Skip to content

สู่วิถีอสุรา 7

ตอนที่ 7 รกร้าง

ซูหมิงสัมผัสได้ถึงธารอุ่นมหาศาลทะลักจากหน้าอกตามการปรากฏของแสงอ่อน มันไหลผ่านร่างอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็แผ่คลุมไปทั้งตัว หลอมรวมเข้ากับไอเย็นจากน้ำลายมังกรทมิฬ แล้วแทรกซึมเข้าสู่เส้นเลือด

เสียงกังวานพลันสนั่นในร่างซูหมิง ขณะนั่งขัดสมาธิตัวสั่นสะท้านรุนแรง เส้นเลือดเส้นที่สี่ปรากฏทันใด

ขณะเดียวกัน คราบสิ่งปฏิกูลสีดำมหาศาลถูกขับจากรูขุมขนทั่วตัว ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งกระจาย แต่เพียงลมหุบเขาพัดผ่านมันก็ค่อยๆ จางหายไป เส้นเลือดเส้นที่สามเท่ากับได้ทะลวงสู่ขั้นรวมโลหิตลำดับหนึ่ง ซูหมิงในตอนนี้ได้เป็นนักรบหมานขั้นพลังรวมโลหิตแล้ว!

ทว่าเขายังคงปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง ไม่มีเค้าลางจะตื่นขึ้นแม้แต่น้อย เส้นเลือดบนตัวซูหมิงค่อยๆ เกาะรวมกันตรงเส้นเลือดเส้นที่สี่ตามการผันเปลี่ยนของเวลา

จนกระทั่งยามรุ่งอรุณของอีกวัน ลิงน้อยวิ่งเข้ามาจากไกลๆ พลางดมมือขวาด้วยสีหน้าลำพองใจ ตอนเห็นคราบปฏิกูลสีดำบนตัวซูหมิง มันตะลึงไปครู่หนึ่ง เกาศีรษะแล้ววิ่งกระโดดรอบตัวเขาหลายรอบ

แม้ว่ามันจะมีสติปัญญา ทว่ายามนี้กลับไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเดินเข้าใกล้ด้วยท่าทีประหลาดใจ คิดอยากลองใช้มือแตะดู

ทว่าในช่วงที่จะสัมผัสตัวซูหมิง บนตัวเขาพลันเปล่งแสงอ่อนร้อนแรงและเพิ่มมากขึ้นถึงขีดสุดจนอาบทั่วร่าง ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของเจ้าลิง มันเห็นกับตาเลยว่าร่างของซูหมิงหายวับไป

เจ้าลิงคิดว่าซูหมิงถูกแสงอ่อนกลืนกิน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มันเบิกตาโต แผดเสียงร้องแหลม เงาร่างสีแดงขยับไปยังจุดที่ซูหมิงหายไปก่อน ค้นหาอย่างคลุ้มคลั่ง ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับไม่พบ ได้แต่ยืนนิ่งตกตะลึง

ซูหมิงไม่ทราบว่าตนอยู่ที่ใด มองไปรอบๆ ด้วยความสับสน ที่นี่ถูกหมอกขาวปกคลุมมิด มองไปได้ไม่ไกลนัก เห็นเพียงยอดเขาเบื้องหน้าได้รางๆ

ตอนนี้ซูหมิงเพิ่งตื่นขึ้น เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนอยู่บนเขามังกรทมิฬ ทว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่

นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววหวาดระแวง ก่อนก้มหน้ามองตรงหน้าอก หัวใจเต้นตึกตึก เพราะตอนนี้เศษหินพิลึกหายไป

“หายไปแล้ว…” ซูหมิงได้แต่ตะลึงและสงสัย เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง ถึงค่อยลุกขึ้นยืนทั้งสีหน้าเคร่งเครียดและระมัดระวัง ก่อนเดินไปทางยอดเขาที่ถูกหมอกปกคลุม

ยอดเขาห่างไม่ไกลนัก ใช้เวลาไม่นานซูหมิงก็มายืนอยู่ใต้ยอดเขา แหงนหน้ามองสูดลมหายใจเข้า

มันเป็นยอดเขาจริงๆ ทว่าด้านบนไม่มีหญ้า พื้นผิวมันวาวราวกับถูกขัดจนเนียน นอกจากนี้ด้านบนยังมีรูปปั้นแกะสลักสัญลักษณ์หลายรูป มีร่องน้ำหุบเขา มีสัตว์แปลก มีท้องฟ้า…. อีกทั้งยังมีลายอักษรที่ซูหมิงไม่เคยพบเห็นมาก่อน ให้ความรู้สึกบรรพกาลราวกับแดนรกร้างแห่งหมานในตำนาน

แทบจะในช่วงที่ซูหมิงเห็นรูปปั้นแกะสลักเหล่านั้น พลันเกิดเสียงดังก้องกังวาน ณ ใจกลางภูเขาปรากฏรอยแยกราวกับถูกพลังไร้ลักษณ์ผ่าออก

รอยแยกคับแคบ มองไม่เห็นปลายทาง ผ่ากลางอยู่เบื้องหน้าซูหมิง

เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ขบกรามไตร่ตรอง ในเมื่อมาที่นี่แล้ว อีกทั้งยังไม่ทราบว่าจะออกไปได้อย่างไร กระทั่งที่ไหนก็ยังไม่รู้ ตอนนี้มีทางเดียวนั่นคือต้องเข้าไปเท่านั้น

ในใจเขาแอบคิดว่าแดนแห่งนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเศษหินสีดำ เพราะก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าเศษหินปล่อยธารอุ่นเบาบางออกมา

ซูหมิงเดินเข้าเขาไปตามรอยแยก เขาเดินอยู่นานมาก เส้นทางเบื้องหน้าค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ผนังโดยรอบมีภาพแกะสลักประหลาดอยู่ทั่ว ซูหมิงไม่เข้าใจ ในภาพสลักมีสมุนไพร และยังมีคนเปลือยกายเส้นผมรุงรังกำลังทำท่าบดสมุนไพรในหม้อใหญ่พิลึก

มองดูภาพแกะสลักเหล่านั้นจนกระทั่งมาถึงสุดทาง จึงพบประตูบานหนึ่ง ซูหมิงหยุดลงหน้าประตูนั้น บนประตูมีภาพเช่นเดียวกัน เป็นลวดลายสมุนไพรห้าต้น ลายเส้นแปลกพิลึกแต่ละเส้นขับแสงอ่อนที่ซูหมิงคุ้นชิน โอบล้อมลวดลายสมุนไพรห้าต้นเป็นรูปร่างวงกลม ปกคลุมประตูทั้งบาน

ณ ใจกลางประตูมีหลุมเล็กสิบห้าหลุมผลุบเข้าไปราวกับใช้วางของบางอย่าง เรียงกันเป็นวงกลม

ซูหมิงขมวดคิ้ว พิจารณาประตูอย่างละเอียดพร้อมทั้งมองไปรอบๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองสมุนไพรทั้งห้าต้น

“นี่มัน….เกสรดอกแกนเหล็ก ไม่ผิดแน่ เป็นเกสรดอกแกนเหล็กจริงๆ”

“นี่มัน…เหมือนกับใบรัก ส่วนนี่ก็เหมือนว่านหิมวันต์…”

“ยังมีกิ่งไม้ราตรีประกาย! เจ้าพวกนี้ข้าเจออยู่บ่อยครั้ง”

“และนั่นอะไร…คุ้นเหลือเกิน…”

“อันสุดท้ายนั่นข้าไม่เคยเห็น…”

ซูหมิงครุ่นคิดอยู่นาน ลังเลพักหนึ่งว่าจะผลักประตูเบื้องหน้าดีหรือไม่ ทว่าขณะกำลังลังเล เส้นวงกลมรอบสมุนไพรทั้งห้าบนประตูหินพลันหมุนโคจร แสงอ่อนจ้าขยับวูบวาบปรากฏขึ้นบนประตู ก่อนพุ่งตรงใส่ซูหมิงอย่างรวดเร็ว

แสงนั้นเร็วยิ่งนัก เขาไม่อาจหลบได้ทัน เพียงแสงกะพริบมันก็ปกคลุมไปทั้งตัวเขา

ขณะเดียวกัน ความทรงจำมากมายที่ไม่ใช่ของเขาพรั่งพรูเข้ามาในความคิด มันเหมือนดั่งภาพวาดไหลผ่านจากแสงอ่อน ทำให้ซูหมิงรู้สึกปวดศีรษะ

ในภาพวาดมีเงามายาลักษณะคล้ายกับภาพแกะสลักเหล่านั้น กำลังโยนสมุนไพรใส่หม้อใหญ่พิลึก การเคลื่อนไหวดูชำนาญยิ่งนัก ทุกครั้งที่โยนสมุนไพรจะก้มลงไปเพื่อดมกลิ่น สีหน้าเคร่งขรึม บางครั้งจะโบกสะบัดมือขวา ก่อนมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วโอบล้อมหม้อใหญ่

ขั้นตอนซับซ้อนยิ่ง แม้กระทั่งความแรงของเปลวเพลิงยังต้องควบคุมให้ดี ภาพเหล่านี้ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน ในชนเผ่าก็ไม่ได้ยุ่งยากขนาดนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะกินสดเลย อย่างมากก็แค่บดให้เป็นน้ำแล้วผสมกับสมุนไพรตัวอื่นเพื่อเพิ่มสรรพคุณ

เขาตกอยู่ในห้วงความทรงจำในหัวโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปนานจนมือขวาของเงาตบไปที่หม้อใหญ่ เปลวเพลิงรอบหม้อพลันหายไป ก่อนเปิดฝาหม้อออก ซูหมิงเห็นทันทีว่าในนั้นมีสิ่งของลักษณะกลมสีเขียวขนาดประมาณเล็บมือสามเม็ด

แม้เป็นเพียงภาพความทรงจำในหัว ทว่าซูหมิงกลับคล้ายได้กลิ่นหอมสมุนไพรปะทะเข้าใส่ อีกทั้งขณะจ้องเม็ดทั้งสาม ทั่วร่างราวกับถูกสายฟ้าฟาดจนตะลึงเหม่อลอย

เขาปรุงสมุนไพรมาแต่เยาว์วัย เพียงมองแวบเดียวก็ทราบถึงคุณสมบัติ เม็ดทั้งสามที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ทำให้เขาไม่อาจจินตนาการได้

ยามนี้แสงอ่อนรอบตัวจางหาย กลับมาเป็นประตูเงียบสงัดบานเดิมอีกครั้ง เส้นวงกลมด้านบนก็หยุดหมุนเช่นเดียวกัน

ช่วงที่แสงอ่อนจางหายไป ดวงตาซูหมิงพร่ามัว ทั่วร่างราวกับถูกพลังงานประหลาดเคลื่อนย้าย ตอนที่สายตากลับมาชัดอีกครั้ง พลันเห็นเงาแดงพุ่งเข้ามาพลางโห่ร้องอย่างดีใจ

เงาที่ว่าคือเจ้าลิงน้อย เสี่ยวหงกระโดดไปมาบนตัวซูหมิง ก่อนหน้านี้ที่เขาหายตัวไปทำให้มันหวาดกลัวยิ่ง พอเห็นซูหมิงกลับมา จึงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก

ซูหมิงมองไปรอบๆ ด้วยอาการตกตะลึง ก่อนพบว่าตนกลับมายังแท่นหินบนเขาทมิฬ เขาก้มหน้าลงมองตรงหน้าอก พบว่าเศษหินที่หายไปก่อนหน้านี้ยังอยู่ดี

“ทั้งหมดต้องเกี่ยวกับสิ่งนี้แน่ บางทีตอนข้าทะลวงถึงลำดับหนึ่งขั้นรวมโลหิต อาจไปกระตุ้นเจ้าสิ่งนี้เข้า จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาด…ดูท่าทีเสี่ยวหงแล้วไม่น่าใช่ความฝัน แต่ข้าเข้าไปในโลกแห่งนั้นจริงๆ…สิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่…เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้…” ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด อดนึกถึงความทรงจำที่ปรากฏขึ้นมิได้

“เคล็ดการหลอมสมุนไพร…เม็ดโอสถ….” ซูหมิงพึมพำถึงเคล็ดการหลอมสมุนไพรที่เห็นจากความทรงจำในหัว

“โอสถชำระล้าง…” มันเป็นชื่อโอสถรักษา ยามนี้ปรากฏขึ้นในความทรงจำซูหมิงเช่นเดียวกัน

ซูหมิงกล่าวเสียงเบา นึกถึงลวดลายภาพแกะสลักบนประตู นัยน์ตาเริ่มเป็นประกาย แม้ไม่ทราบว่าที่นั่นคือที่ใด ทว่าการหลอมสมุนไพรทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมาก

ซูหมิงมองว่า ขั้นพลังของนักรบหมานคงหนีไม่พ้นเรื่องของสมุนไพรที่ช่วยเสริมเลือดลม จำต้องกินเยอะถึงยิ่งทำให้ตนแข็งแกร่ง เช่นนั้นการหลอมสมุนไพรจึงน่าจะมีส่วนช่วยเขาอย่างมาก

“ในเผ่าข้าไม่เคยเห็นเม็ดโอสถที่กลมเช่นนี้เลย แม้แต่ท่านปู่ก็ยังไม่มี มิเช่นนั้นข้าคงได้เห็นแล้ว…เพียงแต่เม็ดโอสถนั่นดูท่าไม่เลว ไม่รู้ว่าพอหลอมออกมาแล้วสรรพคุณจะเป็นเช่นไร”

“ต่อไปต้องหาสมุนไพรห้าชนิดนั้น…เสี่ยวหง เจ้ามาดูซิว่าเคยเห็นสมุนไพรสองชนิดนี้หรือไม่” เมื่อวางแผนเรียบร้อย จึงเรียกเสี่ยวหงเข้ามา ซูหมิงใช้ก้อนหินวาดลักษณะสมุนไพรทั้งสองที่เขายังไม่แน่ใจนักลงบนพื้นหน้าเสี่ยวหง และมองมันอย่างมีความหวัง

เสี่ยวหงแยกเขี้ยวมองอยู่นาน ก่อนพยักหน้า

ซูหมิงตกตะลึง เดินวนบนแท่นหินหลายรอบ ขบคิดในหัวอย่างรวดเร็ว

“สมุนไพรหาได้ แต่จะหลอมให้ได้เม็ดอย่างนั้น ขั้นตอนซับซ้อนเกินไป…อีกทั้งเหมือนว่ายังต้องใช้ไฟ…เหมือนกับตอนหุงข้าว…น่าสนใจนัก” เขาขบคิดอย่างถี่ถ้วน ขมวดคิ้วขึ้น

เขาจำได้ว่าหม้อใหญ่ดูแปลกมาก ไม่เหมือนกับหม้อที่ใช้หุงข้าวในเผ่าแม้แต่น้อย เมื่อพยามนึกถึงภาพความทรงจำก็ทราบว่าหม้อหลอมสามขามีชื่อประหลาด เรียกว่าหม้อฮวง (รกร้าง)

“หม้อในเผ่าไม่น่าจะใช้ได้….อีกทั้งยังต้องใช้ไฟ…” ซูหมิงพึมพำพลางแหงนหน้า แววตาสองข้างเป็นประกาย มองหนึ่งในห้ายอดของเขาทมิฬที่ห่างออกไปเล็กน้อย

ยอดเขานั้นเป็นสีน้ำตาลทุกส่วน มีควันหนาลอยออกมาเป็นบางครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!