Skip to content

สู่วิถีอสุรา 5

ตอนที่ 5 ความฝัน

“พี่ชาย…”

“พี่ชาย…”

น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงความรู้สึกพิเศษดังก้องในความฝันของซูหมิง

“พี่ชาย…ท่านได้ยินหรือไม่…พี่ชาย…”

“พี่ชาย…ข้ากำลังรอท่านอยู่…” น้ำเสียงนั้นดูอ่อนล้าราวกับร้องเรียกเพียงลำพังอยู่ชั่วนิรันดร์ ก่อนเบาลงเรื่อยๆ แล้วเลือนหายไป

ในความฝันซูหมิงรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกทะลวงหัวใจ เหมือนบางสิ่งที่สำคัญกำลังหายไปตามเสียงอ่อนแรงดังกล่าว ความรู้สึกนี้ทำให้เขาพลันสะดุ้งตื่นขึ้น

ซูหมิงรู้สึกหนาวไปทั้งตัว หยาดเหงื่อโซมกาย สีหน้าขาวซีด มองรอบๆ ด้วยจังหวะหายใจกระชั้นถี่ ก่อนพบว่าทุกอย่างเป็นปกติ จึงเริ่มตั้งสติได้

ขณะนี้กลางดึกแล้ว เสียงร้องของสัตว์ปีกจากที่ไกลๆ ดังแว่วเข้ามา นอกจากนั้นแล้วทุกอย่างเงียบสงัด ซูหมิงนั่งเงียบอยู่บนเตียงไม้ จ้องเศษหินในมือของตน สีหน้าเกิดความสงสัยขึ้นทีละน้อย

“ความฝันเมื่อครู่มันแปลกยิ่งนัก…อีกทั้งก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ง่วงเลย แต่ตอนที่มองดูเศษหินกลับหลับไปโดยไม่รู้ตัว….ความฝันนั่น……เสียงนั่น…” ซูหมิงเกิดความสับสน แต่ก่อนเขาฝันน้อยมาก ยิ่งเป็นฝันทำนองนี้ยิ่งไม่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะเสียงของสตรีนางนั้น เขาไม่ทราบว่าเหตุใดถึงได้คุ้นหูนัก

“ทุกอย่างจะต้องเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้แน่!” ซูหมิงขมวดคิ้วก้มหน้าลง อาศัยแสงจันทร์มองพินิจเศษหินในมือ

“สิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่….” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดปลายนิ้วจนเลือดไหล ตามคำกล่าวในตำราหนังสัตว์ สมบัติทุกชิ้นบนโลกส่วนใหญ่แล้วจำเป็นต้องหยดโลหิตของตนลงไปก่อนถึงจะใช้งานได้

ตั้งแต่ซูหมิงเกิดมาไม่เคยเห็นสมบัติล้ำค่าอะไรเลย มีเพียงเศษหินแผ่นนี้เท่านั้น เมื่อเขาหยดโลหิตตรงปลายนิ้วลงไป นัยน์ตาที่จ้องมองพลันฉายแววเฝ้าปรารถนา

ผ่านไปครู่ใหญ่ เศษหินยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีวี่แววจะดูดโลหิตเข้าไปเลย

ซูหมิงเกาศีรษะ ด้วยความไม่ยอมแพ้ เขายันกายขึ้นใช้ทุกวิถีทางเฉกเช่นใช้ฟันกัด ออกแรงหัก กระทั่งเอาไปแช่น้ำ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเศษหินยังคงเหมือนเดิม

ตะวันเริ่มทอแสง ซูหมิงถือเศษหินเหม่อลอย กาลเวลาหมุนเวียน ยามขอบฟ้าไกลเปล่งแสงเต็มที่ ตะวันลอยสู่ฟ้า ในหัวของซูหมิงพลันปรากฏรัศมีส่องประกายวูบวาบ

“ตอนแรกที่แนบเจ้าสิ่งนี้กับตัวก็มีธารอุ่นไหลออกมา บางที…นี่อาจจะเป็นวิธีใช้มัน!”

ซูหมิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบนำเศษหินสวมใส่คอแนบชิดอกอีกครั้ง

ธารอุ่นไหลเข้าสู่กาย คล้ายไหลเวียนไปทั่วร่าง ทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ในหัวปรากฏเคล็ดฝึกพลังหมานที่ได้จากเทวรูป

หมานคือแก่นแท้ของโลก สิ่งที่ซูหมิงได้รับคือลำดับที่หนึ่งของการฝึกพลังหมาน เคล็ดการฝึกขั้นรวมโลหิต

จากที่เขาได้ทราบจากตำราหนังสัตว์ ในอดีตกาลบรรพบุรุษแห่งหมานเบิกสวรรค์สร้างสายเลือด ตอนนั้นผู้คนยังเป็นวิญญาณ ทว่าปัจจุบันกาลเวลาหมุนเปลี่ยนผ่าน เผ่าหมานในตำนานค่อยๆ เสื่อมลงเป็นเพียงเผ่าสามัญ

ส่วนเคล็ดการฝึกพลังหมานก็สืบทอดกันมาตั้งแต่นั้น เพียงแต่ถูกปรับแก้เพื่อให้เหมาะกับเผ่าหมานในยุคปัจจุบัน

ในขั้นพลังเริ่มต้นจะเป็นขั้นรวมโลหิต แบ่งเป็นสิบเอ็ดลำดับ ในขั้นนี้จะเป็นการปลุกโลหิตที่รับสืบทอดจากบรรพบุรุษหมานในเส้นเลือดของผู้ฝึกฝนเพื่อหลอมรวมมัน

สิ่งที่เรียกว่ากายหมาน แท้จริงแล้วเป็นการใช้พลังจากเทวรูปหมานเพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีโลหิตของบรรพบุรุษหมานอยู่มาก มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่มีสิทธิเดินบนเส้นทางแห่งหมานและก้าวหน้าต่อไป

ส่วนบุคคลที่มีโลหิตของบรรพบุรษหมานน้อยจะไม่ได้รับการยอมรับ และไม่มีสิทธิเป็นหมาน ตอนที่คารวะเทวรูปก็จะไม่ได้รับสืบทอดเคล็ดการฝึกพลังหมาน

ทว่าซูหมิงกลับพิเศษกว่า แท้จริงแล้วเขาไม่มีกายหมาน ทว่าด้วยเศษหินพิลึกทำให้เขาได้รับเคล็ดฝึกพลังอันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจถ่ายทอดปากเปล่า ต้องได้รับจากเทวรูปหมานเท่านั้น

“รวมโลหิตหมานในกาย เมื่อโลหิตหมานตื่นขึ้น จึงจะวาดลวดลายแห่งหมานของตนและทะลวงเข้าสู่ขั้นชำระล้างได้!” ซูหมิงกล่าวพึมพำ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย

เขานั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ ตกอยู่ในห้วงความคิดทีละน้อยตามเคล็ดการฝึกพลังหมานที่ผุดขึ้นในหัว

กาลเวลาหมุนเวียนต่อเนื่อง ไม่นานตะวันแรกเริ่มลอยตัวขึ้นสูงตรงขอบฟ้า ควันไฟในเผ่าค่อยๆ จางหายไป มีเสียงครึกครื้นดังขึ้น

เมื่อสมาชิกในกลุ่มล่าสัตว์จัดระเบียบเครื่องแต่งกายเสร็จ ก็เดินออกจากเผ่าไปด้วยการนำของหัวหน้าหลายคน ญาติพี่น้องพวกเขาต่างเฝ้ามองด้วยแววตารอคอย การออกไปครั้งนี้ก็เพื่อล่าสัตว์หาอาหารมาให้เพียงพอ

ลาซูอายุราวสี่ห้าขวบกลุ่มหนึ่งวิ่งล่อนจ้อนไปมาในเผ่า เล่นกันอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น ผู้คนที่ได้ยินต่างเผยรอยยิ้ม

ในขณะเดียวกัน ท่านปู่กำลังเล่าถึงประสบการณ์การฝึกพลังหมานและนักรบหมานให้แก่เด็กทั้งสองผู้มีกายหมาน สำหรับชนเผ่าหนึ่งแล้วมันเป็นพลังที่สำคัญที่สุด ผู้คนรุ่นก่อนของเผ่าเขาทมิฬในปัจจุบันต่างตายตกตามกันไปทีละคน นักรบหมานในเผ่ามีเพียงยี่สิบสองคนเท่านั้น

ไม่มีผู้ใดสังเกตเลยว่ายามเช้าตรู่นี้ ประตูเรือนซูหมิงปิดสนิท

เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน ทั่วร่างเปล่งแสงโลหิตอ่อนๆ หากมองแสงโลหิตอย่างพินิจก็จะเห็นว่าใต้ผิวหนังมีเส้นเลือดอยู่หนึ่งเส้นกำลังขยับแสงสีแดงวูบวาบ ให้ความรู้สึกพิลึก

ขณะนี้บนตัวซูหมิงปรากฏเพียงหนึ่งเส้นเลือด อีกทั้งยังวูบวาบราวกับไม่อาจเปล่งแสงได้เต็มที่

ผ่านไปครู่ใหญ่ซูหมิงเบิกตาทั้งสองข้าง ถอนหายใจยาว

“ในขั้นรวมโลหิต ยิ่งปรากฏเส้นเลือดมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสทะลวงสู่ขั้นชำระล้างมากขึ้นเท่านั้น ทว่าการทะลวงขั้นพลังนี้ยากเกินไป ตามตำราหนังสัตว์มีเพียงขั้นชำระล้างเท่านั้นถึงจะได้รับขนานนามว่าหมาน นักรบขั้นพลังนี้สามารถเปลี่ยนจากเผ่าขนาดเล็กให้เป็นเผ่าขนาดกลางได้!

“ท่านปู่รวมโลหิตหมานได้มากกว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังไร้หวังจะถึงขั้นชำระล้าง ทุกเผ่ารอบสี่ทิศต่างไม่เคยมีผู้ใดทะลวงสู่ขั้นพลังชำระล้าง”

ซูหมิงกล่าวพึมพำ สำหรับเขาแล้วขั้นพลังชำระล้างยังห่างไกลนัก สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในตอนนี้คือตนเองจะสำเร็จลำดับหนึ่งของขั้นรวมโลหิตได้หรือไม่ เพราะในลำดับหนึ่งจำเป็นต้องปรากฏเส้นเลือดสามเส้น

หากมีกายหมาน ตอนเริ่มฝึกฝนจะปรากฏเส้นเลือดสามเส้นขึ้นในเวลาอันสั้น จึงทะลวงสู่ลำดับหนึ่งได้ในทันที ไม่อาจปรากฏเพียงหนึ่งเส้นเฉกเช่นซูหมิง

แม้เริ่มต้นจะติดขัด ทว่าซูหมิงกลับไม่ท้อใจ สำหรับเขาแล้วขอแค่ได้ฝึกฝน นั่นก็เท่ากับยังมีหวัง

ขณะกำลังรวมเส้นเลือด เขาพลันสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่มากขึ้นจากเศษหินตรงหน้าอก นั่นทำให้เขาตื่นตะลึง แอบคิดว่าตนน่าจะเข้าใจถึงหลักการของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้แล้ว

เพียงกาลเวลาวูบไหวก็ล่วงเลยไปเจ็ดวัน

ตลอดเจ็ดวันนี้ซูหมิงแทบไม่ออกจากเรือน กระทั่งความหิวโหยยังเกิดขึ้นไม่มากครั้ง ทำให้เขาฉงนเล็กน้อย เพราะในตำราหนังสัตว์กล่าวไว้ว่าผู้ฝึกพลังหมาน โดยเฉพาะขณะรวมโลหิต เหตุเพราะโคจรเส้นเลือดในกายความอยากอาหารจึงเพิ่มขึ้น อีกทั้งขณะที่ร่างกายเติบโตอย่างรวดเร็ว ยังสร้างโลหิตให้เพียงพอสำหรับการฝึกฝนได้ด้วย

ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับไม่เกิดขึ้นกับซูหมิง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกความดีให้กับกระแสไออุ่นจากเศษหินพิลึก

ในช่วงเจ็ดวันนี้ เหลยเฉินมาหาที่เรือนครั้งหนึ่งเพื่อมอบเลือดกวางเตียวให้แก่ซูหมิง และถือโอกาสนำน้ำลายมังกรทมิฬกลับไปด้วย เหลยเฉินได้รับการยอมรับจากเทวรูปหมานตอนเจ็ดขวบ ปัจจุบันทะลวงถึงลำดับสี่ขั้นรวมโลหิต ในกายมีเส้นเลือดยี่สิบสามเส้น และเป็นคนสำคัญในกลุ่มล่าสัตว์

ก่อนถึงเรือนเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิดประโยคปลอบใจซูหมิง ทว่าท้ายที่สุดตอนพบหน้าซูหมิง กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม

“ซูหมิง พวกเราโตมาด้วยกัน จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง ใครกล้ารังแกเจ้า ถือเป็นศัตรูกับข้าเหลยเฉิน!” กล่าวจบก็โบกมือลา ยิ้มซื่อๆ แล้วเดินจากไป

ซูหมิงมองเหลยเฉินเดินจากไป ในใจรู้สึกอบอุ่นยิ่ง

ชีวิตในเผ่าแม้จะเรียบง่าย ทว่ากลับไม่จืดชืด แทบทุกคนในเผ่าต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ต้องอุทิศตนเพื่อให้ชนเผ่าอยู่รอด

ทว่าก็มีครัวเรือนบางส่วน เหตุเพราะนักรบแห่งหมานในสกุลสู้รบจนตายจาก อีกทั้งตนยังอ่อนแอไร้กายหมาน ทำหน้าที่อะไรไม่ได้มาก จึงได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่กินเฉยๆ ไปวันๆ เวลาผู้อื่นอุทิศกำลังของตนเพื่อเผ่า พวกเขากลับไม่ทำสิ่งใด

หลังพิธีชี้นำหมานสิ้นสุดลงได้ครึ่งเดือน ซูหมิงแบกตะกร้าสานขึ้นหลัง ทักทายผู้คน ก่อนออกจากเผ่ามุ่งหน้าไปยังป่าทึบเพียงลำพังอีกครั้ง

เมื่อเข้ามาในป่า ซูหมิงเต็มไปด้วยความปราดเปรียวราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ร่างเขาสั่นไหว พุ่งทะยานไปประดุจคันศรแหลม กระโดดไม่กี่ครั้งก็ขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มราวกับพอใจในความว่องไวของตน

“แม้ว่าจะหลอมโลหิตในลำดับหนึ่งได้ไม่สมบูรณ์ แต่ร่างกายข้ากลับปราดเปรียวกว่าแต่ก่อนมาก”

ซูหมิงวางสองนิ้วมือไว้บนปาก ก่อนเป่าเป็นเสียงดังก้องกังวานไกล ไม่นานเห็นเงาแดงพลันทะยานเข้ามาใกล้ ด้วยความเร็วของมัน พริบตาเดียวก็มาถึงตัวซูหมิง

ซูหมิงยิ้ม ช่วงที่เงาแดงเข้ามาใกล้เขาพลันกระโดดไปด้านหน้า เงาแดงร้องเสียงแหลมทะยานตามมาติดๆ

“เสี่ยวหง วันนี้เรามาแข่งกัน ใครขึ้นเขาได้ก่อนชนะ!” น้ำเสียงซูหมิงแฝงความร่าเริง กล่าวพลางพุ่งทะยานอย่างเร็วรี่ เงาแดงด้านหลังเป็นลิงน้อยขนแดง ใบหน้าดูเหยียดหยาม ในมือถือเมล็ดผลไม้ กำลังกัดแทะราวกับไม่แยแสจะแข่งกับซูหมิง มันเกาใบหน้า ตามหลังมาด้วยท่าทีขี้เกียจ

ทว่าตามไปตามมา เจ้าลิงพลันแผดเสียงร้องแหลม ดวงตาสองข้างแดงก่ำ สีหน้าดูตกตะลึง รีบโยนเมล็ดผลไม้ทิ้งอย่างร้อนรน ก่อนทะยานตามไปสุดกำลัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!