ตอนที่ 642 วิญญาณอยู่ในโลกมนุษย์
แม้ยังไม่เตรียมตัวให้ดีพร้อม แม้โอกาสล้มเหลวจะสูงยิ่ง ถึงอย่างไรความสมบูรณ์พร้อมของซูหมิงก็ไม่ใช่การทะลวงขั้นวิญญาณหมานธรรมดา แต่เป็นการทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ ข้ามไปหนึ่งขั้นพลังใหญ่!
แต่ซูหมิงก็ยังเลือกทะลวง!
เรื่องนี้จะถอดใจไม่ได้ ต่อให้ล้มเหลวก็ต้องมีความกล้าที่จะล้มเหลว!
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายวาววับ เขาเคลื่อนตัวตรงไปยังส่วนที่ลึกยิ่งกว่าของพื้นดิน จนกระทั่งไม่อาจลงไปลึกกว่านี้ได้อีกเพราะแรงกดดันจากพื้นดินมีมหาศาล จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงบนเส้นชีพจรผลึกเส้นหนึ่ง รอบตัวไม่มีดิน แต่ดินบริเวณนี้ถูกบีบออกไปข้างๆ จนกลายเป็นพื้นที่กว้างโล่งราวสิบจั้งกว่า
โดยรอบเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ ซูหมิงหลับตานั่งฌานสมาธิ
พลังในร่างกายหมุนโคจร กลิ่นอายพลังเขาจึงทะยานขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ทะยานถึงจุดสูงสุด ในความคิดซูหมิงก้องกังวานไปด้วยเสียงของเทียนเสียจื่อที่บอกเหล่าลูกศิษย์ถึงหลักในการทะลวงขั้นวิญญาณหมาน
วิญญาณหมาน จุดสำคัญอยู่ที่วิญญาณ มันคือความสมบูรณ์แบบของลายหมาน อาศัยพลังเซ่นไหว้กระดูกในร่างกายกระตุ้นลายหมาน หลังจากมันกลายเป็นรูปธรรมแล้วก็รวมเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง! วิญญาณนี้เชื่อมต่อกับฟ้าดินได้ สามารถสูบพลังฟ้าดินและช่วยให้เกิดการพัฒนาการ
กล่าวได้อีกอย่างคือการผลัดเปลี่ยนของวิญญาณ!
ลายหมานเป็นวิญญาณ รวมขึ้นเป็นจิตใจแน่วแน่ พอรวมเส้นเลือดกลิ่นอายพลังเผ่าหมานทั่วร่างแล้วก็จะสร้างเป็นเทวรูปหมานของตัวเอง ใช้มันทำความเข้าใจกับตัวเอง ครั้นผสานรวมกันแล้วก็จะสำเร็จขั้นวิญญาณหมานได้!
‘ภูเขาทมิฬคือลวดลาย…ยอดเขาลำดับเก้าก็คือลวดลายของข้าเช่นกัน!’
บนใบหน้าซูหมิงปรากฏลายหมาน บนร่างปรากฏลายยอดเขาลำดับเก้า ต้นไม้ใบหญ้า เรือนพักอาศัย ทุกสิ่งอย่างล้วนเผยบนตัวอย่างชัดเจน ลายหมานยืดออกจากกลางหัวใจ ปรากฏอยู่บนเรือนร่าง ถือเป็นทั้งหมดของจิตใจ!
“ภูเขาทมิฬคือวิญญาณ!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ
ห้านิ้วมือของภูเขาทมิฬบนใบหน้าพลันบิดเบี้ยว ค่อยๆ ย้ายไปปรากฏด้านหลังแทน ราวกับว่าเป็นภูเขาที่ถูกกลบอยู่บนแผ่นดิน!
“ยอดเขาลำดับเก้าคือวิญญาณ!” ตรงหน้าซูหมิงลอยขึ้นมาเป็นภาพเทียนเสียจื่อ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่ หู่จื่อ…และยังมีทุกอย่างของยอดเขาลำดับเก้า
ฉับพลันนั้น ยอดเขาลำดับเก้าเผยขึ้นตรงหน้าซูหมิง ยอดเขาลำดับเก้าตรงกันกับภูเขาทมิฬด้านหลัง สร้างเป็นเสียงดังสนั่นในส่วนลึกของแผ่นดิน
“วิญญาณของข้าซูหมิงคือความรักที่ไม่มีวันลืมต่อภูเขาทมิฬ…คือบุญคุณของอาจารย์ที่ไม่มีวันมอดดับต่อยอดเขาลำดับเก้า!” ซูหมิงยกสองมือสะบัดไปสองข้าง นัยน์ตาเปล่งประกาย
เขาเหมือนเห็นท่านปู่ เห็นทุกอย่างของภูเขาทมิฬ ข้างหูได้ยินเสียงซวินดังแว่วเข้ามา มันแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ขณะเดียวกันเขายังเห็นตะวันตกดินของยอดเขาลำดับเก้า
ทุกอย่างค่อยๆ ผสานรวมในดวงตา จนกระทั่งซ้อนทับกันจนเห็นไม่ค่อยชัด ในความคิดมีเสียงกึกๆ แว่วมา ราวกับว่าผนึกบางอย่างมีเค้าลางจะคลายออก!
“โชคชะตาคือสวรรค์!” ซูหมิงกล่าวกับตัวเองเบาๆ ส่วนลึกของแผ่นดินเกิดเสียงครึกโครมอีกครั้ง ดินรอบๆ สั่นสะเทือนแล้วกระจายออก เหนือศีรษะซูหมิงปรากฏร่างเงาเด็กทารกคนหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ร่างมายานี้เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง บ้างก็เป็นชายหนุ่มผมม่วง มีกลิ่นอายชั่วร้ายและกลิ่นอายมรณะมหาศาล เพียงพอจะเขย่าแผ่นดินให้สั่นไหว ราวกับว่าแม้แต่แผ่นดินยังเกรงกลัวร่างมายานี้
‘วิญญาณอยู่ในโลกมนุษย์!’ ซูหมิงพลันขยับแขนสองข้างแล้วขยายจิตสัมผัสเข้าผสานรวมกับภูเขาทมิฬ ยอดเขาลำดับเก้า และซู่มิ่ง ใช้จิตใจแน่วแน่เป็นจุดศูนย์กลาง ใช้วิญญาณเป็นจุดรวม ทำให้ภูเขาทมิฬ ยอดเขาลำดับเก้า และร่างซู่มิ่งขยับเข้ามาใกล้กันอย่างช้าๆ จนมีทีท่าว่าจะหลอมรวมกัน!
เมื่อสามสิ่งหลอมรวมเข้าด้วยกัน ร่างซูหมิงสั่นไหว เขารู้สึกว่าพลังจากการรวมของสามสิ่งมาจากพลังหมาน เลือดเนื้อทั่วร่าง และยังมีพลังจากกระดูกหมาน อาศัยทุกอย่างในร่างกายมาทำให้สามสิ่งนี้ผสานรวมกันอย่างช้าๆ
หากผสานสำเร็จจะทำให้สามสิ่งนั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วกลายเป็นวิญญาณ เช่นนั้นก็จะเท่ากับว่าการทะลวงขั้นวิญญาณหมานสำเร็จในก้าวแรก ก้าวต่อไปคือการสร้างเทวรูปหมานของตัวเอง เปิดฟ้าดินของร่างกาย แล้วก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมาน!
ข้ามเรื่องก้าวที่สองไปก่อน เพียงก้าวแรกตอนนี้ซูหมิงก็รู้สึกว่ายากแล้ว ร่างกายเขาปะทุพลังทั้งหมด ทว่าก็ยังไม่อาจให้สามสิ่งนั้นผสานรวมกันอย่างรวดเร็วได้ ทำได้เพียงให้พวกมันค่อยๆ หล่อหลอมกันเท่านั้น
อีกทั้งเขามักจะรู้สึกว่าขาดบางอย่างไป แต่กลับนึกไม่ออกว่าขาดอะไร
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็สามเดือนแล้ว ทั่วร่างซูหมิงอาบไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าขาวซีด แต่ก็ยังกัดฟันยืนหยัดต่อไป เสียงกึกๆ ในความคิดดังกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกปานผนึกจะถูกเปิดเด่นชัดขึ้น
เขามีลางสังหรณ์เด่นชัดว่าหากผนึกในความคิดถูกเปิดออก มรดกหนทางสู่ชีวิตที่หงหลัวมอบให้ในตอนนั้นจะปะทุออกมาอย่างสมบูรณ์ ภายใต้การปะทุนี้ ความทรงจำจะถูกเปิดส่วนหนึ่ง และจะได้เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่หงหลัวฝังเอาไว้!
แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงกำลังลองผสานรวม ผนึกในความคิดก็คลายออกไม่หยุด พลังวิญญาณในหุบเขาพันวารียุ่งเหยิง เมฆลมบนฟ้าเปลี่ยนสี สายฟ้าผ่าลงมาเสียงดังสนั่น บ้างก็ฝนตก บ้างก็มีหิมะกับสายลมสลับกัน บ้างก็มีเมฆดำลงมา
ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้คนสำนักวิญญาณอสูรในหุบเขาพันวารีตื่นตะลึง ต่างพากันเงยหน้ามอง
“นี่มัน…มีเผ่าหมานกำลังทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมาน!” เซินตงเงยหน้าจ้องฟ้าด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งนัก เขามองออกว่านี่ไม่ใช่การทะลวงขั้นวิญญาณหมานธรรมดา เพิ่งเริ่มต้นก็กลับสร้างปรากฏการณ์ประหลาดมากมาย ดูจากลักษณะแล้วคงจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในเวลาเดียวกัน ณ แผ่นดินรกร้างบูรพา บนเทือกเขาซึ่งห่างจากซูหมิงไปไกลไม่รู้เท่าไร มีวิหารใหญ่ตั้งอยู่นับไม่ถ้วนบนยอดเขานั้น
มองไปแล้ววิหารดูไกลสุดลูกหูลูกตา กระทั่งบนฟ้ายังมีวิหารเกือบร้อยลอยอยู่ พวกมันเปล่งแสงสว่างจ้าตา หากมองจากไกลๆ จะพบว่าตรงใจกลางมีกระบี่เล่มใหญ่ปักอยู่บนพื้น กระบี่ยักษ์มีความสูงหมื่นจั้ง ทุกส่วนปล่อยปราณกระบี่ปกคลุมทั้งในและนอกระยะหลายพันลี้
บนด้ามกระบี่ยักษ์มีวิหารสีทองอยู่หลังหนึ่ง มองแสงจากวิหารแล้วจะเหมือนกับดวงตะวันสีทอง!
ที่นี่คือที่ตั้งของสาขาหลักของสำนักชุมนุมเซียนบนแดนหมาน!
ยามนี้ในวิหารทองมีร่างเงาสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกัน ร่างสองคนนี้มีรูปร่างต่างกันเล็กน้อย ทว่าสวมอาภรณ์เหมือนกันคือเสื้อคลุมและมงกุฎจักรพรรดิ กลิ่นอายพลังเย็นชา และยังมีสีหน้าตึงเครียด
หนึ่งในสองคนสวมเสื้อคลุมทอง อีกคนสวมเสื้อคลุมดำ แม้จะเป็นชุดจักรพรรดิเหมือนกัน ทว่าสีแตกต่างกัน ถึงกระนั้นกลิ่นอายพลังจากสองคนนี้กลับคล้ายกันจนน่าตะลึง
บุคคลสวมเสื้อคลุมดำผู้นี้ หากซูหมิงเห็นจะต้องจำได้ในแวบแรกว่าคือตี้เทียนที่สู้กับเขาบนทะเลมรณะ!
ส่วนคนสวมเสื้อคลุมทองก็คือ…ตี้เทียนเช่นเดียวกัน!
สองคนนี้คือร่างแยกของตี้เทียนที่มาเยือนยังแดนหมาน!
ชั่ววินาทีที่ซูหมิงกำลังทะลวงขั้นวิญญาณหมานแล้วผนึกในความคิดคลายออก ตี้เทียนในเสื้อคลุมดำพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ มองไปนอกวิหารใหญ่ ทว่ากลับขมวดคิ้ว
“ข้ารู้สึกว่าผนึกในตัวเขาคลายออก…”
“ข้าหาที่ซ่อนตัวเขาไม่พบ!” คำนี้เอ่ยจากร่างแยกตี้เทียนในเสื้อคลุมทอง ยามนี้พวกเขาลืมตาพร้อมกันแล้วกล่าวเสียงหนักแน่น
“เขาอยู่เหนือการควบคุมแล้ว…”
“เรื่องนี้ร่างจริงรู้แล้วแต่ไม่ได้ส่งจิตมา เหมือนลังเลอยู่”
“แผนหลายปีผิดพลาดเพราะหงหลัว เรื่องนี้เป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงของสายเลือดจักรพรรดิเซียน!”
“ผนึกในตัวเขาคลายออกแล้ว น่าจะเกิดจากการทะลวงขั้นพลัง…จะให้เขาสำเร็จไม่ได้!”
“ในเมื่อร่างจริงไม่ได้ส่งจิตมา พวกเราปฏิบัติตามจิตของร่างจริงก็พอแล้ว ผนึกวัฏจักรนับครั้งไม่ถ้วนของร่างจริงใช่ว่าจะทำลายกันได้ง่ายๆ…” ขณะร่างแยกตี้เทียนสองคนกล่าวอย่างเรียบนิ่ง ตี้เทียนสวมเสื้อคลุมทองก็ยกมือขวาขึ้นกดตรงระหว่างคิ้วตัวเอง ผ่านไปพักหนึ่งถึงยกมือขึ้น พลันมีหินสีดำก้อนหนึ่งลอยมาจากในร่างกายเขา
หินก้อนนี้มีกลิ่นอายมรณะเข้มข้นถึงขีดสุด กลิ่นอายมรณะโอบล้อมรอบหิน ทำให้มันเหมือนรวมเป็นโลกแห่งความตาย รูปร่างของมันคล้ายกับหินแสงสว่างหยาง ทว่ากลิ่นอายพลังต่างกันโดยสิ้นเชิง!
และที่สำคัญที่สุดคือบนหินก้อนนั้นมีลายเส้นอยู่เล็กน้อย ลายเส้นนั้นร่างเป็นรูปคน และบุคคลนั้น….คล้ายกับซูหมิง!
“เขาไม่กล้าเผยตัวต่อหน้าพวกเรา ไม่กล้าสู้กับข้าอีก ซ่อนตัวมานานหลายปี…ถึงข้าจะหาเขาไม่พบ ทว่า…..ก็ทำให้ผนึกในร่างเขาหนาแน่นกว่าเดิมได้!” ตี้เทียนในชุดคลุมดำกล่าวนิ่งๆ ยกมือซ้ายกางห้านิ้วเป็นฝ่ามือแล้วกดบนหินสีดำ จากนั้นกลิ่นอายมรณะบนหินพลันสั่นไหว
ขณะเดียวกัน ใต้แผ่นดินหุบเขาพันวารี ไกลออกไปไร้ที่สิ้นสุด ซูหมิงนั่งฌานอยู่ กำลังให้ภูเขาทมิฬ ยอดเขาลำดับเก้า และซู่มิ่งผสานรวมเป็นวิญญาณ ในเวลาเดียวกันผนึกในความคิดก็คลายลงอย่างต่อเนื่อง แต่จู่ๆ เขาพลันตัวสั่นสะท้าน
ความเจ็บปวดพรั่งพรูจากในความคิด ความเจ็บปวดนี้ทำให้ดวงตาเขาแดงก่ำ ประหนึ่งมีพลังลึกลับส่งมาจากอากาศ ทำให้ผนึกในความคิดหนาแน่นขึ้น เค้าลางจะคลายออกหายไปในชั่วพริบตา
ความเจ็บปวดหายไปอย่างกะทันหันยิ่งนัก ขณะซูหมิงตัวสั่น สามสิ่งที่กำลังผสานรวมตรงหน้ากลับกระจายออก ชั่วพริบตาเดียวก็สลายไป
พอมันสลาย ภูเขาทมิฬหายไป ยอดเขาลำดับเก้าและซู่มิ่งก็หายไปเช่นกัน พวกมันกลับมาอยู่ในร่างซูหมิงอีกครั้ง ทำให้การทะลวงขั้นวิญญาณหมานครั้งนี้ล้มเหลว…
ซูหมิงกระอักเลือด ใบหน้าซีดขาวขณะอดกลั้นความเจ็บปวดในความคิด เขาพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตามีเส้นเลือดฝอย แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันบ้าคลั่ง
“ตี้เทียน!”
จิตสังหารในน้ำเสียงทำให้ซูหมิงเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ความคิดที่อยากจะสังหารตี้เทียนทะยานถึงขีดสุด
ในความคิดเขาตอนนี้มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าปะทุขึ้น
‘สังหารตี้เทียน!’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดอยากจะฆ่าตี้เทียน ไม่ใช่ถูกกระทำหรือหลบซ่อนอีก!