ตอนที่ 664 ตำนานของเผ่าหมาน
ใช้กลิ่นอายมรณะจากการเข่นฆ่าหลายหมื่นคนรวมออกมาเป็นผนึกยมโลกที่แกร่งที่สุด แล้วทำลายของวิเศษคุ้มกันของร่างแยกตี้เทียนชุดคลุมม่วง ส่งผลให้การป้องกันลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง อีกทั้งยังใช้ระฆังเขาหานถ่วงเวลาได้สักครู่ จนซูหมิงหยิบแหวนสีแดงอันเป็นต้นกำเนิดคำสาปออกมาได้
เขาสวมแหวนไว้ในมือ ใช้ตุ๊กตาปมหญ้าเชื่อมต่อกับวิญญาณตี้เทียน ใช้วิชาคำสาปเหนี่ยวนำเสียงรวมเป็นหนึ่งของโลกหมาน ทำให้วิชาคำสาปไม่ใช่คำสาปของเขาคนเดียวอีก แต่เป็นคำสาปของทั้งโลกหมาน
พลังนี้อยู่เหนือกว่าระดับขั้นพลัง บวกกับซูหมิงยอมจ่ายทุกอย่าง ไม่ว่าจะเซ่นไหว้ชีวิต เซ่นไหว้พลังทั้งหมด และเซ่นไหว้ทุกอย่าง จนจิตอาฆาตสังหารในครั้งนี้ปะทุออกมา
และสังหารร่างแยกตี้เทียนชุดคลุมม่วงลงได้!
ทุกอย่างนี้หากตี้เทียนส่งมาเพียงร่างแยกเดียว คงจะกล่าวได้ว่าซูหมิงทำสำเร็จแล้ว ถึงราคาที่ต้องจ่ายจะสูงยิ่งนัก แต่เขาก็ยังหนีเข้าไปในมิติเศษหินได้
เพียงแต่…ร่างแยกตี้เทียนไม่ใช่หนึ่งคน ซูหมิงก็เพิ่งรู้หลังจากมาถึงสนามรบแล้วว่า ที่แท้..มีสองคน
อีกทั้งหลังจากตี้เทียนชุดคลุมม่วงสลายไป เขาก็พบอีกว่าที่แท้…ไม่ใช่สอง แต่เป็นสาม
ยามนี้เขานอนอยู่บนผืนหญ้า โลกในดวงตาเลือนราง สติค่อยๆ หายไป ทว่าเขากลับไม่ยอม ร้องคำรามในใจอย่างคลุ้มคลั่ง พยายามกระตุ้นจิตใจตัวเองตลอดเวลา
เหตุที่ไม่ยอมเป็นเพราะว่าเป้าหมายยังไม่ลุล่วง เขายังสังหารร่างแยกตี้เทียนไม่หมดสิ้น
เขายัง…หลับตาไม่ได้!
เมื่อตี้เทียนชุดคลุมทองตรงเข้ามา ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกไม่ยินยอมระเบิดนี้ออกมา ทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ความรู้สึกนี้กระตุ้นให้ความสับสนในแววตาเขาหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนแทนที่ด้วยนัยน์ตามุ่งมั่นท่ามกลางความเหนื่อยล้า
การจะทำให้สภาพจิตใจที่หย่อนยานในสภาวะไร้พลังและชีวิตใกล้จะมอดดับนี้รวมขึ้นมาใหม่ จำเป็นต้องมีจิตใจแน่วแน่อย่างยิ่งถึงจะทำได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีจิตใจแน่วแน่นี้ ทว่าซูหมิง หลังผ่านวัฏจักรในโลกอมตะของจู๋จิ่วอินมาแล้ว เขา…กลับมีจิตใจแน่วแน่เช่นนี้
นี่คือจิตใจที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจโค่นล้มได้ เป็นความแน่วแน่ที่แม้ฟ้าดินพังพินาศลงตรงหน้าก็ต้องกัดฟันเดินต่อไป! และยังมี….กำลังช่วยเหลือคล้ายกับวิญญาณสมบูรณ์จากหินสีม่วงอมดำก้อนนั้น
“ข้ายังมีแรงโต้กลับ!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ทันทีที่ตี้เทียนชุดคลุมทองเข้ามาใกล้พร้อมด้วยจิตสังหารมากมาย ซูหมิงก็ฝืนยกมือขวาขึ้นแล้วตบตรงระหว่างคิ้วตัวเอง
เมื่อตบมือลง พลันมีเสียงระเบิดดังมาจากในร่างกาย และยังมีกลิ่นอายพลังมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากในกายอย่างบ้าคลั่ง
กลิ่นอายพลังนี้กระจายออกเป็นวงกว้างในชั่วพริบตา ตี้เทียนชุดคลุมทองที่เข้ามาใกล้จึงถูกผลักกระเด็นถอยไปโดยทันที
สิ่งที่ผลักเขาไม่ใช่พลังของซูหมิงเอง แต่เป็นพลังวิญญาณฟ้าดินที่ถูกเหนี่ยวนำขึ้นมาในยามนี้ ทันใดนั้นบนฟ้าปรากฏเหตุการณ์พิลึกอีกครั้ง มีสายรุ้งหลายเส้นปรากฏ มองดูคล้ายสะพานแต่ยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด
มวลอากาศใต้สายรุ้งนั้นบิดเบี้ยวก่อนเผยเป็นยอดเขาแห่งหนึ่ง หน้าตาของยอดเขานี้เหมือนกับห้านิ้วมือคน มันตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน ทำให้มีหลายคนในกลุ่มเซียนหลายหมื่นคนโดยรอบเห็นแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที ต่างมีสีหน้าสับสนและเหลือเชื่อ ก่อนมองมาที่ซูหมิง
เพราะยอดเขาลูกนี้คือ….ภูเขาทมิฬ!
“นะ…..นี่มันสร้างจากลายหมาน!”
“พลังฟ้าดินรวมขึ้น สร้างปรากฏการณ์พิลึกบนฟ้า กะ…กำลังจะก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมาน!”
“เขากำลังก้าวสู้ขั้นวิญญาณหมาณ หรือว่า…..ขั้นพลังที่สำแดงก่อนหน้านี้ของเขาจะไม่ใช่วิญญาณหมาน!” เซียนหลายหมื่นคนรอบๆ เคยศึกษาระบบการฝึกฝนของเผ่าหมานอย่างลึกซึ้งมาก่อน ตอนนี้จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองการกระทำของซูหมิงออกในแวบแรก
ซูหมิงกำลังทะลวงขั้นวิญญาณหมานจริงๆ
ในช่วงเวลาอันตรายที่ตี้เทียนชุดคลุมทองเข้ามาพร้อมด้วยจิตสังหารนี้ เขารู้ว่าตนไม่มีแรงต่อสู้อีก แต่ก็เข้าใจว่าตนยังมีโอกาสอยู่ นั่นคือ…ขั้นวิญญาณหมาน
โดยเฉพาะการผสานรวมกับหินสีม่วงอมดำ เขาจึงมีความรู้สึกรางๆ ว่าพลังที่จะขวางตนไม่ให้ทะลวงขั้นวิญญาณหมานนั้นหายไปแล้ว
ฉะนั้นในช่วงเวลาสำคัญนี้จึงเลือกก้าวไปสู่ขั้นวิญญาณหมานอย่างแน่วแน่!
แทบเป็นช่วงที่สายรุ้งกับภาพมายาภูเขาทมิฬปรากฏ ตี้เทียนชุดคลุมทองถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง เพราะพลังวิญญาณนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินเผ่าหมานหลั่งทะลักเข้ามาจากรอบด้านอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนพุ่งตรงไปหาซูหมิง นอกจากนี้ยังมีแรงปะทะรุนแรงขวางสิ่งมีชีวิตทุกอย่างไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ของเขา วิชาคำสาปยังมีผลอยู่ แรงขับไล่จากโลกหมานยังคงกระจายไปรอบๆ
เมื่อเค้าโครงภูเขาทมิฬชัดเจนขึ้น ชนเผ่าด้านล่างภูเขาทมิฬก็ค่อยๆ โผล่ตามมา จนต้นไม้ใบหญ้าและภาพทุกอย่างชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว ถึงมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากเซียนหลายหมื่นคนรอบๆ
ขณะเดียวกัน โอรสสวรรค์ที่ตอนนี้มีฐานะเปลี่ยนไปและมีใบหน้าคุ้นตาในความทรงจำของซูหมิงทั้งหมดล้วนมีสีหน้าต่างกัน ต่างเหม่อมองภาพภูเขาทมิฬบนฟ้า ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
“ซูหมิง เขาคือซูหมิง…” อู่เล่อพึมพำ ก่อนมองซูหมิงที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าด้วยสีหน้าเหม่อลอยและเจ็บปวด ทั้งยังมีความสับสน นางนึกไม่ถึงเลยว่าคนที่สร้างความตะลึงให้กับนางจะเป็น…ซูหมิงแห่งภูเขาทมิฬในความทรงจำ!
เฉินชงเบิกตากว้าง ลมหายใจคล้ายหยุดนิ่ง เขาพลันมองซูหมิงเหมือนกับอู่เล่อ เวลานี้มีเสียงระเบิดดังในความคิด ทุกอย่างขาวโพลน
และยังมีซือคง ซานเหิ่น สองคนนี้ตัวสั่น สุดท้ายก็ค่อยๆ มองซูหมิง ความซับซ้อนในสีหน้าพวกเขา คนอื่นมองแวบเดียวรู้แล้ว
“ไม่อยากเชื่อว่าเขา….จะเป็นซูหมิง…”
ภาพมายาของภูเขาทมิฬบนฟ้าสมจริงปานมีชีวิต ข้างในเริ่มไม่ใช่บ้านเรือนและต้นไม้ใบหญ้าอีก แต่ปรากฏร่างเงาคน..ในนั้นมีท่านปู่ มีเป่ยหลิง มีเฉินซิน มีอูลา มีคนที่ซูหมิงยากจะลืมเลือนในความทรงจำทั้งหมด
คนเหล่านี้บางทีอาจไม่อยู่ในความทรงจำของซูหมิง บางทีทุกอย่างอาจเป็นภาพมายา ทว่า…พวกเขาอยู่ตรงส่วนลึกในใจซูหมิง อยู่ในใจเขา ถึงคนเหล่านี้จะเป็นเผ่าเซียน แม้หนึ่งลมหายใจก่อนยังต้องต่อสู้กัน แต่คนเหล่านี้ก็มีตัวตนอยู่ในชีวิตเขา
บางทีอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาคือพวกเขา แต่คนเหล่านี้ในความทรงจำเป็นของซูหมิง
“นะ…นั่นมันอู่เล่อ แล้วยังมีเป่ยหลิง!”
“คนนั้นคือซานเหิ่นแห่งสำนักวิญญาณอสูร…และยังมีเฉินซินแห่งสำนักชุมนุมเซียน…..”
“คนนี้คือเฉินหลงนี่!”
หลังจากปรากฏลายหมานภูเขาทมิฬและร่างเงาคนบนนั้นแล้ว ก็พลันเกิดเสียงดังเกรียวกราวกระหึ่มขึ้นกลางกลุ่มเซียนหลายหมื่นคน
เสียงดังระงมกระจายออกไปในพริบตา จนกระทั่งเผ่าเซียนทุกคนมองเห็น พวกเขาส่วนใหญ่มีสีหน้าตื่นตะลึงเพราะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และยังมีสายตาอีกไม่น้อยที่จับจ้องโอรสสวรรค์ของเผ่าเซียนรอบๆ ตัวที่ปรากฏอยู่ในภูเขาทมิฬมายาของซูหมิง
สิ่งที่เซียนเหล่านี้เห็นคือสีหน้าสับสนของเหล่าโอรสสวรรค์ เช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขาจิตใจสั่นไหว รู้สึกเหมือนว่าข้างในมีความลับยิ่งใหญ่อะไรซ่อนอยู่
ความลับนี้ก็คือสิ่งที่ทุกสำนักเซียนร่วมกันปิดไม่ให้คนอื่นรู้!
ตี้เทียนชุดคลุมทองเริ่มหน้าซีดขาว จี๋อั้นบนฟ้ามีสีหน้าทะมึนขึ้นเรื่อยๆ เขาเหมือนจะนึกอะไรออก จึงค่อยๆ เบนสายตาไปมองตี้เทียนในชุดคลุมทอง
ทันใดนั้นมวลอากาศข้างภูเขาทมิฬบนฟ้าบิดเบี้ยวอีกครั้ง ครั้งนี้ปรากฏเป็นยอดเขาเช่นกัน แต่มันกลับใหญ่ยักษ์ยิ่ง ตอนที่มันตั้งตระหง่าน คนส่วนใหญ่รอบๆ ไม่รู้จักมัน
เพราะยอดเขานี้ไม่อยู่ในแดนรกร้างบูรพา มันอยู่แดนอรุณใต้ หรือก็คือยอดเขาลำดับเก้าของสำนักเหมันต์สวรรค์!
สำหรับซูหมิงแล้ว ยอดเขาลำดับเก้าอยู่เคียงข้างกับภูเขาทมิฬในชีวิตเขา ตอนนี้มันผสานรวมอยู่ในลายหมานแล้ว และเป็นเครื่องเซ่นไหว้แห่งวิญญาณหมานที่ไม่อยากพลัดจาก
บนยอดเขาลำดับเก้าก็มีร่างเงาคนจำนวนหนึ่งเช่นกัน ร่างเงาเหล่านั้นก็คือศิษย์พี่ที่เป็นเหมือนญาติสนิท และมีอาจารย์!
ยอดเขาลำดับเก้ากับภูเขาทมิฬปรากฏขึ้นพร้อมกันและครองพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งฟ้า สายรุ้งยาวบนฟ้าเปล่งแสงสว่างพร่างพราว ทั้งยังมีกลิ่นอายพลังของขั้นวิญญาณหมานดิ่งลงมาจากฟ้าในฉับพลัน
หลังจากกลิ่นอายพลังวิญญาณหมานลงมาเยือนแล้ว มวลอากาศบนฟ้าก็บิดเบี้ยว ส่งผลให้แสงสว่างหายไป พื้นดินจึงตกอยู่ในเงามืด
เหมือนว่าในอากาศบิดเบี้ยวนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนออกมา อากาศบิดเบี้ยวนี้ลุกลามไปไม่หยุดหย่อน เพียงครู่เดียวก็ปกคลุมทั้งผืนฟ้าของแผ่นดินใหญ่แดนรกร้างบูรพา
ชั่ววินาทีนี้ ทุกสำนักและชนเผ่าบนแผ่นดินรกร้างบูรพาล้วนตื่นตกใจ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ต่างรีบวางมือแล้วถอยห่างไป ก่อนเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าตื่นตกใจและหวาดกลัว เพราะพวกเขา…รู้สึกว่าสายเลือดในกายกำลังสั่นไหว
ทว่านี่ไม่ใช่สายเลือดสั่นไหว แต่มันคือสายเลือดกำลังลุกไหม้!
ปรากฏการณ์พิลึกเช่นนี้สร้างความตื่นตระหนกกับเผ่าหมานทุกคน พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้เหนี่ยวนำสายเลือดของตน!
ตรงกลางเผ่าใหญ่รกร้างบูรพา ควันหนาลอยโชยซึ่งเป็นตัวแทนบอกว่ามีนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์กำกับอยู่ เวลานี้กลับหายไปทันที ชายชราเส้นผมแดงฉานและมีสายฟ้าไหลเวียนทั่วร่างผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ เขาเงยหน้ามองฟ้าที่บิดเบี้ยว สีหน้าเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา บ้างดีใจ บ้างสับสน จนสุดท้ายก็ไม่แน่ใจ
เขารู้สึกว่าสายเลือดกำลังเดือดพล่าน และยังรู้สึกรางๆ ว่าขั้นพลังที่หยุดนิ่งมานาน…มีเค้าลางว่าจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ถึงไม่มาก แต่การเพิ่มขึ้นเพียงเสี้ยวเดียวกลับทำให้จิตใจเขาไม่อาจสงบลงได้อีกนาน นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววตื่นเต้นจนระงับไว้ไม่อยู่
ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นตำนานหนึ่งที่เล่าขานกันมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลของเผ่าหมาน…
ตำนานกล่าวว่า หากกำเนิดเทพหมาน สายเลือดเผ่าหมานจะเผาไหม้ เหนือกว่าขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์จะปรากฏอีกหนึ่งขอบเขตพลังที่สูญหายไปตามเทพหมานรุ่นหนึ่ง!