ตอนที่ 739 ลงมือ
อวี่เซวียนหน้าขาวซีด กัดริมฝีปากล่างด้วยสีหน้าลังเลใจ
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง นัยน์ตาฉายแววยึดมั่นและยืนกราน ในสายตาเขานี่คือการต่อสู้ที่ไม่มีโอกาสชนะเลย ห้าคนนั้นถูกจำกัดพลังในโลกหมานไปมาก ทว่าก็ยังมีพลังอยู่ในระดับเจ้าปกครองโลกของก้าวที่สาม ยากจะเอาชนะได้
ต่อให้มาเพียงคนเดียวก็เข่นฆ่าทุกคนได้ราวกับมดปลวก แม้ซูหมิงไม่เคยสู้กับผู้ฝึกฌานก้าวที่สามจริงๆ มาก่อน ทว่าเขายังจำนุภาพของกระบี่สังหารในตอนนั้นได้ดี นั่นเป็นพลังที่เขาต่อต้านไม่ได้เลย
แต่เขาจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทิ้งยอดเขาลำดับเก้าไม่ได้ ทิ้งศิษย์พี่สามคนและหนีไปคนเดียวไม่ได้ เช่นนั้นตรงหน้าเขาจึงมีอยู่ทางเดียว
หากไม่รอดด้วยกัน ก็ต้องตายพร้อมกัน!
ซูหมิงหันไปมองถ้ำของอาจารย์แวบหนึ่งด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ แต่ที่มากกว่าคือความแน่วแน่
ยามนี้เสียงระเบิดรอบๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อาคมคุ้มกันหลายพันลี้ถอยมาไม่หยุด พริบตาเดียวก็อยู่ในระยะพันลี้ ทาสเต๋าก้าวที่สามสี่คนใช้พลังแก่กล้าทำลายอาคมคุ้มกันเข้ามาอย่างง่ายดาย
ซูหมิงยกมือขวาสะบัดขึ้นฟ้าเงียบๆ หมอกม่วงจำนวนมากพลันวนเวียนรอบตัวเขา หลังจากสร้างเป็นชุดเกราะฝังอสูรแล้วก็ใช้มือขวาคว้าอากาศ หมอกม่วงรวมเข้ามากลายเป็นทวนยาวฝังอสูรทันใด!
เขากำทวนยาวเย็นเยียบเอาไว้แน่น นัยน์ตาฉายแววชั่วร้าย ทั้งตัวเขาดุงดั่งยอดเขาตั้งตระหง่าน หากมีพายุฝนกระหน่ำมาก็ต้องทำลายเขาก่อน มิเช่นนั้นจะเข้ามาไม่ได้
“ยอดเขาลำดับเก้ามอบความสงบสุขให้ข้ามาหลายปี ตอนนั้นท่านยังช่วยชีวิตข้าไว้อีก วันนี้…ข้าจะขอเป็นตายพร้อมกับยอดเขาลำดับเก้า!” ภายในกลุ่มคนหลายร้อยคนโดยรอบ มีชายชราคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ เขามองซูหมิงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดขาด
“ไม่ผิด ยอดเขาลำดับเก้ามอบความสงบสุขให้พวกเรามาหลายปี ตอนนี้มีอันตราย เพียงแค่ความตายแล้วมันอย่างไร!” มีคนค่อยๆ เดินออกมาเยอะขึ้น ดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แม้จะหวาดกลัวขั้นพลังของศัตรู ทว่าบางครั้ง บางเรื่อง ถึงจะหวาดกลัวกว่านี้อีกก็ต้องทำ
“ยอดเขาลำดับเก้าเป็นเหมือนบ้าน สู้รบจนตัวตายเพื่อยอดเขาลำดับเก้า เพื่อที่พักพิงที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์!”
“ขั้นพลังของพวกเราอ่อนแอ แต่ก็มีความเลือดร้อน แม้ต้องตาย….ก็ขอให้โลหิตสาดบนยอดเขาลำดับเก้า แม้ต้องตาย…..ก็ขอให้วิญญาณฝังอยู่ที่นี่!” เสียงที่หนักแน่นและมั่นคงจำนวนมากกว่าเดิมดังสนั่นมาจากในกลุ่มคนหลายร้อยคน ไม่มีใครคิดถอยสักคน หลายร้อยคนที่อาศัยอยู่บนยอดเขาลำดับเก้ามานานปีเหล่านี้ ตอนนี้ภายในสีหน้ายึดมั่นมีความคลุ้มคลั่งอยู่ นั่นคือความไม่กลัวตาย คือความแน่วแน่ที่แม้ต้องตายก็ขอตายบนยอดเขาลำดับเก้า
ไป๋ซู่ไม่กล่าวอะไร แต่สีหน้าและการไม่ก้าวถอยของนางกลับเป็นตัวแทนความในใจทุกอย่างแล้ว นางมองซูหมิง สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน นางรู้สึกว่าแบบนี้ก็ไม่น่าเสียใจเท่าไร หากได้ตายพร้อมกับซูหมิง สำหรับนางแล้วคือจุดสิ้นสุด
เฉียนเฉินตัวสั่น กระเรียนขนร่วงข้างๆ มีสีหน้าขมขื่น มันมีใจคิดหนี ด้วยนิสัยของมันจึงทำเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งมาก ทว่าครั้งนี้….มันกลับก้าวไม่ออก สายตามองเฉียนเฉิน มองซูหมิง มองถ้ำบนยอดเขาลำดับเก้า ก่อนมีสีหน้าคลุ้มคลั่งเป็นครั้งแรก
‘ย่ากระเรียนเจ้าเถอะ ครั้งนี้ท่านกระเรียนผู้นี้จะขอร่วมสู้กับพวกเขาสักครั้ง!’
“นายหญิงน้อย หากไม่ไปตอนนี้ เมื่อห้าคนนั้นปิดล้อมเข้ามา กระทั่งข้าเองยังยากจะปกป้องให้ท่านปลอดภัยได้” สุนัขตัวนั้นกล่าวเสียงหนักแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าก็จะไม่ไปเหมือนกัน!” อวี่เซวียนกัดฟันงาม นางบอกตัวเองในใจว่าซูหมิงเป็นคนที่ตนสนใจ สามารถขายได้ราคาดี หากตนไป หากอีกฝ่ายตายขึ้นมา ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า และจะเป็นการค้าขายที่ขาดทุนที่สุด
การค้าขายแบบนี้ นางย่อมไม่มีทางทำโดยเด็ดขาด
“เสี่ยวหวง ห้าคนนั้นเจ้ารับมือได้กี่คน?” หลังอวี่เซวียนตัดสินใจแล้วก็กล่าวขึ้นทันที
“ข้าไม่มีเสื้อคลุมดาราอย่างพวกเขา พลังจึงถูกเผ่าหมานจำกัดเอาไว้ ถ้าฝืน…ก็ตรึงสามคนได้ครึ่งชั่วยาม” สุนัขเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวเนิบๆ
“ข้าจะใช้วิชาลับ จะ….จะตรึงไว้ได้คนหนึ่ง!” อวี่เซวียนกัดฟันบอกกับซูหมิง ก่อนกล่าวอย่างร้อนรนกับตัวเองในใจว่าเหตุใดตาแก่สองคนนั้นยังไม่มาอีก นี่มันนานมากแล้ว หรือว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทาง
ซูหมิงเงียบงัน ตอนนี้เสียงระเบิดดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อาคมคุ้มกันถูกทำลายจนเหลือเพียงหลายร้อยลี้ ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังสนั่น ยังมีเสียงหัวเราะด้วยความโอหังของเต้าหยวนแว่วมา
“ครึ่งชั่วยาม…” ซูหมิงหลับตา
ทว่าไม่นานก็ลืมตาขึ้น แล้วประสานมือคารวะอวี่เซวียนกับสุนัข
“บุญคุณของพวกเจ้าสองคนในครั้งนี้ แซ่ซู…..จะจารึกเอาไว้ในใจ!”
สุนัขพลันกระโดดลอยขึ้น ร่างเปล่งแสงสว่างสีเหลืองดิน พริบตาเดียวแสงสว่างก็ขยายไปหมื่นจั้ง วินาทีที่เสียงคำรามดังกึกก้อง ร่างของมันเปลี่ยนจากสุนัขกลายเป็นมังกรเหลืองขนาดหลายพันจั้ง
มังกรเหลืองตัวนี้มีใบหน้าเหี้ยมโหด ร้องคำรามพร้อมกับบินตรงไปยังอาคมคุ้มกันที่ถูกบีบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน อวี่เซวียนผู้หน้าซีดขาวก็หยิบเม็ดยาสีแดงฉานมาเม็ดหนึ่งใส่ปากแล้วหมุนตัวตามมังกรเหลืองเข้าไปในอาคมคุ้มกัน มุ่งหน้าไปยังทาสเต๋าสี่คนที่กำลังทำลายอาคมคุ้มกันอยู่
ครั้นเห็นอวี่เซวียนกับมังกรเหลืองบินจากไป ซูหมิงก็มีสีหน้าตั้งมั่นจริงจังเขาขยับวูบไหวตัว กลิ่นอายพลังสร้างชะตาปะทุออกมาวนเวียนรอบกาย มันเป็นสายลมหิมะนับไม่ถ้วนม้วนร่างเขากลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งออกจากยอดเขาลำดับเก้า ตรงเข้าไปใกล้อาคมคุ้มกันรอบนอก
ส่วนหลายร้อยคนที่เหลือก็ต่างมีสีหน้าจริงจัง พวกเขามองการต่อสู้ที่จะเกิดต่อจากนี้ไปบนยอดเขาลำดับเก้า การต่อสู้ครั้งนี้ตัดสินความเป็นตายของที่แห่งนี้
วินาทีที่มังกรเหลืองพุ่งออกไป ร่างหลายพันจั้งของมันบินออกจากอาคมคุ้มกันนั้น ทาสเต๋าสี่คนที่กำลังใช้อภินิหารทำลายอาคมคุ้มกันนัยน์ตาขยับประกายพร้อมกัน
“มังกรยมโลกข้ามโลกา”
“โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก!”
มังกรเหลืองเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ฉับพลันนั้นแสงสีเหลืองรอบตัวมันขยายออกไปปกคลุมสามในสี่คน สามคนนั้นเหมือนร่างกายถูกมังกรเหลืองตรึงเอาไว้ ขณะเดียวกับที่มังกรเหลืองบินขึ้นฟ้า ก็ฉุดดึงร่างสามคนนั้นให้บินตามแสงสีเหลืองนั้นไป
“บัดซบ ที่นี่เป็นแดนชั่วร้ายจริงๆ เป็นแดนตรงข้ามกับสำนักดาราสัจธรรมของข้า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเหตุใดถึงมีมังกรข้ามโลกาจากโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกด้วย!
สังหารมังกรตัวนั้นแล้วถลกหนังมันมา ฆ่ามัน ข้าจะเอาไปแขวนที่ประตูสำนัก!” เต้าหยวนตะโกนเสียงดัง เขาไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่กลับค่อนข้างตื่นเต้น
เมื่อสิ้นเสียง ทาสเต๋าคนที่สี่นอกอาคมคุ้มกันก็นัยน์ตาฉายแววเย็นชา ก่อนบินขึ้นไป ช่วงที่กำลังจะพุ่งขึ้นฟ้าไปสู้กับมังกรเหลืองนั้น ก็มีเสียงด่าทอของสตรีดังแว่วมาจากในอาคมคุ้มกัน จากนั้นก็เห็นอวี่เซวียนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินออกมาจากอาคมคุ้มกันราวกับเซียน
ก่อนหน้านี้ที่นางกินเม็ดยาเข้าไป ไม่รู้ว่ามีผลอะไร ตอนนี้ภายในร่างกายนางแผ่กระจายกลิ่นอายมรณะยมโลกอันเข้มข้น ขณะกลิ่นอายพลังวนเวียนอยู่รอบๆ ใบหน้านางก็ขาวซีดยิ่งกว่าเดิม มองไปแล้วขาวซีดดุจดั่งศพ
พอบินออกมา กลิ่นอายมรณะยมโลกพลันแผ่กระจาย ขวางร่างเงาทาสเต๋าคนที่สี่เอาไว้
แทบทันทีที่นางบินออกมา เต้าหยวนพลันเบิกตากว้าง ตัวสั่นพลางเอ่ยเสียงแหลมเล็กแทบจะแหบแห้ง
“โลกนี้ยังมีหญิงงามถึงเพียงนี้ด้วยรึ ทาสเต๋าห้าสิบเอ็ด ไปจับนางมา! จะต้องจับให้ได้ และอย่าทำร้ายนางเด็ดขาด จับมาให้ข้า แล้วข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นรองผู้บัญชาการ!
ทาสเต๋าสิบเก้า เข้าไปช่วยห้าสิบเอ็ด จะต้องจับแม่นางน้อยคนนี้มาให้ได้!”
เต้าหยวนตื่นเต้นอย่างยิ่ง นัยน์ตาฉายประกายหื่นกระหาย เหมือนอยากจะทะลวงผ่านอาภรณ์ของอวี่เซวียนเข้าไปใจจะขาด เขารู้สึกว่ามาแดนหมานครั้งนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ
ข้างกายเขามีองครักษ์เพียงคนเดียว ยามนี้คนเสื้อคลุมดำใบหน้าไร้อารมณ์เคลื่อนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาว กำลังจะมุ่งหน้าไปหาอวี่เซวียน
ทว่าบินออกมายังไม่ถึงร้อยจั้ง ก็มีพายุหมุนหิมะม้วนออกมาจากอาคมคุ้มกันบิดเบี้ยว ภายในพายุหิมะนั้นคือซูหมิง
ซูหมิงก้าวเดินออกมา พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ เขาไม่ได้พุ่งทะยานไปหาทาสเต๋าสิบเก้า แต่ตรงไปหาเต้าหยวน
ความเร็วของร่างกายก่อให้เกิดเศษเสี้ยวเงา ทวนฝังอสูรอยู่ในมือ พายุหิมะอยู่รอบๆ ทำให้ความเร็วทะยานถึงจุดสูงสุด
ทาสเต๋าสิบเก้านัยน์แวววาว เขาไม่ตรงไปหาอวี่เซวียนอีก แต่หมุนตัวหันมามองซูหมิง พร้อมกันนั้นก็ยกมือขวากดไป
ส่วนเต้าหยวนไม่หลบแม้แต่น้อย เขายิ้มเยาะด้วยสีหน้าโอหังพลางมองซูหมิงตรงเข้ามา เขาเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายยังไม่ถึงตนก็จะถูกทาสเต๋าของตนสังหารก่อนแล้ว
ทว่าวินาทีที่ทาสเต๋าสิบเก้าชี้นิ้วมา ร่างเงาที่กำลังเดินหน้าของซูหมิงก็เอาหลังมือซ้ายชี้ลงดิน เอาฝ่ามือชี้ขึ้นฟ้า ใช้อภินิหารซู่มิ่งโดยฉับพลัน
การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญยิ่ง จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เลย เขาต้องใช้การโจมตี…ที่แกร่งที่สุด!
“ระหว่างอดีตกับอนาคต คือซู่มิ่ง!” ซูหมิงสะบัดมือซ้ายไปทางทาสเต๋าสิบเก้าซึ่งกำลังชี้นิ้วมา ทันทีที่สะบัดมือไป กาลเวลาทั้งโลกเหมือนถูกเปลี่ยน ทาสเต๋าสิบเก้าหยุดชะงักนิ้วเอาไว้กลางอากาศครู่หนึ่ง
คนเสื้อคลุมดำทาสเต๋าหมายเลขสิบเก้าหน้าเปลี่ยนสี ก่อนแผ่กระจายกลิ่นอายพลังของเจ้าปกครองโลกออกมาทั่วร่าง หนำซ้ำยังมีพลังทำลายล้างระเบิด พุ่งโจมตีใส่การย้อนเวลาซู่มิ่ง หากแต่…นิ้วของเขายังหยุดชะงักอยู่กลางอากาศชั่วครู่หนึ่งเช่นเดิม
การย้อนเวลาชั่วพริบตาเดียวนี้คือโอกาสสำหรับซูหมิง
ชั่วขณะที่ซูหมิงใช้อภินิหารซู่มิ่งและทาสเต๋าหมายเลขสิบเก้าชะงักไป ร่างกายเขาเร็วเหนือกว่าสายฟ้า พลันมาโผล่อยู่ตรงหน้าเต้าหยวน
จังหวะที่เต้าหยวนอึ้งงันและยังไม่ทันตั้งตัว ทวนฝังอสูรในมือซูหมิงม้วนสายลมหิมะเข้ามา ภายในแฝงไว้ด้วยพลังขั้นรูปแบบชะตา กระทั่งหิมะยังกลายเป็นสีแดงคล้ายกับแสงสว่างในฤดูใบไม้ร่วง หลังจากนั้น……ก็แทงทวนยาวไปยังศีรษะของเต้าหยวน