Skip to content

สู่วิถีอสุรา 629

ตอนที่ 629 ความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง

“ในเผ่าเซียนมีสำนวนอยู่ประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง[1]…สหายท่านนี้ปิดบังใบหน้าคงจะกลัวคนจำได้ เช่นนั้นก็ขอเรียกเจ้าไปพลางๆ ก่อนว่าสหายนกกระจอกเหลือง” เซินตงเดินหน้าหนึ่งก้าวแล้วกล่าวเนิบๆ

เขาจ้องซูหมิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและยังจริงจัง ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขามองออกแล้วว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างผิดปกติ นั่นเป็นกลิ่นอายพลังที่สร้างความหวาดกลัวให้เขา ฉะนั้นเขาจึงไม่ลงมือ แต่ให้คนอื่นๆ หยั่งเชิงก่อน แต่ต่อให้เป็นเขาก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายเดินเพียงสามก้าว กลับสังหารผู้แข็งแกร่งอันดับสองในสำนักวิญญาณอสูรได้

เรื่องนี้เขาต้องเตรียมรายงานไปยังท่านจี๋อั้นแห่งสำนักอสูร ถึงอย่างไรผู้ตายก็มิใช่เผ่าหมานปรับสายเลือด แต่เป็นผู้มาเยือนแห่งสำนักอสูรจริงๆ

คนแบบนี้ตายตกไป โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจ สำหรับสำนักอสูรแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!

“สหายนกกระจอกเหลืองวางแผนได้ดี อาศัยจังหวะที่พวกข้าบุกสำนักซ่อนมังแอบลอบเข้าไป ดูแล้วของที่ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรเก็บมาคงอยู่กับสหายนกกระจอกเหลืองไม่น้อย

โดยเฉพาะหินแสงสว่างหยาง…ทว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันไม่คุ้มค่า จากที่แซ่เซินเข้าใจในตัวกู้หยวนไห่ คนผู้นี้จะต้องมีไม้ตายสุดท้ายอย่างแน่นอน ถุงเก็บวัตถุที่เอาออกมานี้ครึ่งหนึ่งเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

หินแสงสว่างหยางแท้จริงเขาน่าจะซ่อนเอาไว้แล้ว” เซินตงเอ่ยด้วยนัยน์ตาวาววับ จ้องดวงตาซูหมิงพร้อมกับเดินหน้าไปอีกก้าว

ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ไม่กล่าวอะไร เพียงมองเซินตงเดินหน้ามาอีกหนึ่งก้าว

“เจ้าสังหารผู้อาวุโสสำนักวิญญาณอสูร เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ ฝ่ายมือสังหารสำนักอสูรจะตามหาเจ้า…แต่ก่อนหน้านั้น แซ่เซินอยากประมือกับสหายนกกระจอกเหลืองสักครั้ง…

ดูท่าสหายนกกระจอกเหลืองคงไม่อยากเสียเวลาเช่นกัน เจ้าถ่วงเวลาพวกข้าให้กู้หยวนไห่หนีไป เจ้ากับเขาคงจะมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกันอยู่

ในถุงเก็บวัตถุใบนั้นไม่มีหินแสงสว่างหยาง แต่น่าจะมีสมบัติลับอยู่เล็กน้อยของสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกร มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยสติปัญญาของสหายนกกระจอกเหลืองก็ไม่น่าจะถูกหลอกได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้ากับข้ามาตัดสินกันด้วยสามกระบวนท่า ในสามกระบวนท่านี้ไม่ว่าเป็นหรือตาย หลังจากนั้นแล้วเจ้ากับข้าจะไม่ขวางกันอีก เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เซินตงกล่างเนิบๆ เอ่ยจบคนโดยรอบก็มีหลายคนรู้สึกตัวช้า พลันมีสีหน้าไม่แน่ใจ

ซูหมิงหรี่ดวงตา นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ เซินตงผู้นี้พูดแทบจะคล้ายกับความจริง สามารถมองเรื่องเหล่านี้ออกจากเงื่อนงำเล็กน้อยได้ จะเห็นได้ว่าเป็นคนเจ้าแผนการทีเดียว

ความจริงเป็นอย่างที่เซินตงกล่าวไว้จริงๆ ซูหมิงไม่ได้สนใจหินแสงสว่างหยางอะไรนั่นมากนัก เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ย่อมไม่เข่นฆ่าสังหารเพื่อมันมากเกินไป อีกทั้งย่อมไม่มีทางสังหารทุกคนที่นี่เพื่อครองหินแสงสว่างหยางคนเดียว เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ ฉะนั้นช่วงที่วิญญาณแรกของชายชราแซ่กู้แห่งสำนักซ่อนมังกรอยู่ในอันตราย ซูหมิงจึงส่งคลื่นจิตสัมผัสบอกความหมายแฝงไปให้

เขาไม่ต้องการหินแสงสว่างหยาง เขาต้องการสมบัติลับจำนวนมากของสำนักซ่อนมังกรรวมถึงของในถุงเก็บวัตถุ ขอแค่อีกฝ่ายมอบให้เขา เขาจะช่วยถ่วงเวลาให้เล็กน้อย

การแลกเปลี่ยนครั้งนี้อยู่ในช่วงเวลาเป็นตาย ชายชราแซ่กู้ย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อย เขาต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ต่อๆ มา

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ในเมื่อเซินตงมองออกก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง ยามนี้ยิ้มพลางกล่าวขึ้น

“สามกระบวนท่า ได้!”

นัยน์ตาเซินตงเป็นประกาย เขากำลังรอคำพูดนี้ของอีกฝ่ายอยู่ มิเช่นนั้นคงไม่ต้องเอ่ยไปก่อนหน้านี้มากขนาดนั้น สุดท้ายก็กล่าวประโยคนี้ออกมา ความแกร่งของอีกฝ่ายสร้างความหวาดกลัวให้เขายิ่งนัก ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้เขาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้เลย ทว่าหากอีกฝ่ายตั้งใจแล้วว่าจะก่อกวน เช่นนั้นภารกิจในครั้งนี้ก็คงยากจะสำเร็จ

ถึงอย่างไรพอเวลาผ่านไป กู้หยวนไห่ก็จะหนีไปไกลเรื่อยๆ แม้สำนักวิญญาณอสูรผนึกอาคมเคลื่อนย้ายในละแวกนี้ไว้หมดแล้ว ทว่าหากนานเข้า อีกฝ่ายหนีออกจากพื้นที่ผนึก การตามหาจะยากยิ่ง และยังง่ายที่จะเกิดเหตุไม่คาดคิด

“พวกเจ้าตามกู้หยวนไห่ไป!” เซินตงกล่าวพลางเดินหน้าไปหาซูหมิงหนึ่งก้าว แล้วยกมือขวาขึ้น แส้สีแดงเส้นหนึ่งพลันปรากฏ ชั่วขณะที่ตวัดมันก็มีเสียงฟ้าผ่าดังก้องมาจากแส้และยังมีลูกสายฟ้าจำนวนมากลอยขึ้น ผสานรวมกับเสียงซ่าๆ ก่อนตรงไปหาซูหมิง

เจ็ดคนรวมเป่าชิว ยามนี้มองตากันและกันก่อนจะกลายเป็นสายรุ้งบินขึ้นฟ้า เดิมทีเป่าชิวไม่อยากไป แต่ก็อยู่ไม่ได้ เลยต้องตามทุกคนไปด้วย

ในใจนางยากจะสงบลง ร่างสามก้าวสามทวนสังหารหนึ่งคนประทับลึกในสมองนางอยู่นานไม่เลือนหาย

ซูหมิงไม่ได้ขวางเจ็ดคนนี้ เขามองเซินตง นัยน์ตาเริ่มเผยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ยกมือขวาพร้อมกับกำทวนฝังอสูรแน่น ทวนส่งเสียงดังหึ่งๆ แล้วกลายเป็นหมอกดำจำนวนมากโดยพลัน จากนั้นซูหมิงก็คว้าเอาไว้แล้วขว้างใส่ลูกสายฟ้าจากบนฟ้ารวมถึงแส้ในมือเซินตง

เสียงโครมดังขึ้น ทวนฝังอสูรกลายเป็นควันดำเส้นหนึ่งตรงเข้าไปใกล้ลูกสายฟ้าเหล่านั้น ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังสนั่น ทวนยาวทะลวงผ่านมวลอากาศมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเซินตง

แววตาเซินตงขยับประกายราวกับเข้าใจ เขาคลายแส้ในมือ ทวนฝังอสูรจึงม้วนแส้ยาวนั้นแล้วลากออกไปไกลหลายร้อยจั้ง ก่อนปักลงพื้นจนส่งเสียงดัง

“ของวิเศษเจ้าสู้ข้าไม่ได้ พวกเรามาสู้กันด้วยวิชาดีกว่า!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

การต่อสู้ครั้งนี้เขาจะไม่ใช้หอกฝังอสูรอีก ผู้แข็งแกร่งอย่างเซินตงเขาเจอมาไม่เยอะนัก ยามนี้ได้เจอแล้วก็ขอลองว่าตนในสภาพไร้ของภายนอกนี้จะอยู่ในระดับใด

“ไม่ใช้ของวิเศษ…ใช้เพียงวิชา ดี!” แม้เซินตงจะมีสีหน้าบึ้งตึงบ่อยครั้ง ทว่าเขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหนึ่ง ย่อมมีความเด็ดเดี่ยวและเสน่ห์ในบุคลิกภาพ พอได้ยินซูหมิงกล่าวจึงพยักหน้าให้

ตอนที่พยักหน้า เซินตงทำสัญลักษณ์มือขวา หลังจากเปลี่ยนสัญลักษณ์มืออีกหลายครั้งก็สะบัดไปข้างหน้า มวลอากาศตรงหน้าปรากฏเป็นแสงสีม่วงอมแดง มันขยับวูบวาบแล้วกลายเป็นนกตัวหนึ่ง นกตัวนี้มีสีม่วงอมดำทั้งตัว ดวงตาเหี้ยมโหด ขณะเดียวกันบริเวณหลังมันมีปุ่มหนังพองนูนขึ้นมา จากนั้นก็มีคนเล็กสีดำมุดออกมาจากหนังพองนั้น แล้วจึงเงยหน้าร้องคำรามเสียงเล็กแหลม

ร่างกายมันเหมือนเชื่อมกับนกตัวนั้น

รูปลักษณ์นกเหมือนกับนกแขกเต้าทว่าดุร้าย แทบเป็นจังหวะเดียวกับที่มันปรากฏตัว ข้างๆ มันก็มีนกบินขึ้นมาอีกครั้ง ตัวนี้เป็นเหยี่ยวสีแดงฉาน ดวงตาเป็นสีแดงและมีความคลุ้งคลั่ง ด้านหลังมีหนังพองยึกยือ มีคนตัวเล็กสีดำโผล่ออกมาเช่นกัน

หลังจากเหยี่ยวก็เป็นนกอินทรีใหญ่ หลังจากนกอินทรีก็เป็นนกใหญ่ สัตว์ทุกตัวล้วนมีขนาดใหญ่ขึ้น นกทั้งหมดสี่ตัวกำลังร้องคำรามตรงหน้าเซินตง

“นี่คือวิชาสี่ปักษาขยับไหวของข้า ในแดนเซียน วิชานี้เคยสังหารผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจสี่คน แล้วสร้างขึ้นจากจิตวิญญาณและจิตแรกของพวกเขา…” เซินตงกล่าวนิ่งๆ โดยไม่ได้ลงมือในทันที แต่มองมาที่ซูหมิง

ซูหมิงมองสัตว์ปีกสี่ตัวนั้น เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าในตัวพวกมันมีความแค้นฝังลึกอยู่ ความแค้นนี้เหมือนถูกระงับเอาไว้ไม่ให้ออกมา หลังจากผ่านไปนานเข้าก็ยิ่งฝังลึก ทำให้ตอนนี้พอพวกมันปรากฏตัวก็ทำให้ฟ้าดินขมุกขมัวในทันใด ราวกับว่าความแค้นนับไม่ถ้วนในโลกใบนี้ได้รับผลตามไปด้วย เลยรวมตัวเข้ามาจากรอบๆ อย่างต่อเนื่อง

‘เป็นความแค้นที่รุนแรงมาก…’ ซูหมิงมองสัตว์ปีกสี่ตัวแวบหนึ่ง การบอกนามกับวิธีสร้างวิชานี้ ไม่ว่าเซินตงจะพูดจริงหรือไม่ มันก็แฝงไว้ด้วยความเคารพ

นี่คือความเคารพต่อผู้แข็งแกร่งและการยอมรับในฐานะ จะเห็นได้ว่าในสายตาเซินตงซูหมิงมีค่าพอจะเทียบเท่าตน สำหรับคนแบบนี้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นเผ่าหมาน แม้สองคนไม่ใช่เผ่าเดียวกัน แต่ความเคารพที่ควรมีก็ยังต้องให้มีอยู่

นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ซูหมิงรู้สึกถึงความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง เขามองเซินตงแวบหนึ่งแล้วยกมือขวาทำสองนิ้วเป็นกระบี่ มือซ้ายค่อยๆ ป้ายไปบนปลายเล็บ เหมือนว่าสองนิ้วมือเป็นกระบี่ไร้รูป ยามป้ายมือซ้ายไปจนกระทั่งลากออกจากสองนิ้วมือขวาก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จนอยู่ห่างเจ็ดฉื่อ สองนิ้วมือขวาซูหมิงพลันเปล่งแสงทองอร่าม แสงสว่างจ้าแสบตา ห้านิ้วมือขวาซูหมิงกางออกทั้งหมด

แสงทองสว่างไสวเปล่งออกไปแล้วม้วนกลับมาปกคลุมมือขวาประหนึ่งน้ำไหล ทำให้มือขวาเขากลายเป็นสีทอง จากนั้นซูหมิงทำสัญลักษณ์มือขวาอีกครั้งก่อนสะบัดมือไป แสงทองสว่างมากขึ้นอีกครั้ง เห็นด้วยตาเนื้อเลยว่ามือขวาซูหมิงแห้งเหี่ยวเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวของซูหมิงยังไม่จบ เขาทำสัญลักษณ์มืออีกแปดครั้ง ทุกครั้งมือขวาเขาจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งครบเก้าครั้ง ทั้งมือขวาก็กลายเป็นหนังหุ้มกระดูก แสงทองกลายเป็นสีดำ ยามนี้มือขวาซูหมิงจึงเหมือนกับโครงกระดูก!

ห้านิ้วมือเป็นสีดำทึบ เล็บยาวเฟื้อย กลายเป็นจุดเปรียบเทียบที่เด่นชัดกับแขน

“อภินิหารนี้ไร้ชื่อ…ข้าตระหนักรู้ด้วยตัวเองในโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน ขณะอยู่ในวัฏจักรห้าสิบครั้งก็ตระหนักรู้ถึงต้นกำเนิดด้านตรงและด้านกลับ ผสานรวมอยู่ในมือ…วิญญาณที่ตายด้วยอภินิหารนี้…นับไม่ถ้วน!

สิ่งนี้คืออย่างแรก จากนี้ข้าจะใช้วิชาเก้าแปรเปลี่ยนเมื่อครู่ พอเปลี่ยนอีกเก้าครั้งแล้วก็จะใช้อภินิหารนี้ได้ในระดับสูงสุด…” ซูหมิงเงยหน้ามองเซินตงพลางกล่าวเนิบช้า

เซินตงหรี่ม่านตา อภินิหารของเขาสร้างขึ้นจากการสังหารผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจสี่คน ก็น่าตะลึงยิ่งแล้วในรุ่นเดียวกัน ทว่ายามนี้พอได้ยินซูหมิงกล่าว เขาจำต้องสูดลมหายใจเข้าลึก จริงๆ แล้วตอนที่เห็นซูหมิงใช้อภินิหารนี้ ในใจเขาก็สั่นสะท้านแล้ว เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่ไม่กล้ามั่นใจ

“จู๋จิ่วอิน…เก้าแปรเปลี่ยน…” เซินตงมีสีหน้าจริงจังถึงขีดสุด กระทั่งยังตื่นตัวกว่าตอนรับมือกับภัยพิบัติหมานเสียอีก

[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง ความหมายคือ เอาแต่มองผลประโยชน์ข้างหน้า โดยไม่รู้ว่ามีภัยอยู่ข้างหลัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!