ตอนที่ 526 นางบอกว่าไม่ยอม
ฟ้ามืดสลัว เมื่อตะวันหมดแสง แม้แต่ท้องฟ้าครามยังมืดลง มีเพียงจุดแสงดาวระยิบระยับ แผ่นดินจึงดูเหมือนผสานรวมกับสีดำเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้และคลื่นรุนแรงจากยอดเขาของฟางชางหลันเหมือนกับแสงสว่างในเงามืด คนบนเกาะบึงใต้จึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนยิ่ง
หอด้านบนยอดเขาหายไปกลายเป็นเศษซาก ทั้งยังมีหลุมลึกบนพื้น กระทั่งรอบๆ ยามนี้ยังมีไอหนาวแผ่กระจายเป็นบางคราว
ฟางชางหลันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น สายตามองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเบิกบานใจ
ซูหมิงเดินเข้ามาหลายก้าวแล้วนั่งลงตรงหน้านาง สายตามองใบหน้าสตรีผู้นี้ เขามีความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีต เพียงแต่ว่าความมืดโดยรอบทำให้ความทรงจำนี้เปื้อนฝุ่น
“ไม่เจอกันนานนัก” ผ่านไปนาน ซูหมิงถึงกล่าวเสียงเบา
“ไม่นานเท่าไร” ฟางชางหลันยิ้มบางๆ รวบเส้นผมแล้วเก็บกระดูกหินหยกในมือ
ซูหมิงมองฟางชางหลัน มองความปีติในแววตานาง มองใบหน้าในความทรงจำ เขาพลันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ในเงามืดบนเกาะบึงใต้ตรงส่วนลึกก้นทะเลมรณะ ตรงหน้าซูหมิงผุดขึ้นมาเป็นภาพความทรงจำในตอนนั้น
เวลาผ่านไปทีละนิด เหมือนผ่านไปนานมาก รอยยิ้มบนใบหน้านางค่อยๆ หายไปกลายเป็นสงบนิ่ง นางลอบถอนหายใจภายใน ก้มหน้าลงเงียบเหมือนกับซูหมิง
“เมืองเขาหานเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ไม่อยู่แล้ว” ฟางชางหลันหลับตา พึมพำเบาๆ
“ชนเผ่าของเจ้า…”
“แตกสลายแล้ว” ฟางชางหลันลืมตาขึ้น มองใบหน้าซูหมิงที่นางลืมไม่ลงมายี่สิบปี ยี่สิบปีนี้จะว่านานก็ไม่ ทว่าก็ไม่เร็วเช่นกัน อีกทั้งในยี่สิบปีนี้ยังเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย
ทั้งสองคนเงียบงันอีกครั้งในเงามืด เหมือนไม่มีบทสนทนาร่วมกันใดๆ อีก
“จื่อเยียนบอกกับข้าแล้วว่าพวกเจ้าต้องเจออะไรบ้างในช่วงหลายปีมานี้….” ผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงจึงเอ่ยทำลายความเงียบ
“ศิษย์พี่หญิงจื่อเยียนยอมจ่ายไปมากเพื่อข้า ทว่าข้ากลับไม่ได้ตอบแทนนาง” ฟางชางหลันกัดริมฝีปากล่างแล้วกล่าวเสียงเบา
“ฉะนั้นเจ้าจึงวางกับดักสังหารเมื่อครู่ เพื่อฆ่าคนชื่ออวิ๋นไหลอย่างนั้นรึ?”
ซูหมิงมองสตรีที่ดูเหมือนบอบบางตรงหน้า เหมือนกับที่เขาเห็นในตอนนั้น ภายใต้เปลือกบอบบางซ่อนความแน่วแน่เอาไว้
“น่าเสียดายที่ใช้มันไปแล้ว คงใช้ไม่ได้อีก” ฟางชางหลันก้มหน้ามองมือตัวเอง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าซูหมิงด้วยดวงตาพร่างพราว
“หากข้าไม่เห็นอดีตของคนอื่น ไม่รู้อดีตยี่สิบปีของเจ้า พวกเราจะได้คุยกันมากกว่านี้หรือไม่?”
ซูหมิงอ้าปากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ยังเลือกเงียบไป ความรักที่นางมีให้เขาในอดีตยังคงอยู่ เพียงแต่ซูหมิงไม่รู้ว่าควรจะรับอย่างไร กระทั่งในใจเขายังมีภาพจำของฟางชางหลันแค่ตอนแรก
“พวกเรารู้จักกันในเมืองเขาหาน”
“เข้าสำนักเหมันต์สวรรค์พร้อมกัน”
“ซือหม่าซิ่นปลูกความรักในตัวข้า มันขาดสะบั้นไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า เจ้า…ไม่ติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว” ฟางชางหลันกล่าวเสียงเบา เสียงอ่อนนุ่มดังวนรอบๆ ให้ความรู้สึกนุ่มนวลเหมือนตัวนาง
“พวกเราเป็นสหายกัน” ซูหมิงได้ยินคำของฟางชางหลันจึงกล่าวเบาๆ
“สหาย…พวกเราเป็นสหายกัน” ฟางชางหลันพึมพำ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอีกครั้ง เพียงแต่รอยยิ้มครั้งนี้กับตอนทั้งสองคนจำกันได้แตกต่างกันมาก
รอยยิ้มนี้ไม่มีความสุข แต่แฝงไว้ด้วยความทุกข์ระทม
“เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร ข้ารู้แล้ว….”
“จะพาข้าไป หรือว่า….ไม่สนใจข้า” ฟางชางหลันหลับตาลงอีกครั้ง
ซูหมิงเงียบ
“ถ้าไม่พาข้าไป เจ้าจะมาเพื่ออะไร? ให้ข้าอยู่กับโลกของตัวเองในความทรงจำไม่ดีกว่าหรือ ซูหมิง….เจ้าไปเถอะ!” ฟางชางหลันหลับตากล่าวเสียงแผ่วด้วยความเด็ดขาด
“ข้าพาเจ้าไปไม่ได้ ทว่าข้าสังหารคนที่บังคับใจเจ้าได้” ซูหมิงมองฟางชางหลัน เอ่ยเสียงหนักแน่น
“ไม่ต้อง ข้าไม่จำเป็นต้องโดนบังคับ ในเมื่อเจ้าไม่พาข้าไป ข้าก็ต้องเลือกวิธีเอาชีวิตรอดเอง” ฟางชางหลันมีสีหน้าสงบนิ่ง คำพูดยังนุ่มนวล ทว่าในความนุ่มนวลมีความเศร้าหมอง ซูหมิงรู้สึกได้
ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองฟางชางหลันด้วยความซับซ้อน แล้วยืนขึ้นอย่างเงียบๆ ก่อนเดินไกลออกไป
เขารับนางไว้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่านางไม่ดีงามมากพอ แต่เพราะตัวเขาไม่อยากมีบ่วงคล้องคอมากเกินไป
เรื่องความรักแบบนี้ ตอนอยู่ภูเขาทมิฬก็ถูกฝังกลบไปแล้ว ตอนอยู่ในงานพนันหินโลกเก้าหยิน คำพูดและการแสดงออกของหญิงเหล่านั้นทำให้เขามองออกมากขึ้น
“ข้าอิจฉาไป๋ซู่ในตอนนั้นมาก…ข้าอยากรู้ ซูหมิง หลายปีมานี้หญิงคนใดที่เจ้ายากจะลืมเลือนได้มากที่สุด?” เสียงแผ่วเบาของฟางชางหลันดังแว่วมาจากด้านหลัง
ซูหมิงหยุดชะงัก ตรงหน้าเขาผุดขึ้นมาเป็นใบหน้าหลากหลาย ใบหน้าเหล่านี้มีชัดเจน มีเลือนราง ทว่าสุดท้ายกลับค่อยๆ หายไปทีละคน ไม่มี….หากมี บางทีอาจมีเพียงยามเยาว์วัย เป็นเด็กสาวนามไป๋หลิงคนนั้น คนที่ซูหมิงใจเต้น ตอนนี้ก็ยังยากจะลืมเลือน
ทว่านั่นก็เป็นอดีต
“เจ้าเป็นคนไร้หัวใจ…ซูหมิง…” ฟางชางหลันเหมือนคาดเดาใจซูหมิงออก จึงกล่าวเสียงเบาข้างหลังเขา
‘บางที’ ซูหมิงรับเงียบๆ ในใจ นอกจากไป๋หลิงแล้ว ก็มีสตรีสองคนที่มีภาพจำลึกซึ้งที่สุด หนึ่งคือไป๋ซู่ อีกหนึ่งคือเทียนหลันเมิ่ง
ทว่าไป๋ซู่ไม่เลือกเส้นทางหวนกลับที่ซูหมิงมอบให้ เทียนหลันเมิ่งก็เงียบก้มหน้าหลบสายตาตอนอยู่ในโลกเก้าหยิน ความลึกซึ้งนี้จึงค่อยๆ กลับกลายเป็นธรรมดา
จนกระทั่งซูหมิงจากไป บนยอดเขาเหลือเพียงฟางชางหลัน นางนั่งอย่างเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ยามลืมตามีน้ำตาไหลพราก ทำให้โลกในดวงตาขุ่นมัว
“ข้าเห็นอดีตของผู้คน ทว่ามองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง…”
นางรำพึงเสียงเบา น้ำตาไหลรินมากขึ้นด้วยความเศร้า ยี่สิบปีมานี้ในใจนางยังคงมีร่างเงาที่ยากจะลืมเลือน วันนี้หลังจากปรากฏขึ้น จุดจบกลับเหมือนในตอนนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร
“บางทีการลืมอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” ฟางชางหลันก้มหน้า ทว่าทันใดนั้นเอง ไกลออกไปบนยอดเขาปรากฏร่างคนผู้หนึ่ง
เขาเป็นชายหัวล้านสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ยืนอยู่ตรงนั้นขณะนัยน์ตาเปล่งแสงอ่อน ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ราวผสานรวมกับยอดเขาใต้เท้า
เขามองฟางชางหลันกับหลุมลึกและซากโดยรอบอย่างเย็นชา ก่อนเดินมาทีละก้าว
ร่างเขาปานภาพมายา ช่วงที่เดินมามวลอากาศบิดเบี้ยว จนกระทั่งมาอยู่ห่างจากนางสิบจั้ง
“ที่นี่ เจ้าคงเตรียมเอาไว้ให้ข้ากระมัง” ชายคนนี้คืออวิ๋นไหลผู้ที่จื่อเยียนบอก หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้ว ก็มองไปยังจุดที่มีดวงตะวันอยู่เมื่อก่อน สองดวงตาหรี่ลง
ฟางชางหลันเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นไหลอย่างเย็นชา ทว่าไม่กล่าวคำใด
“หอที่นี่และยังมีคลื่นวงแหวนอาคมข้างใน หลังจากข้าเข้ามาแล้วก็น่าจะถูกหยุดเอาไว้ครู่หนึ่ง” อวิ๋นไหลกล่าวนิ่งๆ สายตามองตรงหลุมลึก
“จากนั้นเมื่อข้าออกจากหอก็จะเข้าไปในวงแหวนอาคมอีก อาคมนี้จะแช่แข็ง ต่อให้เป็นข้าก็ยังถูกผนึกเอาไว้เสี้ยววินาทีหนึ่ง” อวิ๋นไหลมีสีหน้าชื่นชม เดินเข้ามาอีกหลายก้าว
“หลังจากนั้นก็จะใช้ปราณกระบี่เก้าสิบเก้าเล่มของภูเขานี้ล้อมเอาไว้ ทำให้ข้าไม่ทันสังเกตอาวุธสังหารของจริงจากบนฟ้า” อวิ๋นไหลเดินมาห่างจากฟางชางหลันสามจั้ง สายตามองตัวนาง
“ดูแล้วเจ้าคงมีอุบายอื่นๆ อีกจนกระทั่งสังหารข้าลงได้ ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ! สมกับเป็นสตรีที่ข้าอวิ๋นไหลถูกใจ มีความคิดและมีความอดทนจริงๆ แต่ในแผนนี้น่าจะมีนางสารเลวจื่อเยียนร่วมด้วยกระมัง” อวิ๋นไหลพลันหัวเราะ
“จริงๆ แล้วข้าไม่เข้าใจ เจ้าแค้นข้าเพราะเหตุใด? ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะข้า เจ้ากับนางสารเลวจื่อเยียนคงกรีดร้องด้วยความทรมาน หากไม่ใช่เพราะข้า ตอนนี้คงเป็นวิญญาณร้ายไปแล้ว
พวกเจ้าเพียงแค่ต้องยอมเป็นสตรีปรนนิบัติข้าเองไม่ใช่รึ ข้อแลกเปลี่ยนแบบนี้เหตุใดถึงต้องแค้นกัน? ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นี่คือกฎที่สวรรค์กำหนด อยากมีชีวิตรอด อยากได้รับการคุ้มกันจากผู้แข็งแกร่ง จะไม่ยอมละทิ้งอะไรเลยหรืออย่างไร?
อีกทั้งข้าปฏิบัติกับเจ้าต่างจากคนอื่น เจ้าไม่ยอมข้าก็ไม่บังคับเจ้า ตอนนี้ก็หลายปีมาแล้ว ข้าเคยบังคับเจ้ารึ?” อวิ๋นไหลส่ายศีรษะพลางกล่าวเนิบๆ
“เจ้าไม่เห็นต้องเสแสร้ง สิ่งที่เจ้าสนใจคืออภินิหารวิชาของข้า แต่ข้าเคยเห็นความทรงจำของเจ้าแล้ว เป็นความทรงจำทั้งก่อนและหลังจากเจ้าบังเอิญเจอศิษย์พี่หญิงกับข้า หลายปีมานี้ข้าช่วยเจ้าหลายครั้ง ข้ามเรื่องแผนการของเจ้าในตอนนั้นไปก่อน แค่ช่วยเหลือเจ้าหลายครั้งนี้มันก็มากพอจะทดแทนการปกป้องจากเจ้าแล้ว” ฟางชางหลันกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ไม่พอ ข้าไม่อยากสังหารเจ้าเช่นนี้เลย แต่นางสารเลวจื่อเยียนนั่นเปลี่ยนความคิดข้าแล้ว ข้าจะส่งนางออกไป…ส่วนเจ้าข้าให้อภัยได้ ทว่าเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น จะต้องเป็นสตรีปรนนิบัติให้ข้า!” นัยน์ตาอวิ๋นไหลเป็นประกาย เดินเข้ามาอีกครั้งจนห่างจากฟางชางฟลันไม่ถึงสองจั้ง
“เขาไปแล้ว เจ้าไม่ต้องอธิบายหรือหยั่งเชิงอะไรอีก” นัยน์ตาฟางชางหลันฉายแววเย้ยหยัน
“นอกจากนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าฟางชางหลันขอยอมตายดีกว่าเป็นหญิงบำเรอให้เจ้า ข้า…ไม่ยอม!”
อวิ๋นไหลหรี่ตา แค่นเสียงหึแล้วยกเท้าเดินมาอีกก้าว ใกล้จะถึงตัวฟางชางหลัน
ทว่าทันทีที่ยกเท้าขึ้น พลันมีลมหนาวทิ่มแทงกระดูกลอยมาจากข้างหลังพร้อมกับเสียงหนาวเยือกสุดขีด
“นางบอกว่าไม่ยอม เจ้าไม่ได้ยินรึ?”
ช่วงที่เสียงดังแว่วเข้ามา อวิ๋นไหลพลันหมุนตัวกลับไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ด้านหลังเขาปรากฏร่างหนึ่ง อาภรณ์ยาวทั้งตัว เส้นผมสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา ทว่าสีหน้ากลับเย็นชา
อวิ๋นไหลหรี่ตาลงพร้อมกับโคจรขั้นวิญญาณหมานตอนกลางทั้งตัว ทำให้มวลอากาศรอบๆ บิดเบี้ยวปานฉีกขาด เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องซูหมิงก่อนส่งเสียงหัวเราะทันใด
“นานๆ ครั้งจะเจอผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานรุ่นเดียวกัน หากท่านถูกใจสตรีผู้นี้ คงเป็นแซ่อวิ๋นเองที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ”