Skip to content

สู่วิถีอสุรา 47

ตอนที่ 47 ตัวเลขหกตัว

ซูหมิงได้ยินดังนั้น จิตใจสั่นไหว เขาเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านปู่กับจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมไม่ได้เป็นอย่างที่ตนเห็น ระหว่างทั้งสองเป็นไปได้ว่าขัดแย้งกันมาแต่อดีต และด้วยเหตุนี้เองท่านปู่จึงไม่ยอมมาเผ่าร่องลม

ในขณะเดียวกัน จ้าวหมานเผ่าร่องลมต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน ถึงยังได้เกรงใจต่อท่านปู่ที่อยู่เพียงลำดับเก้าขั้นรวมโลหิตมาตลอด

ซูหมิงนึกถึงตอนอยู่บนหลังงูเหลือมทมิฬ ภาพของท่านปู่กำลังเหยียบอากาศไปพร้อมกับบุรุษชุดคลุมม่วงผุดขึ้นในความคิด เขาอดหัวใจสั่นระรัวเร็วขึ้นมิได้

“จากนี้ไปเจ้าจะได้รู้เอง” ท่านปู่ไม่ได้ให้คำตอบ เพียงแต่ทิ้งท้ายประโยคดังกล่าวเอาไว้ กล่าวจบจึงพาซูหมิงเดินออกจากแท่นบวงสรวงห้าเหลี่ยม

ในแท่นบวงสรวง จิงหนานเงียบขรึม เขามองตามหลังโม่ซัง สีหน้าค่อยๆ เคร่งเครียด ผ่านไปสักครู่ใหญ่จึงหยิบขวดเล็กสีม่วงมาจากอกเสื้อ มองดูแล้วงามตายิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าของที่เขาพกติดตัวเช่นนี้จะต้องเป็นของล้ำค่าอย่างแน่นอน

เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมสมุนไพรปะทะเข้าใส่ใบหน้า พบว่าด้านในเป็นเม็ดโอสถหนึ่งเม็ด

โอสถชำระล้าง!

“น่าเสียดาย มันมีเพียงเม็ดเดียว…หนึ่งเม็ดสำหรับข้าไม่ส่งผลอะไรมากนัก หากมีมากกว่านี้อีกสักแปด…” นัยน์ตาจิงหนานฉายแววเฝ้าปรารถนา

“จะต้องหาหมานชั่วร้ายที่หลอมโอสถชนิดนี้ให้ได้! ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม จำต้องหาตัวเขาให้พบ…ตอนนี้ข้าปิดผนึกรอบแปดทิศแล้ว เขาไม่มีทางหนีพ้นแน่! ข้าสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ไม่ไกล และใกล้ข้ามาก…”

ขณะนี้ด้านนอกเป็นยามโพล้เพล้ ในเมืองหินโคลนใกล้เข้าสู่ค่ำคืนแสงจันทร์ ทว่าผู้คนในเมืองกลับยังคงเนืองแน่นและครึกครื้น อีกทั้งยังมีคบเพลิงตั้งอยู่อีกหลายจุด กองไฟถูกวางอยู่ในภาชนะที่ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน มันลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้ทั้งเมืองสว่างไสว

ท่านปู่เดินอยู่เบื้องหน้า ซูหมิงเดินตามหลัง ทั้งสองต่างเงียบขรึมตลอดทาง

“เจ็ดวันหลังจากนี้จะเป็นงานประลองโดยมีเผ่าร่องลมเป็นเจ้าภาพ เผ่าเล็กที่มาเยี่ยมเยือนทั้งหมดต้องส่งคนเข้าร่วมงานประลอง สำหรับพวกเจ้ารุ่นเยาว์แล้วถือว่าเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มโหฬารครั้งหนึ่ง! ปู่หวังว่าเจ้าจะเข้าร่วมด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องเปิดเผยตัวตน ปู่จะจัดการให้เอง เจ้านำสิ่งนี้ไป นอกจากจิงหนานแล้วจะไม่มีใครรู้ว่าเป็นเจ้า ซูหมิง ปู่ช่วยเจ้ามามากแล้ว ต่อจากนี้เจ้าต้องพึ่งตัวเอง…”

ท่านปู่ลูบศีรษะซูหมิง กล่าวอย่างอ่อนโยน ชูมือขวาขึ้นราวกับสะบัด ทันใดนั้นบนตัวท่านปู่ขับพลังโลหิตอ่อนๆ แล้วจางหายไป ก่อนในมือจะปรากฏงอบสีดำที่สานขึ้นจากวัชพืช

“ตอนนั้นปู่ได้สิ่งนี้มาจากเผ่าขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นศาสตราวุธหมานเหมือนกัน เมื่อหลอมรวมกับโลหิตหมานแล้ว จะทำให้แปลงโฉมใบหน้าและรูปร่างของเจ้าได้ เจ้าอย่าคิดเชียวว่ามันคงเปลี่ยนไม่มาก ความจริงแล้วมันเปลี่ยนได้ราวกับเป็นคนละคน เป็นของที่ปู่ชอบมากแต่ก่อน”

“มันอยู่กับปู่มานานหลายปี ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว ปู่ให้เจ้า”

ท่านปู่ถืองอบสีดำ ตบไปบนตัวของซูหมิง ทันใดนั้นซูหมิงรู้สึกสั่นไปทั้งตัว ราวกับไอหนาวทะลวงเข้าสู่ร่างกาย ก่อนงอบดำพลันหายวับไป

แม้จะหายไป ทว่าซูหมิงกลับรู้สึกได้ว่าของสิ่งนี้เหมือนกับหอกเกล็ดโลหิต ได้หลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของตน ส่วนวิธีการใช้งอบแปลงโฉม ท่านปู่ถ่ายทอดมันผ่านทางความคิดแล้ว

“ตอนงานประลอง เจ้าอยู่ในเรือนพักก่อนอย่าเพิ่งตามออกมา รอจนพวกเขาไปแล้ว เจ้าจึงค่อยแปลงโฉม ปู่จะสั่งให้คนไปรับเจ้ามาเข้าร่วมงานประลองเอง” ท่านปู่ยิ้มบางๆ

เหมือนซูหมิงอยากจะกล่าวบางอย่าง ทว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งกลับไม่ได้กล่าวอะไร แต่ในใจของเขาเด็ดเดี่ยว การประลองในครั้งนี้แม้ว่าต้องทุ่มทุกอย่าง เขาจะไม่มีทางทำให้ท่านปู่ผิดหวังอย่างแน่นอน!

‘หนึ่งในสี่สิบ…หนึ่งในสี่สิบ!’ ซูหมิงกัดฟันกล่าวขึ้นในใจ

“ซูหมิง ปู่สอนให้เจ้าเป็นคนขบคิดมาตั้งแต่ยังเล็ก ตรึกตรองให้มาก สิ่งนี้มันจะมีส่วนช่วยเจ้าในภายภาคหน้า….ตอนนี้ปู่จะถามเจ้าอีกหนึ่งคำถาม ดูหน่อยว่าลาซูน้อยของพวกเราจะหาคำตอบได้หรือไม่…” ท่านปู่มองซูหมิงด้วยความอ่อนโยน กะพริบตายิ้มกล่าว

“ฟังให้ดีซูหมิง ปู่จะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สามสิบสอง เจ็ดสิบเก้า สองร้อยสี่สิบแปด สามร้อยเจ็ดสิบเอ็ด ห้าร้อยหกสิบสาม เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด!”

ซูหมิงงุนงง กล่าวพึมพำหกตัวเลข ทว่ากลับนึกไม่ออกว่ามีความหมายอะไรแฝงเอาไว้ เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของท่านปู่ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องตอบในทันที ให้ซูหมิงขบคิดถึงหกตัวเลขนี้ก่อน

แสงจันทร์สะท้อนบนตัวพวกเขา ค่อยๆ ลากเงาวูบวาบให้ยาวขึ้น ซูหมิงกับท่านปู่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล…..

เพียงกาลเวลาสั่นไหว ก็มาถึงค่ำคืนของวันที่หก งานยิ่งใหญ่ของเผ่าร่องลมจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อฟ้าสาง…

ในหกวันที่ผ่านมา ซูหมิงอยู่แต่ในเรือนที่เผ่าร่องลมจัดเอาไว้ให้เพียงลำพัง และนั่งบำเพ็ญโคจรพลังโลหิตในกายตลอดทั้งวัน ทว่าก็ยังตื่นตัวตลอดเวลา เพราะเขามักจะสัมผัสได้ว่ามีสายตากำลังจ้องมองตนอยู่ เพียงแต่เขามองไม่เห็นก็เท่านั้น

สายตาปรากฏขึ้นและหายไปบ่อยครั้ง ทำให้การฝึกฝนของซูหมิงต้องหยุดกลางคัน ทุกครั้งที่สัมผัสได้ถึงสายตาพิลึกเด่นชัดมากที่สุด เขาจะเอนกายนอนหลับและหยุดฝึกฝนทันที ในหัวครุ่นคิดถึงตัวเลขหกตัวที่ยังไขไม่ออก

กระทั่งถึงวันที่ห้า ความรู้สึกถูกมองจึงค่อยๆ จางหายไป ซูหมิงค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเคยคาดเดาเอาไว้ว่าเป็นใครที่แอบมองตน ในความคิดของเขาผุดเงาคนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดก็ยังไม่แน่ใจ

หลายวันมานี้เหลยเฉินมาหาซูหมิงบ่อยครั้ง ส่วนเวลาที่เหลือมักจะไปอยู่กับอูลา ภายใต้การชี้แนะของท่านปู่ เขาจึงต้องทำการฝึกฝนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนงานประลอง

ทว่าด้วยนิสัยของเขา จึงมักจะลากซูหมิงออกไปข้างนอกหลังจากฝึกฝนเสร็จเป็นประจำ เพื่อไปเดินทอดน่องในเมืองหินโคลน บางครั้งหากซูหมิงไม่ยอมไปด้วย เหลยเฉินก็จะออกไปคนเดียว และทุกครั้งที่กลับมาจะมีสีหน้าดูลึกลับ

สีหน้าเช่นนี้ ในสายตาของซูหมิงนับว่าเคยเห็นอยู่บ้าง…

“ซูหมิง เจ้าไม่รู้หรอกว่าในเมืองหินโคลนมีที่แบบนั้นอยู่…ข้าโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นสตรีมากมายขนาดนี้มาก่อน….”

“ซูหมิง ที่นี่มีน้ำด้วย พวกเขาเรียกมันว่าสุรา รสชาติของมัน….เจ้าจะลองดูหน่อยหรือไม่?”

“ซูหมิง เจ้าเดาสิว่าวันนี้ข้าเห็นอะไร ข้าเห็นพวกเผ่าภูผาดำมาถึงแล้ว พวกเขานั่งเมฆสีดำมา แต่ว่าจ้าวหมานเผ่าภูผาดำไม่มาด้วย ผู้นำเหมือนว่าจะเป็นจ้าวเผ่า”

“ซูหมิงอย่าเพิ่งนอน ฟังข้าพูดก่อน วันนี้ข้าไปเจอคนจากเผ่าภูผาดำที่ร้านสุรา ดูอายุก็ไล่เลี่ยกับพวกเรา เจ้านั่นมันอวดดียิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะมีกฎห้ามต่อสู้กันเอง ข้าคงจะทุบตีสั่งสอนมันไปสักยก!”

“ซูหมิง วันนี้ข้าไปเจอไป๋หลิงด้วย! เจ้าว่าแปลกหรือไม่ นางถูกพวกเราหลอกแต่กลับไม่ถามถึงเรื่องเหรียญหินเลย นางกลับถามถึงเจ้าแทน”

“ซูหมิง ข้าเจอคนที่ข้าชอบแล้ว…..จำเมื่อวานที่เล่าให้เจ้าฟังได้หรือไม่ว่าไปเจอไป๋หลิง ข้างกายนางมีสตรีอีกคน มาจากเผ่ามังกรทมิฬเช่นเดียวกัน รูปร่างนางอุดมสมบูรณ์ สวยกว่าไป๋หลิงมากนัก…..”

“ซูหมิง ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่านางชื่ออะไร นางชื่อไป๋ฟาง เป็นชื่อที่ดีมากเลย….”

หลายวันมานี้เหลยเฉินมักจะนำเรื่องที่เขาได้ประสบและความในใจมาเล่าให้ซูหมิงฟังแทบทุกวัน โดยเฉพาะช่วงก่อนงานประลอง แทบทุกเรื่องที่เขาเล่าจะเป็นเรื่องของเด็กสาวนามไป๋ฟางทั้งสิ้น

ส่วนเป่ยหลิง เขามักจะออกไปข้างนอกเป็นประจำ และถึงแม้จะอยู่ในเรือน ทว่าก็มีชายหนุ่มจากเผ่าร่องลมมาหาเขาอยู่บ่อยครั้ง ดูท่าสนิทสนมกันดี

เพียงแต่ค่ำคืนในวันที่หก ขณะที่ซูหมิงออกจากเรือนเพื่อมาดูดวงจันทร์ กลับเห็นเป่ยหลิงถูกคนจากเผ่าร่องลมดึงตัวอยู่ สีหน้าราวกับไม่ยินยอม

“วันนี้ข้าไม่อยากไป…” นอกประตูใหญ่ เป่ยหลิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา

“ไม่ไป? ก็ได้ แต่ว่าเป่ยหลิง เจ้าเป็นคนที่อูเซินต้องการให้เข้าร่วมงานประลองครั้งนี้กับพวกเรา หากเจ้าไม่เข้าร่วม ก็อย่าหวังจะได้โลหิตจากจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลม! อย่าลืมว่าครั้งก่อนเจ้าติดหนึ่งในห้าสิบได้อย่างไร”

คนจากเผ่าร่องลมที่ดึงตัวเป่ยหลิงอยู่ เป็นชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี ยามนี้อมยิ้ม กล่าวขึ้นเรียบๆ ข้างกายเขายังมีอีกสองคน ล้วนกำลังกวาดสายตามองเป่ยหลิง นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยาม

เป่ยหลิงเงียบขรึม ก่อนพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินออกไปท่ามกลางความมืดกับคนทั้งสาม

ซูหมิงที่มองอยู่ไกลๆ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาตรึกตรองพลางมองแสงจันทร์ ก่อนเดินออกจากประตูใหญ่ไป

“อูเซิน…..” ชื่อนี้ซูหมิงยังพอจำได้รางๆ ว่าเป่ยหลิงเป็นคนกล่าวขึ้น ได้ยินว่าเป็นหนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์แห่งเผ่าร่องลม แทบทุกคนในงานประลองรู้จักชื่อเขา เขาต้องติดหนึ่งในสามอันดับแรกของทุกด่านทดสอบอย่างแน่นอน

เกี่ยวกับบุรุษคนนี้ เป่ยหลิงเพียงแค่อธิบายแบบคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้ลงลึก ก่อนกล่าวถึงคนต่อไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดินอยู่ในเมืองหินโคลน แสงไฟสลัว คบเพลิงใกล้มอดดับ รูปร่างของซูหมิงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามจังหวะฝีก้าว ไม่นานร่างกายของเขาสูงขึ้นเจ็ดชุ่น ดูกำยำมากกว่าเดิม แม้แต่เส้นผมยังยาวขึ้นไม่น้อย ใบหน้าจากหล่อเหลากลายเป็นธรรมดา ขับกลิ่นอายความห้าวหาญ มองดูแล้วเหมือนกับชาวเผ่าธรรมดาไม่ผิดเพี้ยน กระทั่งเครื่องแต่งกายยังเปลี่ยนไป ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ซูหมิงลองขยับตัวดูเล็กน้อย พบว่าไม่รู้สึกแปลกอะไร เหมือนกับยามปกติไม่มีผิด เส้นเลือดสี่สิบเก้าเส้นปรากฏขึ้นบนผิวหนังตามการโคจรโลหิต ทว่ากลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งกลับพลันระเบิดมาจากร่างกายของเขา

“ภายใต้ค่ำคืนแสงจันทร์…..ต่อให้เป็นลำดับห้าขั้นรวมโลหิตก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า…..รวมกับหอกเกล็ดโลหิตแล้ว…แม้แต่ลำดับหกก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์แวบหนึ่ง ก่อนเดินต่อไปข้างหน้า

“ขั้นพลังของเป่ยหลิง เพิ่งทะลวงสู่ลำดับหกขั้นรวมโลหิต ส่วนบิดาของเขาท่านผู้นำกองรักษาการณ์และผู้นำกลุ่มล่าสัตว์อยู่ลำดับแปด ในรุ่นเยาว์หากทะลวงสู่ลำดับแปดได้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง จะต้องอยู่เหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน เมื่อเทียบอูเซินกับทั้งสองคนแล้ว ข้ามั่นใจว่าเขาไม่น่าจะบรรลุถึงลำดับแปด” ซูหมิงก้าวไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า อีกทั้งยังดูแปลกประหลาด เขาเดินอยู่ในเพียงมุมมืดเท่านั้น สายตาจับจ้องเป่ยหลิงและคนทั้งสามที่อยู่เบื้องหน้าไกลๆ คอยเดินตามพวกเขาไป

“สามคนนั้นเหมือนว่าขั้นพลังอยู่ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต ทว่าจากสีหน้าหวาดกลัวของเป่ยหลิง ดูท่าอูเซินน่าจะมีขั้นพลังที่สูงกว่า สูงกว่าลำดับหก ทว่าอ่อนกว่าลำดับแปด เจ้าอูเซินคนนี้ข้ามั่นใจแปดส่วนเลยว่าน่าจะอยู่ลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต”

“ลำดับเจ็ด แม้ข้าไม่อาจเอาชนะได้ ทว่าภายใต้คืนแสงจันทร์ หากเกิดเรื่องขัดแย้งกันขึ้นก็อย่าคิดจะหยุดข้าคนนี้ได้” ซูหมิงมั่นใจในความเร็วของตนอย่างมาก

เหตุที่ซูหมิงตามมาไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นเพราะสีหน้าไม่ยินยอมของเป่ยหลิงก่อนหน้านี้ ทำให้เขานึกถึงพี่ใหญ่เป่ยหลิงที่เขาเรียกในวัยเยาว์ จึงแอบตามมาด้วยความรู้สึกที่สับสน

เวลาล่วงเลยผ่านไป ดวงจันทร์บนท้องฟ้าลอยขึ้นสูง กลับเห็นเป่ยหลิงและคนทั้งสามหายเข้าไปในเรือนหินโคลนธรรมดาหลังหนึ่ง ที่นั่นห่างไกลสายตาผู้คนยิ่งนัก ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งในเมืองหินโคลน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!