Skip to content

สู่วิถีอสุรา 630

ตอนที่ 630 ตระหนักรู้

ขณะที่ซูหมิงเข้าใจพลังแห่งการคว้าจากโลกอมตะจู๋จิ่วอิน แล้วใช้มือขวาผ่านเก้าแปรเปลี่ยน ปะทุเป็นพลังจุดสูงสุดจนมือขวาเหมือนหนังหุ้มกระดูก ชั่ววินาทีนี้เองที่เซินตงมีสีหน้าจริงจัง แล้วประสานสัญลักษณ์มือผลักไปข้างหน้า

สัตว์ปีกสี่ตัวตรงหน้าเขา ตั้งแต่นกแขกเต้าจนถึงนกใหญ่ต่างร้องคำรามพร้อมกระพือปีกตรงไปหาซูหมิง โดยเฉพาะคนเล็กตัวสีดำที่โผล่มาจากหลังนกสี่ตัวพร้อมกัน พวกมันอ้าปากกว้างกรีดร้องเสียงเล็กแหลม ทำสัญลักษณ์สองมือควบคุมสัตว์ปีกให้ตรงเข้าไปในพริบตา

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขาไม่มองสัตว์ปีกสี่ตัวนั้นแต่มองมือขวาตัวเอง แทบจะเป็นวินาทีที่สัตว์ปีกเข้ามาใกล้ กระพือปีกสร้างพายุคลั่งใส่เส้นผมซูหมิงให้ปลิวไสว มือขวาเขาก็กลายเป็นสีทอง

ดูแล้วเหมือนกับกระดูกมือทองคำ!

เขายกมือกระดูกทองคว้าไปทางสัตว์ปีกสี่ตัวนั้นโดยทันที ตอนที่คว้าไป นกแขกเต้าในบรรดาสัตว์ปีกสี่ตัวตัวสั่นสะท้านแล้วถูกหยุดนิ่งไว้กลางอากาศ กฏแห่งฟ้าดินรอบๆ ตัวมันเกิดการแปรเปลี่ยน ส่งผลให้มวลอากาศโดยรอบสมจริงขึ้นมา สร้างเป็นแรงบีบอัดรุนแรง ประหนึ่งว่ากดทับนกแขกเต้าเอาไว้กลางอากาศ

ต่อมา หลังจากเหยี่ยวบินผ่านนกแขกเต้ามาหลายจั้งมันก็ร้องเสียงแหลม ร่างกายหยุดนิ่งด้วยการคว้ามือของซูหมิงเช่นกัน ในร่างกายมีเสียงดังโครมคราม พอดิ้นรนพลังบีบอัดจะยิ่งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเป็นอินทรีใหญ่ ร่างมันสั่นอย่างรุนแรงยามร้องเสียงเล็กแหลม จากนั้นพุ่งออกมาอีกสิบกว่าจั้งก่อนจะถูกผนึกด้วยการคว้ามือ

ในขณะที่อินทรีถูกผนึกไว้ ซูหมิงถอยหลังไปสองก้าวด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่าการใช้วิชานี้ไม่ง่ายสำหรับเขา

ส่วนนกใหญ่ยักษ์ตัวสุดท้าย มันตรงเข้ามาใกล้ พลังแห่งการคว้ามือของซูหมิงทำให้ความเร็วมันลดน้อยลงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ากลับไม่อาจผนึกมันไว้กลางอากาศได้

ครั้นเห็นนกใหญ่เข้ามาใกล้พร้อมกับพายุโหมกระหน่ำ ตอนที่ฟ้าดินเปลี่ยนสี นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย มือขวาที่กำมวลอากาศอยู่ ตอนนี้กำเป็นหมัดอย่างสมบูรณ์

ฉับพลันนั้น นกแขกเต้าพลันระเบิดกระจุย ก่อเป็นคลื่นลมไร้ขีดจำกัดกระจายออกเป็นวงกว้าง เหยี่ยวก็ตัวสั่นแล้วระเบิดเช่นกัน จากนั้นก็เป็นนกอินทรี

หลังจากนกสามตัวระเบิด ภายใต้ระลอกคลื่นที่กระจายเป็นวงกว้าง ท้องฟ้าเกิดเสียงอึกทึกดังต่อเนื่อง ทำให้นกใหญ่ยักษ์ที่เดิมทีช้าลงแล้วต้องรับกับแรงปะทะทั้งหมด

ส่วนซูหมิง พอกำหมัดแล้วก็มีเส้นสีขาวลอยมาจากซากสัตว์ปีกสามตัว ตรงเข้ามาอบอวลอยู่ทั้งในและนอกหมัด ขณะกำลังรวมตัวอย่างต่อเนื่อง ซูหมิงก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นเรื่อยๆ

ซูหมิงเชี่ยวชาญวิชาคว้าและสูบนี้อย่างยิ่ง หลังจากใช้วิชาเก้าแปรเปลี่ยน เขารู้สึกเด่นชัดว่าการกำหมัดนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงใหม่อีก

ทันทีที่เกิดความรู้สึกนี้ ก็มีเสียงคำรามเกรี้ยวโกรธแว่วมาจากแรงระเบิดของนกสามตัว ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น ร่างนกใหญ่ยักษ์พลันพุ่งออกจากระลอกคลื่นแรงระเบิดในพริบตาประดุจหลุดพ้น ด้วยความเร็วของมัน พริบตาเดียวก็เข้าประชิดซูหมิง ทำให้ทุกอย่างในสายตาเขาเลือนราง มีเพียงปีกน่าสะพรึงกลัวที่ชัดเจนอย่างยิ่ง!

คนเล็กตัวดำบนหลังมันยังคงส่งเสียงเล็กแหลม พลังทำลายล้างถาโถมใส่หน้าซูหมิง

แววตาซูหมิงขยับประกาย ช่วงที่นกใหญ่เข้ามาใกล้ เขายื่นหมัดขวาไปข้างหน้าแทบจะทันที ห้านิ้วมือกางเป็นฝ่ามือแล้วกดไป

พอกดฝ่ามือลง หมอกขาวที่วนเวียนอยู่รอบฝ่ามือซูหมิงพลันบิดเบี้ยวและเห็นเป็นร่างเงาสัตว์ปีกสามตัวนั้นรางๆ ตอนกล่าวดูช้าแต่ในความจริงช่างรวดเร็ว วินาทีที่ซูหมิงกดฝ่ามือก็เข้าปะทะกับนกยักษ์โดยทันที!

เหตุการณ์นี้เหมือนกับภาพวาดภาพหนึ่ง ในภาพวาดเส้นผมซูหมิงปลิวไสว ยืนอยู่กลางอากาศ ยกมือขวาไว้ข้างหน้าขณะปะทะกับนกใหญ่ยักษ์ บนร่างนกยังมีคนเล็กสีดำที่ดุร้ายอีกหนึ่งตน

เวลาเหมือนหยุดนิ่งในภาพนี้ ทว่าการหยุดครั้งนี้ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็ถูกเสียงดังสนั่นฉีกทำลาย

ท่ามกลางเสียงระเบิด ร่างนกใหญ่แหลกเป็นชิ้นๆ จนลุกลามไปทั้งตัวแล้วจึงระเบิดกระจุย คนตัวเล็กบนหลังมันก็กรีดร้อง ร่างค่อยๆ สลายไปตามสายลมประดุจเป็นมนุษย์ทราย…

จนกระทั่งหายไปหมดแล้ว ซูหมิงที่ถูกร่างใหญ่ยักษ์ปกคลุมอยู่ก็เผยตัวออกมา เขาหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่กลับยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ถอยแม้เพียงก้าวเดียว เส้นผมเขายังสะบัดพลิ้ว ดวงตาปิดสนิท

จนเมื่อฝุ่นควันรอบๆ หายไป ทุกอย่างกลับคืนสภาพเดิม เซินตงอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าซับซ้อนและมีความตกตะลึงอยู่

‘ตระหนักรู้ขณะต่อสู้…..นะ…เรื่องแบบนี้ข้าเคยเจอมาก่อน! ผู้ที่ตระหนักรู้ได้ในการต่อสู้จะต้องมีความสามารถด้านความเข้าใจสูง’

เขาจ้องซูหมิงด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่ ผ่านไปพักหนึ่งก็ล้มเลิกความคิดจะลอบโจมตี ตัวเขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจ สู้จนตัวตายได้ แต่หากจะให้ลอบโจมตีก็ไม่อาจมองข้ามหลักการในใจ

ซูหมิงลืมตาขึ้น ช่วงที่เขาชกหมัดไปเมื่อครู่ก็ตกอยู่ในห้วงสภาวะพิลึกโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกนั้นยากจะพูดให้ชัดเจน ราวกับว่าทุกอย่างโดยรอบช้าลง ช้าจนเขามีเวลาตรึกตรองมากพอ และมีเวลาจู่โจมสวนกลับ

ในสภาวะเชื่องช้านั้น เขาเห็นมือขวาของตนกลายเป็นฝ่ามือ ตอนที่กดลงไป หมอกขาวเหล่านั้นก็คือสัตว์ปีกสามตัว พวกมันคือสัตว์จากอภินิหารของเซินตง

เขามองไปมองมาก็มีความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง เขารู้สึกว่าตนเหมือนมีวิชาสร้างสรรพสิ่ง…มือขวาสามารถทำลายล้างทุกอย่าง ทั้งหมดทำให้สร้างออกมาเป็น…

หนึ่งคว้า หนึ่งสูบ…หนึ่งกด

การคว้าคือทำลาย การสูบคือรับ การกด…คือกำจัด!

ในสภาวะประหลาดนั้น เขาเห็นสีหน้าเซินตง ความจริงแล้วสีหน้าเซินตงในสายตาซูหมิงยามนั้นเหมือนช้าลงไม่รู้กี่เท่า เลยได้ตรึกตรองและวิเคราะห์อย่างละเอียด ทว่าหากเซินตงจะลงมือจริงๆ ซูหมิงก็มีเวลามากพอจะให้ตนตื่นขึ้นในสภาวะแบบนี้

โลกช้าลงแบบนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้สึก ทำให้ความคิดเขาไหลลื่นขึ้นไม่รู้กี่เท่า เขาคาดการณ์เอาไว้ว่าหากตนตระหนักรู้อยู่ในสภาวะนี้นานๆ เขาจะสามารถควบคุมฟ้าดินได้

ทว่าน่าเสียดาย ความรู้สึกนี้อยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจก็หายไป ตอนที่ทุกอย่างโดยรอบกลับมาเป็นปกติ ซูหมิงก็ตื่นขึ้น

นัยน์ตาเขาเป็นประกายขณะเดียวกับที่เซินตงยกมือขวาขึ้น

“การประมือครั้งแรก ข้าสู้เจ้าไม่ได้…” ดวงตาเขาวาววับ ยกมือขวาขึ้น นิ้วชี้กับนิ้วโป้งเชื่อมกันเป็นวงกลมแล้วกดไปบนฟ้า มือขวาพลันปล่อยควันดำออกมาจำนวนมาก มันแผ่กระจายไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วตัวเซินตง จนกระทั่งปกคลุมรอบกายหลายชั้นก็สร้างขึ้นเป็นร่างยักษ์สูงสิบกว่าจั้งตรงหน้าซูหมิง

ร่างเงานี้ล้วนรวมขึ้นจากหมอกดำ สมจริงดุจมีชีวิต หลังจากปรากฏตัวแล้วก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าดั่งเสียงฟ้าผ่า ซูหมิงรู้ว่าเซินตงอยู่ในร่างยักษ์ นี่จึงเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้เห็นอภินิหารนี้

ครั้งแรกคือตอนอยู่บนยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร เซินตงใช้มันรับมือกับภัยพิบัติหมาน แม้จะถูกภัยพิบัติหมานทำลาย แต่ความจริงแล้วตัวเขากลับไม่เป็นอะไรเลย!

“วิชาเปลี่ยนวิญญาณยักษ์ หนึ่งในสามยอดวิชาแห่งสำนักวิญญาณอสูร วิชานี้จะสร้างวิญญาณยักษ์ขึ้นมา มีพลังค้ำยันฟ้าดิน สูบพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบ มีชีวิตเป็นนิรันดร์!

สหายนกกระจอกเหลือง เตรียมรับการโจมตีของวิญญาณยักษ์เสีย!” เสียงเซินตงดังสนั่น เสียงตะโกนดังจากปากคนยักษ์ ร่างเขาไม่ขยับ ทว่ากลับดึงมือขวาไปด้านหลัง ทำให้ร่างเอนเอียงคล้ายคันธนู ต่อมาก็ร้องคำรามเสียงดังสนั่นฟ้า ก่อนที่คนยักษ์หมอกดำจะกำหมัดขวา ร่างโค้งงอพลันยืดตรงพร้อมกับชกหมัดออกไป

หมัดยักษ์สร้างเสียงฉีกมวลอากาศเล็กแหลม อากาศพังพินาศลงอย่างแท้จริง ราวกับว่าไม่อาจรับอภินิหารของเซินตงไหว จุดที่หมัดนั้นลากผ่าน มวลอากาศจะเกิดเค้าลางแตกเป็นเสี่ยงๆ

ซูหมิงหรี่ม่านตา ยามนี้เขารู้สึกเจ็บไปทั้งตัว กระทั่งลมหายใจยังหายไป เขารู้สึกชัดว่าหมัดของอีกฝ่ายเหมือนสูบอากาศทั้งหมดโดยรอบ ทำให้ที่นี่อยู่ในสภาวะคล้ายกับตอนใช้รูปแบบสามแยกวายุ

อากาศทั้งมวลประหนึ่งถูกกำปั้นสูบไปเป็นพลังอันน่าสะพรึง ทว่าซูหมิงไม่หลบแม้แต่น้อย เขาหลบไม่ได้และไม่คิดหลบด้วย!

‘สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งทรงอำนาจสมบูรณ์ของเผ่าเซียนซึ่งเทียบเท่ากับวิญญาณหมานสมบูรณ์!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววมุ่งมั่นในการต่อสู้ยิ่งขึ้น อีกฝ่ายเคารพเขา เขาก็จะเคารพผู้แข็งแกร่งคนนี้เช่นกัน

ต่อให้เผ่าต่างกัน ต่อให้ความฝันต่างกัน ต่อให้วิถีชีวิตต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ซูหมิงก็จะให้ความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง

“เสียงคำรามแห่งเทพหมาน….ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นจากเทพหมานรุ่นใด…” ขณะเดียวกับที่หมัดตรงเข้ามา ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง วินาทีที่เสียงดังก้อง ซูหมิงก็คำรามเสียงดังที่สุดไปทางหมัดนั้น!

เสียงคำรามพลันดังขึ้น ส่งผลให้โดยรอบเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

ในเวลาเดียวกัน ซูหมิงปะทุพลังจากในร่างกายอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าการประมือครั้งแรกก่อนหน้านี้ เขา….ยังกักเก็บพลังเอาไว้อยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!