Skip to content

สู่วิถีอสุรา 70

ตอนที่ 70 แผนการของท่านปู่

ซูหมิงเดินจากไป

ผู้คนบนลานจึงค่อยๆ สลายตัว ทุกคนต่างเร่งรีบกลับไปยังเมืองหินโคลนร่องลมตามผู้นำเผ่าตน

ด่านแรกในงานประลองสิ้นสุดลงตรงนี้ หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืนแล้ว ยามเช้าตรู่วันถัดไปก็จะเป็นงานประลองในด่านที่สอง ในด่านนี้แม้จะไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ ทว่าก็เกี่ยวข้องกับขั้นพลังเป็นหลัก

งานประลองครั้งก่อนก็มีหลายคนที่เข้าร่วมเพียงด่านแรก ทว่าคนแบบนี้ส่วนใหญ่ไม่ติดหนึ่งในห้าสิบ ไม่เคยมีใครติดหนึ่งในสิบของด่านแรกแล้วไม่เข้าร่วมงานประลองอีกสองด่านที่เหลือ

ทว่าการสนทนาของซูหมิงและเยี่ยวั่งก่อนหน้านี้ ได้สร้างคลื่นลูกใหญ่ในใจของพวกเขา เพียงแต่ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ ได้แต่มองซูหมิงเดินจากไปอย่างเงียบๆ

โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมงานประลองตอนเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ พวกเขาต้องรีบทำเวลา ใช้คืนนี้ฝึกฝน เพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาวะสูงสุดต่อไป รวมถึงรักษาบาดแผลจากแรงต้านในด่านแรกด้วย

และยังมีพวกเฉินชง เพราะฝืนเดินในด่านแรกมากจนเกินไป จึงทำให้บาดแผลค่อนข้างสาหัส จำเป็นต้องให้ผู้แข็งแกร่งในชนเผ่าช่วยเหลือ ถึงจะทำให้บาดแผลหายเป็นปกติในวันพรุ่งนี้

ส่วนจิงหนานจ้าวหมานเผ่าร่องลมก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก โลหิตหมานที่เยี่ยวั่งฝืนดูดซับได้สร้างปัญหาไม่น้อย เขาต้องช่วยเยี่ยวั่งจัดระเบียบอย่างเต็มที่

ตอนมาสือไห่เป็นคนพาซูหมิงมา ตอนกลับก็ยังเป็นเช่นนั้น

สือไห่ดูสับสนและลังเลเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดก็เงียบ สะบัดแขนเสื้อ ก่อนพาซูหมิงจากไปทางเมืองหินโคลน

เมื่อผู้คนสลายตัว บนลานดูวังเวงยิ่งขึ้น ท่านปู่โม่ซังยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าเผยรอยยิ้มบาง ราวกับรอจิงหนานข้างกายกล่าวอะไรบ้าง

สีหน้าของจิงหนานไม่เคร่งขรึมอีกต่อไป แต่ขมวดคิ้วขึ้น หลังจากเงียบอยู่นาน จึงมองโม่ซัง

“ข้อเสนอแรกที่เจ้าใช้เคล็ดวิชาหมานบรรพกาลแลกกับข้า คือให้เผ่าเขาทมิฬของเจ้ามาอยู่ในเผ่าร่องลมและได้รับการคุ้มครองเมื่อเจ้าคิดว่าเหมาะสม

เป้าหมายของเจ้า คงประมาณว่าอยากให้โอกาสปี้ถูแห่งเผ่าภูผาดำเห็นว่าผู้แข็งแกร่งในเผ่าเขาทมิฬทั้งสามคนออกมาจากเผ่า เวลานี้เผ่าเขาทมิฬจึงอ่อนกำลังลง…หากปี้ถูมาเผ่าร่องลม เจ้าก็จะใช้โอกาสนี้ตรวจสอบขั้นพลังของเขา หากเขาไม่มา แสดงว่าขั้นพลังของเขายังไม่อาจคาดเดาได้ แผนขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัวของเจ้ามันช่างร้ายกาจยิ่งนัก!” จิงหนานมองโม่ซัง กล่าวขึ้นทีละคำ

“เดิมทีข้าก็ไม่คิดจะปิดบังเจ้าอยู่แล้ว” โม่ซังยิ้มกล่าวเรียบๆ

“หากปี้ถูมา เจ้าอาจจะเปลี่ยนแผน หากเขาไม่มา เจ้าจะทิ้งชนเผ่าให้ว่างเปล่าเอาไว้ เพื่อล่อให้เขาลงมือ…แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องเหลือมือดีเอาไว้ในเผ่าบ้าง หากปี้ถูบุกเผ่าเขาทมิฬจริงๆ ด้วยสัญญาระหว่างข้ากับเจ้า เผ่าเขาทมิฬจะอยู่ในสังกัดของเผ่าร่องลมทันที ทำให้ปี้ถูเกรงกลัว กระทั่งเจ้ารู้จักนิสัยของปี้ถู หากเขาเพิ่งทะลวงขั้นพลัง จะต้องทำตัวเป็นอันธพาลอย่างแน่นอน

….แต่ข้ากลับต้องลงมือ มิเช่นนั้นแล้วในแดนแปดทิศ เผ่าร่องลมยังจะเหลือความน่าเกรงขามอยู่อีกหรือ แม้แต่เผ่าเล็กในสังกัดยังไม่อาจปกป้องได้ ผู้คนก็จะคิดว่าข้ากลัวปี้ถู”

จิงหนานกล่าวขึ้นช้าๆ เรื่องเหล่านี้ ความจริงแล้วเขาคุยกับโม่ซังตอนอยู่ในห้องลับก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขาคาดการณ์เอาไว้บ้าง ทว่ากลับไม่ได้กล่าว เลือกเก็บเอาไว้จนในเวลาต่อมา พอได้ไคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่เขาให้โม่ซังจ่ายเป็นของแลกเปลี่ยนในตอนนั้น ยามนี้…เขาต้องชดใช้คืนแล้ว!

“ไม่ผิด ข้าคิดแบบนั้น แต่น่าเสียดายที่ปี้ถูไม่ได้ลงมือ” โม่ซังขมวดคิ้วเล็กน้อย มองจิงหนาน

แววตาจิงหนานสับสน มองสบตากับโม่ซัง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงถอนหายใจเบาๆ

“หากไม่ใช่เพราะเจ้ากับเด็กนั่นมีหน้าตาแตกต่างกันมาก ข้าคงจะคิดจริงๆ ว่าเขามีสายเลือดเดียวกับเจ้าโม่ซัง” จิงหนานเงยหน้า มองไปทิศทางที่ซูหมิงเลือนหายไปแวบหนึ่ง

“ในใจของข้า เขาเป็นสายเลือดเดียวกับข้า” นัยน์ตาโม่ซังฉายแววคะนึงคิด กล่าวขึ้นเบาๆ

“โม่ซัง ในด้านจิตใจ ข้าจิงหนานไม่อาจสู้เจ้าได้…ตรงจุดนี้ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง เรื่องแบบนี้ข้ารู้ตั้งแต่สมัยยังเป็นหนุ่มแล้ว เจ้าคำนวณเอาไว้แล้วว่าข้าต้องมองออกถึงความหมายแฝงในข้อเสนอของเจ้า และก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าด้วยนิสัยของข้าจะไม่ปฏิเสธทันที แต่จะรอโอกาสจนกว่าจะได้สิ่งที่ดีกว่า…

สิ่งเหล่านี้เจ้าได้คำนวณเอาไว้หมดแล้ว ฉะนั้นเจ้าจึงนำผลประโยชน์นี้มาวางตรงหน้าข้า ทำให้ข้าต้องหวั่นไหว…ทั้งหมดที่เจ้าทำ ไม่เพียงแต่เพื่อชนเผ่า ที่มากกว่าคือเพื่อเด็กคนนั้น…”

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าซูหมิงมีพรสวรรค์!” จิงหนานกล่าวขึ้นเรียบๆ

โม่ซังมองจิงหนาน ยิ้มทว่าไม่กล่าวสิ่งใด

“เจ้าให้เขาปิดบังฐานะ แล้วใช้ร่างแปลงมาปรากฏตัวตรงนี้เพื่อแสดงศักยภาพของเขา ทำให้ข้าต้องสนใจ…ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แม้ว่าเผ่าเขาทมิฬกลายเป็นบริวาร ทว่าก็จะไม่ถ่วงขาเขา เจ้าได้มอบเส้นทางเดินอื่นให้แก่เขา…เส้นทางที่เจ้าไม่ได้เลือกเดินในตอนนั้น…..” จิงหนานมองโม่ซังด้วยสีหน้าซับซ้อน

“เจ้ารู้ว่าเผ่าร่องลมของข้าไม่สนใจโอรสแห่งสวรรค์จากเผ่าใกล้เคียง แต่สนใจเด็กน้อยผู้มีพรสวรรค์จากเผ่าอื่น เมื่อมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น เผ่าร่องลมจะรับเข้ามาเป็นสมาชิกในเผ่าทันที พร้อมทั้งให้ผลประโยชน์มากมายแก่ชนเผ่าเดิมของเขา

เรื่องพวกนี้มีหลายคนมองไม่ออก เพราะในเผ่าร่องลมมีเรื่องริษยาอัจฉริยะ แม้จะอธิบายยังไงก็ไม่มีใครเชื่อ มีเพียงเจ้า…ที่รู้ความจริง! เจ้ารู้ความจริงตรงจุดนี้จึงให้เขาปิดปังหน้าตา นั่นก็เพื่อตัวเขา ถึงอย่างไรผู้มีพรสวรรค์ย่อมเป็นที่อิจฉา ทั้งหมดนี่ก็เพื่อปกป้องเขา ในขณะเดียวกันเจ้าก็ไม่อยากให้เขาแบกรับโชคชะตาของชนเผ่าที่กลายเป็นบริวาร แต่ให้อิสระเขา

รอจนกว่าเขาเติบใหญ่ แม้เผยตัวก็ไม่เป็นอะไร ในตอนนั้นเขาจะมีพลังที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง และยังปกป้องเผ่าเขาทมิฬที่เป็นบริวารใกล้เคียงได้” จิงหนานมองผู้คนบนลานที่เหลือไม่กี่คน กล่าวขึ้นเรียบๆ

“เจ้าทำสำเร็จ เด็กคนนี้ทำให้ข้าเปลี่ยนใจ ให้เขาอยู่ในเผ่าร่องลมเถอะ ข้าจะให้สิทธิพิเศษเหมือนกับเยี่ยวั่ง และอย่างที่ข้าคุยกับเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ เขากับเยี่ยวั่ง ใครบรรลุถึงขั้นชำระล้างก่อน คนนั้นจะได้เป็นบุตรชายหมานแห่งเผ่าร่องลม!

แม้ว่าเขาช้ากว่าเยี่ยวั่ง ทว่าด้วยศักยภาพของเขา ข้าก็จะให้เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์! บุกเบิกร่องลมร่วมกับเยี่ยวั่ง! ส่วนเผ่าเขาทมิฬ…..หลังจากสิ้นสุดงานประลองแล้วก็ย้ายมาที่เผ่าร่องลมเสีย เจ้าปี้ถูไม่กล้ามาขัดขวางแน่นอน หากเขาลงมือ ข้าก็จะให้เขาได้รู้ว่า ขั้นชำระล้างตอนต้นเหมือนกัน ทว่าระดับมันต่างกันแค่ไหน!”

จิงหนานกล่าว ก่อนโบกมือขวา พลันมีขวดเล็กลอยไปทางโม่ซัง

“ในนี้มีโลหิตหมานอยู่สามหยด หนึ่งหยดที่เพิ่มให้ เป็นของขวัญที่ข้าได้พบหน้าซูหมิง!” จิงหนานมองลึกไปในดวงตาของโม่ซังแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวแล้วเดินเหยียบอากาศจากไป ในค่ำคืนนี้เขายังต้องช่วยเยี่ยวั่งจัดระเบียบ

โม่ซังมองจิงหนานจากไป ก่อนมองขวดเล็กที่บรรจุโลหิตหมานสามหยด นัยน์ตาฉายแววขบคิด จิงหนานกล่าวไว้เยอะมาก ทว่ามีจุดหนึ่งที่เขากล่าวผิด นั่นคือโม่ซังไม่คิดเลยว่าซูหมิงจะมาได้ถึงขนาดนี้

แผนการของเขาในตอนแรกคือใช้ความลับเบื้องหลังชีวิตของซูหมิงมาทำให้จิงหนานลังเลใจ จากนั้นตนจะยอมจ่ายผลประโยชน์ครั้งใหญ่ เพื่อให้จิงหนานเห็นด้วย จนคิดให้ซูหมิงอยู่ในเผ่าร่องลมต่อ

ตามความเข้าใจของเขา เผ่าร่องลมปรารถนาที่จะออกไปจากที่นี่ และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่ยอมทิ้งโอกาสใดๆ ต่อให้มันเป็นเพียงแค่การคาดคะเนก็ตาม……

ทว่าโม่ซังกลับไม่คิดเลยว่าซูหมิงจะมาได้ไกลถึงเพียงนี้ ฉะนั้นการสนทนากับจิงหนาน เขาจึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายถูกชักชวนในทันใด

ต่างกันเพียงหนึ่งอักษร ทว่าความหมายห่างไกลกันยิ่งนัก!

“บางทีครั้งนี้….ภัยพิบัติของเผ่าเขาทมิฬของข้าอาจจะหมดสิ้นไปก็เป็นได้…” แววตาโม่ซังเป็นประกาย เดินกลับไปทางกลุ่มเผ่าเขาทมิฬที่กำลังรออยู่ไกลๆ

ณ น่านฟ้านอกเขาร่องลม ยามนี้สือไห่พาซูหมิงมุ่งหน้าไปยังเมืองหินโคลน ขณะอยู่กลางอากาศ ทั้งคู่ต่างไม่มีใครกล่าวสิ่งใด

ซูหมิงเงียบขรึม ในใจสือไห่สับสน มองซูมิงบ่อยครั้ง บุคคลที่ดูธรรมดาคนนี้ เขาเป็นคนพาไปยังลานด้วยตัวเอง เดิมทีเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากได้เห็นเรื่องน่าเหลือเชื่อกับตาแล้ว ความคิดของสือไห่จึงเปลี่ยนไป

‘นี่คือผู้มีพีสวรรค์เทียบเคียงกับเยี่ยวั่ง!’ สือไห่กล่าวขึ้นเงียบๆ ในใจ

ไม่นานก็ปรากฏภาพเผ่าร่องลมรางๆ บนผืนดินกว้างใหญ่ เมืองหินโคลนใหญ่ยักษ์สะท้อนในแววตา ทันใดนั้นซูหมิงพลันกล่าวขึ้น ลมคลั่งที่กระทบใส่หน้าเขาทำให้เสียงเหมือนจะหายไปตามสายลม ทว่ายังคงส่งไปถึงหูของสือไห่อย่างชัดเจน

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์มีสิ่งหนึ่งไม่เข้าใจ ท่านน่าจะยังไม่ถึงขั้นชำระล้าง แล้วเหตุใดถึงเดินอากาศได้?”

หากเป็นก่อนหน้านี้ สือไห่จะต้องไม่สนใจ ทำทีเหมือนไม่ได้ยินอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอธิบายอย่างช้าๆ

“การเดินอากาศของขั้นชำระล้างไม่เหมือนกับข้า ที่ข้าทำได้ก็เพราะมีศาสตราวุธหมานติดตัว นอกจากนี้แล้ว มันยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับลวดลายหมานที่ยังไม่แข็งตัวของข้าอีกด้วย มันคือก้อนเมฆ” ขณะสือไห่กล่าว ตรงกลางระหว่างคิ้วของเขามีภาพก้อนเมฆเลือนรางปรากฏขึ้น

“และที่มั่นใจได้ก็คือ ขั้นชำระล้างจะใช้พลังจากร่างกายในการเดินอากาศ แต่ข้าทำได้เพียงล่องลอย มันดูเหมือนกัน แต่ทว่าเนื้อแท้แล้วกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง”

สือไห่กล่าวขึ้นอย่างละเอียด

แววตาซูหมิงดูขบคิด ทั้งยังถามอีกหลายคำถาม ระหว่างสนทนากัน ทั้งสองก็กลับมาถึงเมืองหินโคลน หลังจากปล่อยซูหมิงลง ใบหน้าสือไห่เผยรอยยิ้มพลางพยักหน้าให้เขา ก่อนหมุนตัวกลายเป็นเมฆขาวลอยจากไป

ณ ใต้เขาร่องลม ยามนี้บนลานกว้างขวางว่างเปล่า มีเพียงคนทั้งแปดนั่งขัดสมาธิอยู่บนรูปปั้นทั้งเก้า พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งจากเผ่าร่องลม ไม่นานสือไห่ก็กลับมา ก่อนนั่งขัดสมาธิบนรูปปั้นองค์ที่เก้า

ทุกครั้งที่มีการเปิดผนึกเขาร่องลม จำเป็นต้องใช้เวลาในการปิดผนึกสักระยะ พวกเขาทั้งเก้าคนเป็นผู้ปกปักแดนแห่งนี้ ต้องปิดผนึกจนสมบูรณ์แล้วเท่านั้นถึงจะจากไปได้

หลายปีก่อนก็เป็นเช่นนี้….

ทว่าในปีนี้กลับผิดแปลกไปเล็กน้อย บนลานกว้างโล่ง ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ปรากฏเงาคนสีดำขึ้น เงาคนดังกล่าวสวมเสื้อคลุมดำปกปิดทั้งตัว เขาคือบุคคลลึกลับที่ปรากฏตัวในเผ่าภูผาดำตอนนั้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!