Skip to content

สู่วิถีอสุรา 671

ตอนที่ 671 จี๋อั้นลงมือ

หนึ่งลายเส้นบทเพลงสรรเสริญหมานสังหาร คงบรรยายน้ำตาของเผ่าหมานได้ไม่หมด……

ซูหมิงกำลังหลับตาลง ทันทีที่ลืมตาก็ยกมือขวาขึ้นเหมือนถือพู่กันด้ามหนึ่ง แล้ววาดลายเส้นไปทางตี้เทียนชุดคลุมทองที่สองแขนเทวรูปหมานกำลังตรงเข้าไปหา

ลายเส้นนี้เหมือนรวมดวงชะตาฟ้าดินเผ่าหมาน แฝงไว้ด้วยกฎของโลกหมาน ทั้งยังมีคำปฏิญาณของซูหมิง มันจึงกลายเป็น…ภาพความรุ่งโรจน์ประหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

มันคล้ายกับฉากยามตะวันอัสดงที่คงอยู่มานานถูกฉีกออก ดวงตะวันลอยขึ้นฟ้าในภาพนั้นเป็นตัวแทนของการหมุนทวนของฟ้าดิน เป็นตัวแทนของชาวเผ่าหมาน…บางทีจากนี้ไปอาจจะมีความหวัง ดวงตะวันพ้นขอบฟ้าในยามเช้าตรู่

ขณะเดียวกับที่วาดลายเส้นก็เกิดเสียงดังสนั่นแก้วหูจากสองแขนเทวรูปหมานของซูหมิง กาลเวลาจากมือขวาและสายฟ้าจากมือซ้ายเข้าปะทะกับดวงตะวันขาว สร้างแรงฉีกแยกสะเทือนฟ้าดิน เมื่อบวกกับลายเส้นหมานสังหารเข้าไปอีก ทำให้เหมือนว่าตอนนี้กฎของโลกหมานเปลี่ยนไปในพริบตา

การเปลี่ยนกฎนั้นเสมือนว่าหากโลกหมานมีจิตวิญญาณ เช่นนั้นจิตวิญญาณนี้ก็จะจดจำคำปฏิญาณแห่งเทพหมานของซูหมิงไว้ให้แม่น โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย…

ชีวิตนี้จะต้องย้อมนภาเซียนด้วยโลหิต นับพันหมื่นคนต้องสูญสิ้น!

เป็นคำปฏิญาณตนประโยคนี้เองที่ทำให้ตอนซูหมิงวาดลายเส้น อภินิหารดวงตะวันขาวของตี้เทียนชุดคลุมทองพลันพังพินาศลง สุดท้ายก็ระเบิดออกเป็นแรงปะทะขยายเป็นวงกว้างบนฟ้า

จุดที่แรงปะทะผ่าน อากาศจะระเบิดเป็นเศษแล้วกระจายตามไป นอกจากนี้แผ่นดินยังถล่มทลาย เซียนหลายหมื่นคนด้านล่างล้วนมองฟ้าด้วยความตื่นตระหนก เริ่มมีไอหนาวเยือกไร้ขีดจำกัดลอยขึ้นในใจ

หากแผ่นดินยังพังพินาศต่อไป บางทีคนที่นี่อาจไม่มีใครมีชีวิตรอด

ครั้นอภินิหารดวงตะวันขาวที่รวมชีวิตของตี้เทียนชุดคลุมทองสลายไป ตี้เทียนชุดคลุมทองจึงโผล่ออกมา ร่างโซเซถอยไป กระอักโลหิต มงกุฎจักรพรรดิแตกกระจายเป็นเศษสลายไป

เสื้อคลุมจักรพรรดิระเบิดบนตัวเขา จากนั้นก็ถอยไปอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดดูย่ำแย่ยิ่งนัก ดวงตาขุ่นมัวสูญเสียความมันวาวในอดีตไป แต่ความแค้นในแววตากลับรุนแรงกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่า

จนถึงตอนนี้ ความแค้นและรอยยิ้มปวดร้าวผสานรวมกัน เขามองซูหมิง รู้ว่าบางทีตอนนี้อีกฝ่ายอาจอยู่เหนือการควบคุมของตนจริงๆ

ทว่า…ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส!

เทียบกับสภาพย่ำแย่ของตี้เทียนแล้ว ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้มีแสงสายรุ้งอาบร่างเขา แสงนั้นคล้ายเปล่งมาจากในร่าง ส่องสะท้อนฟ้าและหลอมรวมกับแผ่นดิน

ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่อบอวลอยู่ในกายและใจของทุกคนที่มองซูหมิง

นั่นก็คือ…ซูหมิงกับฟ้าดินแห่งนี้คล้ายหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบเพราะจุดพลิกผันอะไรบางอย่าง

เขาคือฟ้า เขาคือดิน เขาคือโลกหมาน การหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ทำให้ตอนมองซูหมิงจะมีความรู้สึกเผชิญหน้ากับทั้งโลก

ความรู้สึกนี้ไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ แต่ในใจทุกคนเกิดความรู้สึกนี้อย่างชัดเจน ทว่าก็ยากจะบรรยายเหมือนกัน

“การหลอมรวมแห่งโลก…” จี๋อั้นสูดลมหายใจเข้าพลางพึมพำกับตัวเอง เขามองแวบเดียวก็มองซูหมิงออก ไม่อยากเชื่อว่าจะผ่านก้าวที่หนึ่งของขั้นพลังไปสู่ก้าวที่สอง การหลอมรวมแห่งโลกนี้ หากพัฒนาจนอยู่ในระดับสูง มันจะทำให้ขั้นพลังของซูหมิงเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

‘ถึงเมื่อครู่จะรวมดวงชะตาของโลกหมาน ทว่ามันก็แค่รวม มิใช่หลอมรวม…ดวงชะตานี้ใช้ร่างเขาเป็นตัวผ่าน แต่ตอนนี้….เกิดการหลอมรวมขึ้น นี่ไม่ใช่การรวมและตัวผ่านธรรมดาๆ แล้ว มันคือการควบคุม!

หากเขาเสื่อมถอยเผ่าหมานก็จะเสื่อมถอย เขารุ่งโรจน์เผ่าหมานก็จะรุ่งโรจน์…..

นี่คือสัญญาณของเทพหมาน เขาเป็นเทพหมานรุ่นสี่จริงๆ ที่ดวงชะตาเผ่าหมานเป็นเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะว่ามันยอมรับคำปฏิญาณแห่งเทพหมานของเขาเมื่อครู่!’ จี๋อั้นจ้องซูหมิง ในใจเกิดจิตสังหารอยู่ลึกๆ

“ได้รับการยอมรับจากแผ่นดินหมาน ซู่มิ่ง…สมกับเป็น…..ซู่มิ่งจริงๆ!”

ช่วงที่จี๋อั้นเกิดจิตสังหารในใจ ทางด้านซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้ามองตี้เทียนแล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว

“ดวงชะตาเสริมร่าง ข้าต้องใช้คมมีดสังหารตี้เทียนอย่างแน่นอน!” นี่คือคำปฏิญาณเทพหมานของเขา บ่งบอกว่าเขาต้องทำได้แน่ ตี้เทียนชุดคลุมทองในตอนนี้อ่อนแอถึงขีดสุด การเผาชีวิตสร้างบาดแผลสาหัสให้กับเขา วิชาถูกทำลายก็ยังส่งผลย้อนกลับอย่างรุนแรง เขา…ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูหมิงอีกแล้ว

ซูหมิงขยับตัววูบไหวตรงมายังตี้เทียน ตี้เทียนไม่หลบ สีหน้าฉายแววประหลาดใจและเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นจี๋อั้นที่มองอยู่ไกลๆ มาโดยตลอดและยังไม่ลงมือจริงๆ สักทีพลันยกเท้าขึ้นกระทบลงพื้นอย่างแรง

การกระทืบครั้งนี้สร้างเสียงดังสนั่น ระลอกคลื่นรุนแรงกระจายออกรอบตัวจี๋อั้นดุจดั่งพายุคลั่ง

“พอแล้ว!” จี๋อั้นแค่นเสียงหึเย็นชา เขายกมือขวาขึ้นกางพัดในมือ จากนั้นหมอกดำก็ขยับวูบไหวกลายเป็นมังกรดำเก้าตัวตรงไปหาซูหมิง

ซูหมิงคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้วว่าจี๋อั้นจะต้องลงมือ อีกฝ่ายมาจากสำนักอสูร แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนและเกี่ยวข้องกับจุดยืนของเขา ฉะนั้นจึงไม่มีทางเมินเฉยปล่อยให้ร่างแยกตี้เทียนตายไปเรื่อยๆ แน่

แทบเป็นวินาทีที่จี๋อั้นใช้อภินิหาร มีระลอกคลื่นโอบล้อมตัวซูหมิงเอาไว้ ระลอกคลื่นนั้นขยับวูบวาบแล้วกลายเป็นสีดำหลายชั้นขวางหน้าซูหมิงเอาไว้ จากนั้นจี๋อั้นก็ก้าวเข้ามาโผล่อยู่ตรงหน้าเขาในทันที

จี๋อั้นสะบัดแขนเสื้อ พาพลังที่เหนือกว่าตี้เทียนชุดคลุมทองตรงไปหาซูหมิง ขณะเดียวกันมังกรดำเก้าตัวก็เข้ามาใกล้เขาจากหลายทางด้านหลัง

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ตั้งแต่ปรากฏตัวปะทะกับตี้เทียน เขาก็รู้แล้วว่าศึกครั้งนี้ยากเข็ญยิ่งนัก ไม่ใช่แค่ต้องสู่กับร่างแยกตี้เทียนเท่านั้น เพราะหากเกิดปรากฏการณ์ครั้งใหญ่มากเกินไป จี๋อั้นจะต้องลงมืออย่างแน่นอน

กระทั่ง…น้ำวนยักษ์วงแหวนอาคมสองจุดยังคงอยู่บนฟ้า ถึงแม้ฟ้าจะบิดเบี้ยวและพังพินาศก็ตาม มันเพียงอ่อนแสงลงเล็กน้อยเหมือนถูกบดบังเอาไว้

ทว่าขอแค่มันยังอยู่ นั่นก็หมายความว่าช่วงสุดท้ายของการต่อสู้ครั้งนี้จะมีเซียนใหม่มาเยือน หรือกระทั่ง…ทางฝั่งร่างจริงของตี้เทียน เขาไม่มีทางนั่งมองร่างแยกของตนตายไปจนหมดแน่ แม้จะมาเองไม่ได้ แต่จะต้องมีวิธีส่งคนที่แกร่งกว่านี้ลงมาได้แน่นอน

สิ่งเหล่านี้ขวางไม่ได้ ตรงหน้าซูหมิงมีอยู่ทางเดียวก็คือ…..สู้!

สู้จนฟ้ามืดดินสลัว สู้จนตะวันจันทราไร้แสงสว่าง สู้จนโลหิตนองฟ้า สู้จน…..สังหารเซียนนับพันนับหมื่นคน!

อีกอย่างซูหมิงรู้ว่าเทวรูปหมานของตนตอนนี้ปรากฏเพียงสองแขน ทว่าในตัวเขามีแรงกระตุ้นอย่างแรงกล้าอยู่ มันคล้ายกับว่า…เขายังแกร่งได้มากกว่านี้อีก!

เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่จะแกร่งขึ้นอีกนี้ ถึงจะเด่นชัดแต่กลับไม่มากพอให้มันปะทุขึ้น ประหนึ่งว่าโลหิตยังร้อนไม่สุด ถ้าอยากให้ตนแกร่งขึ้น อยากให้เทวรูปหมานโผล่มามากกว่านี้ เขาจะต้องระเบิดพลังอย่างเต็มที่สักครั้ง

จะต้องกระตุ้นศักยภาพของตนระหว่างการปะทุ ความเข้าใจ การต่อสู้ และภยันตราย เพื่อให้ความรู้สึกที่ว่ายังแกร่งขึ้นได้อีกนี้สมจริง

ในอดีตซูหมิงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้โดยถ่องแท้ ทว่าหลังประมือกับตี้เทียนชุดคลุมทอง ภายใต้ความคลุ้มคลั่งและแน่วแน่ว่าจะต้องสังหารตี้เทียนให้จงได้ เขากลับรู้สึกชัดถึงร่องรอยของขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง ฉะนั้น……เขาเลยบรรลุถึงขั้นวิญญาณหมานตอนกลางในทันที

และตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคือรู้สึกถึงร่องรอยของขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย ภายใต้การต่อสู้ไม่มีสิ้นสุด ให้ตัวเขา…..บรรลถุถึงขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย กระทั่งวิญญาณหมานสมบูรณ์ และกระทั่ง…สร้างชะตา!

“ผู้ขวางแซ่โม่ถือมีความผิดร่วมกับตี้เทียน!” โลหิตในกายซูหมิงแผดเผา เมื่อสิ้นเสียง เขาพลันยกมือขวาคว้าไปยังพื้นดิน

บนพื้นดิน ของวิเศษทรงพลังต่างๆ ที่แต่ละสำนักเซียนและอสูรใช้ทำสงครามกัน เวลานี้พักสงคราม ต่างฝ่ายต่างถอยไป แต่พวกเขาไม่ได้เก็บของวิเศษเหล่านั้นกลับไปด้วย

และในตอนนี้ กิเลนโลหิตของสำนักอสูรในกลุ่มเซียนหลายหมื่นบนพื้นดินก็เป็นเป้าหมายของซูหมิง

ร่างมายากิเลนโลหิตขยายออกปกคลุมรอบนอกศิษย์สำนักอสูรกระหายคล้ายเกราะป้องกัน แต่จากการคว้ามือขวาของซูหมิง ตอนนี้กิเลนโลหิตพลันตัวสั่น ทั้งยังเงยหน้าร้องคำรามเสียงแหลม

หลังจากมันร้องคำรามก็เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับศิษย์สำนักอสูร กิเลนโลหิตเพียงร้องคำราม จากนั้นมันก็บินขึ้นฟ้าไปโดยควบคุมตัวเองไม่ได้

แม้กิเลนโลหิตจะเป็นสมบัติของสำนักกระหายอสูรและรวมขึ้นจากโลหิตของศิษย์สำนักนี้ ทว่าที่มันปรากฏตัวบนแดนหมานได้เป็นเพราะในตัวมันมีกลิ่นอายมรณะอย่างไร้ขีดจำกัดอยู่

กลิ่นอายมรณะนี้เกิดขึ้นบนแดนหมาน เป็นหนึ่งในกฎและดวงชะตาของเผ่าหมาน เวลานี้…หากซูหมิงจะใช้ประโยชน์จากมัน มันย่อมไม่อาจต่อต้าน

กิเลนโลหิตบินขึ้นมาอยู่กลางฟ้าแทบจะในพริบตา ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ ซูหมิงก็ทำสัญลักษณ์มือแล้วชี้ลงไป กิเลนโลหิตร้องโหยหวน ร่างระเบิดกระจุย จากนั้นกลิ่นอายมรณะจำนวนมากพลันแผ่กระจายออกมารอบๆ และเป็นตอนนี้เองที่มังกรดำเก้าตัวด้านหลังกับจี๋อั้นตรงหน้าซูหมิงเข้ามาใกล้ ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ วินาทีที่กิเลนโลหิตร่างระเบิด เขายกมือซ้ายขึ้นทำสัญลักษณ์มือ

กลิ่นอายมรณะจำนวนมากจากกิเลนโลหิตพลันรวมขึ้นเป็นผนึกยักษ์กลางอากาศ นั่นคือ….ผนึกยมโลก

“แหลกละเอียด!” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบา ผนึกยมโลกระเบิดโดยพลัน สั่นสะเทือนฟ้าดิน มิหนำซ้ำในมวลอากาศบิดเบี้ยวเหนือซูหมิงยังมีกลิ่นอายมรณะไร้ขีดจำกัดหลั่งไหลเข้ามาหาตัวเขา แล้วกระจายออกเป็นวงกว้างโดยมีเขาเป็นใจกลาง เส้นผมปลิวไสว อาภรณ์โบกสะบัด นัยน์ตาสองข้างเผยจิตสังหารสีโลหิต

ใครขวาง…ตาย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!