอกข้างนอกเล็กน้อย…

เงาสีขาวสมจริงยิ่งขึ้น เสียงสะอื้นไห้ชัดเจนมากขึ้น ด้านหลังมารกระดูกมีหางเล็กๆ อยู่ กระทั่งมารกระดูกบางตัวยังมีหางยาวมาก มารกระดูกเช่นนี้จะแข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆ ยิ่งนัก

และยังมีสัตว์หมอกเหล่านั้นอีก กรงเล็บมันแหลมคมอย่างยิ่ง อีกทั้งตัวยังใหญ่กว่าตอนเจอในหมอกข้างนอกเสียอีก

‘ผนึกถูกเปิดแล้ว…’

‘ศพจู๋จิ่วอินเริ่มให้กำเนิดสัตว์ประหลาดเหล่านี้…’

‘ตอนนั้นเผ่าเชมันของพวกเจ้าเคยทำลายผนึก จากนั้นก็มาหาเผ่าวิญญาณหยินเพื่อให้ช่วยสร้างผนึกขึ้นมาใหม่…ทว่าผนึกนี้เปราะบางยิ่งนัก…’

ในความคิดซูหมิงมีเสียงชายร่างกำยำวิญญาณหยินดังก้อง เขาเข้าใจแล้ว! เหตุใดสัตว์ประหลาดจากศพจู๋จิ่วอินเหล่านี้ถึงไม่แข็งแกร่งมากจนเกินไป

‘สัตว์ประหลาดเหล่านั้นเพิ่งถือกำเนิดขึ้น ฉะนั้นพวกมันจึงยังไม่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นพวกมันจึงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ถือกำเนิดในศพของจู๋จิ่วอินอย่างแท้จริง!’

ยามนี้ หลังจากที่มารกระดูกสลายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ หางเล็กๆ ของมันก็ยาวขึ้นหลายเท่าจนลากไปกับพื้น มันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า กลิ่นอายพลังที่แผ่จากร่างแกร่งกว่าเงาสีขาวเสียอีก!

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย แรงดึงดูดข้างหลังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าลูกตานั้นเข้ามาใกล้แล้ว ขณะเดียวกัน บางทีลูกตานั้น…ก็อาจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน!

ซูหมิงหยิบขวดเล็กมาจากถุงเก็บวัตถุอย่างไม่ลังเล ข้างในมีไขกระดูกทะเลที่สามารถฟื้นฟูพลังในชั่วพริบตาอยู่ หลังจากดื่มไปหยดหนึ่งแล้ว ไขกระดูกทะเลกลายเป็นธารสายอุ่นจำนวนมาก ปานระเบิดอยู่ในร่างกาย นัยน์ตาเขาวาววับ พุ่งทะยานไปข้างหน้า ครั้นใช้วิชาหมานสังหารที่สร้างขึ้นเองเสร็จ ก็พุ่งต่อไปด้วยความเร็วสูงสุดราวแสง

ที่นี่ไม่มีลม ทว่าในตัวซูหมิงมีต้นกำเนิดวายุ ตอนนี้ต้นกำเนิดวายุโคจรอย่างรวดเร็ว ทำให้ซูหมิงเร็วขึ้นมาก อีกทั้งข้างกายเขายังปรากฏระฆังเขาหาน เขาตั้งใจว่าจะใช้ความแข็งแกร่งของระฆังและเกราะแม่ทัพเทพทะลวงออกไปตรงๆ เพื่อเข้าไปให้เร็วที่สุด!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!