Skip to content

สู่วิถีอสุรา 471

SVTASR
BC

ตอนที่ 471 ตื่นขึ้น

ท้องฟ้าเหมือนผืนม่านสีเทาถูกปูไปยาวสุดสายตาพร้อมกับรอยยับย่น ไม่มีดวงตะวัน ไม่มีดวงจันทร์ ทั้งยังไม่มีดารา มีเพียงฟ้าผืนสีเทาน่าอึดอัดใจ

C

สีสันของมันแฝงไว้ด้วยรสชาติแห่งความตาย เมื่อมองไปจะเกิดความรู้สึกว่าหลงเข้าไปในสีเทา ในใจจะสับสน

เมื่อมองทอดไกลผืนปฐพีสีขาวจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีพืช ไม่มีสีอื่น มีเพียงดินสีขาวยืดยาวไปไร้ที่สิ้นสุด กลายเป็นแผ่นดินไร้พรมแดน เมื่อมองนานเข้า ท้องฟ้าเทาและผืนดินขาวเสริมดุนกันจนทำให้สับสนยิ่งกว่าเดิม

ซูหมิงลืมตาขึ้นแล้ว นี่คือทุกอย่างที่เขาเห็น ผ่านไปพักใหญ่ เขาก้มหน้าลงมองร่างกายตัวเอง เห็นชัดเลยว่าตัวเขาเป็นภาพมายาที่รวมขึ้นจากหมอกขาวบนพื้นดิน ตอนแรกหมอกนี้เบาบางยิ่งนัก ทว่าไม่นานก็ค่อยๆ รวมขึ้นเป็นเงาร่างคน

รอบตัวเขา บนผืนปฐพีสีขาวมีหมอกลอยขึ้นมาจำนวนมาก ก่อนรวมเข้าด้วยกันและค่อยๆ กลายเป็นเงาคนมากกว่าเดิม

เงาร่างคนพวกนี้เหมือนเกิดใหม่ ดวงตาเป็นสีเทา ให้ความรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง ราวกับตายมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ยังเกิดใหม่ และจุดจบคือความตายเช่นเดิม วนเวียนอยู่เช่นนี้เป็นวัฏจักร

บางทีความตายอาจไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือไม่อาจหยุดได้ เป็นอมตะไปไร้ที่สิ้นสุด จนกระทั่งวิญญาณเฉยชา จนกระทั่งเสียจิตใต้สำนึก เสียทุกอย่างของตัวเอง และกลายเป็น…วิญญาณอมตะ ศพเดินได้ไม่ดับสูญ….

จุดที่ซูหมิงตื่นขึ้น ไม่รู้ว่าตรงนี้ผ่านมานานเท่าไรแล้ว มีสงครามของวิญญาณอมตะหลายพันตนอยู่ บางทีสงครามครั้งนี้อาจเกิดขึ้นหลายลมหายใจก่อน บางทีอาจเป็นหลายวันก่อนหรือหลายเดือนก่อน นานเท่าไรซูหมิงไม่รู้

เขารู้เพียงว่า ตอนที่ตนตื่นขึ้นก็เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว

แม้เขาจะตื่น แต่ในใจยังสับสน ดวงตายังเป็นสีเทา สติยังไม่เยอะเท่าไร เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ด้วยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร กระทั่งเขายังไม่คิดอะไร ในใจว่างเปล่า

เขาเหม่อมองท้องฟ้าสีเทา มองไปมองมา……จนกระทั่งร่างเขารวมจากหมอกจนกลายเป็นเงาคนอย่างสมบูรณ์ และวิญญาณอมตะโดยรอบก็รวมออกมาแล้ว วิญญาณเหล่านี้เหมือนกับซูหมิง ล้วนยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความสับสน

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร วันหนึ่งมีเสียงสัญญาณดังแว่วมาไกลๆ จากที่ใดไม่รู้ เสียงนั้นกังวานฟ้าดินกว้างใหญ่และเบาบางยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามาไกลเพียงใด

ตอนที่เสียงสัญญาณดังขึ้น วิญญาณอมตะหลายพันตนล้วนตัวสั่น และก้มหน้าลงมองทอดไกลออกไปทางเดียวกัน ก่อนลอยตัวขึ้นและเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ

ซูหมิงอยู่ในวิญญาณอมตะเหล่านั้น และก็ได้ยินเสียงสัญญาณเช่นกัน เสียงนั้นเข้าสู่จิตใจกลายเป็นเสียงเรียกที่ทำให้จิตวิญญาณเขาเกิดระลอกคลื่น

เขาไม่มองท้องฟ้าเช่นกัน แต่มองที่มาของสัญญาณเสียง ไม่รู้ว่าอยู่ไกลเพียงใด เขาค่อยๆ ลอยขึ้นพร้อมกับวิญญาณอมตะเหล่านั้น

ไม่รู้ว่าลอยมานานเพียงใด จิตสำนึกซูหมิงไม่มีการคำนวณเวลา มีเพียงเสียงสัญญาณเรียก วิญญาณอมตะกลุ่มนี้ลอยไปอย่างต่อเนื่องบนแผ่นดินสีขาวราวกับไม่มีสิ้นสุด

ขณะล่องลอย ในกลุ่มพวกเขามีวิญญาณอมตะบางตนคำรามขึ้นมา และร้องถี่กันขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง วิญญาณอมตะตนหนึ่งพลันหมุนตัวกลับ แล้วพุ่งไปยังวิญญาณอีกตนที่ยังหลับตาอยู่

เขากัดฉีกและกินเข้าไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อวิญญาณอมตะตนนั้นหายไป ร่างวิญญาณอีกตนก็สมจริงมากขึ้น นัยน์ตาสีเทามีสติปัญญาบางๆ เพิ่มเข้ามา

แทบเป็นช่วงที่เขากินวิญญาณตนอื่นๆ วิญญาณอมตะโดยรอบอีกมากต่างพากันเป็นเช่นนี้ ข้างซูหมิงก็มีวิญญาณอมตะตนหนึ่ง

วิญญาณตนนี้เป็นชายชรา เขาคำรามและพุ่งมายังซูหมิงปานสัตว์ป่า แล้วอ้าปากเตรียมจะกัดกินซูหมิง

ซูหมิงไม่ขัดขืน แววตาสับสน ปล่อยให้วิญญาณอมตะตนนั้นกัดกินตัวเอง ความเจ็บปวดจากจิตวิญญาณทำให้ซูหมิงตัวสั่น ความรู้สึกร่างจะถูกฉีกทำให้เขาพลันนึกถึงตอนก่อนได้สติครั้งก่อน มันเป็นความเจ็บปวดแบบเดียวกับตอนนี้

“ที่แท้ข้าก็ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ยามนี้ร่างเขาถูกชายชรากัดกินไปครึ่งหนึ่ง อีกไม่นานก็จะถูกกินจนหมดเกลี้ยง

ถึงตอนนั้น ทุกอย่างของซูหมิงจะหายไป ทว่าเขาจะไม่ตายจริงๆ หากแต่อีกช่วงเวลาหนึ่ง เขาจะรวมขึ้นมาจากหมอกบนแผ่นดินอีกครั้งและตายอีกครั้งเหมือนกับตอนนี้ ซ้ำไปซ้ำมา…..ไม่มีสิ้นสุด……

“ความรู้สึกนี้ข้าเคยผ่านมาแล้ว…และข้าไม่อยากเจอมันอีก!” จิตสำนึกซูหมิงค่อยๆ เลือนราง นัยน์ตาเขากลับฉายแววเหี้ยมโหด เขากลันหมุนตัวกลับแล้วกัดกินชายชรา

วิญญาณอมตะกัดกินกันเองสองตนนี้ สำหรับพวกเขาแล้วคือทุกอย่าง ทว่าสำหรับวิญญาณอมตะโดยรอบ ไม่ได้เป็นที่น่าสนใจอะไรเลย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากวิญญาณอมตะที่มีสติปัญญาแยกกันกินวิญญาณตนอื่นๆ แล้ว ราวกับถึงจุดอิ่มตัว แต่ละตนดูสมจริงมากขึ้น ก่อนเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

เสียงคำรามดังกังวานอยู่บนแผ่นดินกว้างใหญ่ไม่หยุด ประหนึ่งว่าพวกเขาใช้เสียงนี้มาประกาศการเกิดใหม่ของตน! หลังจากเสียงคำรามดังมากขึ้นเรื่อยๆ ในวิญญาณอมตะหลายพันตนนี้ มีวิญญาณทั้งหมดยี่สิบเจ็ดตนที่ร้องคำรามบอกการเกิดใหม่

ขณะคำราม วิญญาณอมตะโดยรอบล้วนตัวสั่น สีหน้ามีความหวาดกลัว ราวกับวิญญาณยี่สิบเจ็ดตนนี้มีระดับสูงกว่าพวกเขา ต่อให้พวกเขาชินชาแล้ว ก็ยังมีความกลัวอยู่

ส่วนซูหมิงกับชายชราที่กัดกินกันเอง ยามนี้คำรามอย่างบ้าคลั่ง ซูหมิงกัดกินอย่างบ้าระห่ำจนชายชราอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายวิญญาณเขาก็กลายเป็นอาหาร เสริมให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

หลังจากกินวิญญาณอมตะตนแรกไป ซูหมิงตัวสั่น เขารู้สึกถึงพลังกำลังพองบวมอยู่ในตัวเขา พลังนี้ทะลวงร่างกายเขา จนกระทั่งทะลวงเข้าสู่จิตใจ ทำให้นัยน์ตาเขาดูดิ้นรน ความรู้สึกเจ็บปวดปานถูกฉีกกึกก้องอยู่ในใจเขา

เมื่อความรู้สึกถูกฉีกเด่นชัดขึ้น ซูหมิงมีความรู้สึกเหมือนจิตใจแหลกสลาย ขณะเดียวกัน ความทรงจำว่างเปล่าค่อยๆ มีเรื่องราวเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย

“นามของข้าคืออะไร…” ซูหมิงพลันเงยหน้าคำราม เสียงคำรามนี้คือเสียงคำรามการเกิดใหม่ของวิญญาณตนที่ยี่สิบแปด!

เสียงคำรามเขาส่งเสริมกันและกันกับเสียงคำรามของวิญญาณยี่สิบเจ็ดตน และค่อยๆ หลอมรวมกัน ดังสะเทือนในพื้นที่เล็กๆ ทำให้วิญญาณอมตะโดยรอบล้วนคุกเข่าลงตัวสั่น คนที่ยืนอยู่ตรงนี้มีเพียงวิญญาณยี่สิบแปดตนรวมซูหมิงด้วย!

วิญญาณยี่สิบแปดตนนี้คล้ายกันมาก ทว่าพอพวกเขากินไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ต่างเริ่มมีความทรงจำกลับมา…..

ยามนี้ เสียงสัญญาณดังแว่วมาอีกครั้ง ซูหมิงจึงค่อยๆ หยุดร้องคำราม วิญญาณยี่สิบเจ็ดตนที่เหลือก็เริ่มสงบลง และลอยไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากกว่าวิญญาณปกติไม่น้อย

ดวงตาซูหมิงเป็นสีเทา เมื่อเขาสงบนิ่งแล้วก็บินไปข้างหน้าเหมือนกันแล้วรวมกับวิญญาณยี่สิบเจ็ดตน พาวิญญาณหลายพันตนลอยไปข้างหน้า ราวกับเพื่อภารกิจอะไรบางอย่าง

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ซูหมิงไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ยามนี้ในความคิดเขานอกจากนึกว่าตัวเองชื่ออะไรแล้ว ที่เหลือล้วนว่างเปล่า มีเพียงเสียงสัญญาณที่ร้องเรียกและให้เขาไปตามเสียงนั้น

ขณะเดินทาง เขากินวิญญาณอมตะไปเจ็ดแปดตน ในเวลาเดียวกัน ในวิญญาณอมตะเหล่านั้นก็มีบางตนเหมือนได้สติกลับมาและกัดกินกันเอง

ทุกครั้งที่ซูหมิงกิน จะทำให้ตัวเขาสมจริงยิ่งขึ้น จนกระทั่งกินวิญญาณอมตะไปเจ็ดแปดตนแล้ว นอกจากขาทั้งสองข้าง ท่อนบนล้วนมิใช่โปร่งใสอีก แต่เหมือนมีเลือดเนื้อจริงๆ

เส้นผมยาวสีดำปลิวไสวอยู่ด้านหลัง แม้ดวงตาเป็นสีเทา ทว่านอกจากสติแล้ว ก็ยังมีความเย็นชาอยู่

ในขบวนหลายพันตนนี้ วิญญาณอมตะเหมือนกับเขาตอนนี้มีเกือบห้าสิบตนแล้ว พวกเขาลอยไปตามเสียงสัญญาณเรื่อยๆ….

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในโลกที่ไม่รู้กลางวันหรือกลางคืนนี้ บนแผ่นดินใหญ่ตรงหน้า ซูหมิงเห็นวิญญาณอมตะกลุ่มอื่นๆ จนกระทั่งเมื่อสองกลุ่มนี้เห็นกัน เงาคนที่ดูแกร่งกว่าวิญญาณตนอื่นๆ ก็ร้องคำราม

สงครามจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง!

ซูหมิงเห็นวิญญาณอมตะพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกเจ็บปานถูกฉีกค่อยๆ รุนแรงขึ้นในความคิด เขาพลันนึกออกแล้วว่า เหตุการณ์เช่นนี้ตนเคยประสบมาก่อน…

เขานึกออกแล้วว่า ในครั้งก่อน เขาตายในสงครามนี้ ถูกกินจนหมด จนกระทั่ง…..เขาตื่นขึ้นอีกครั้ง

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววจิตสังหาร เขาไม่ยอมตาย

ในใจเขามีความรู้สึกรางๆ ว่า การตายทุกครั้งจะทำให้ตนเสียอะไรบางอย่างไป แม้ไม่รู้โดยละเอียด ทว่าสัญชาตญาณบอกเขาว่าจะตายไม่ได้!

เสียงคำรามดังก้องกังวาน วิญญาณอมตะหลายพันตนสองกลุ่มกำลังเข้ามาใกล้กันด้วยความบ้าคลั่ง ห้าร้อยจั้ง สามร้อยจั้ง สองร้อยจั้ง…..จนกระทั่งห้าสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง……

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!