Skip to content

สู่วิถีอสุรา 756

ตอนที่ 756 มารุกราน

ซูหมิงยืนอยู่บนหินหนืดในปากภูเขาไฟ แรงกดดันและจิตสัมผัสจากบนฟ้าเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกเหมือนปรากฏกายอยู่ในจิตสัมผัสนั้นทั้งหมดโดยไม่มีความลับใดๆ คล้ายร่างโปร่งใสก็ไม่ปาน

ความรู้สึกนี้ทำให้ซูหมิงมีสีหน้าทะมึน ทั้งยังเข้าใจสิ่งที่เสียงแก่ชราจากน้ำวนมรณะหยินบอกว่าแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตคือนรกอันกว้างใหญ่

‘ผู้รักษาการณ์พวกนี้คือผู้ที่เฝ้าดูแลอยู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิต’ ขณะซูหมิงเงียบงัน หงส์งูเพลิงตัวใหญ่ที่บินมาอยู่ข้างเขาก่อนหน้านี้ไม่คำรามอีก แต่ร่างกายพลันห่อเหี่ยว เหมือนกับว่าใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับเสียงคำรามเมื่อครู่

ยามนี้มันเข้าไปในหินหนืดอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าอิดโรย และหลับใหลอีกครั้ง

ตอนนี้เอง กระเรียนขนร่วงโผล่หัวมาจากหินหนืด นัยน์ตาฉายแววตื่นกลัวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มันกระพือปีกบินขึ้นจากหินหนืดแล้วมานอนหมอบอยู่บนหินก้อนเดิม

“ทำเอาข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว บัดซบ ที่นี่ร้อนจริงๆ ทว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเคยมีบางแห่งร้อนกว่าที่นี่?” กระเรียนขนร่วงเกาศีรษะพลางพึมพำเบาๆ

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงค่อยๆ หลับตาลง ไม่ตรึกตรองถึงเรื่องผู้รักษาการณ์อีก ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็รับมือกับความแกร่งของผู้รักษาการณ์ไม่ไหว สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือฝึกฝนไปเรื่อยๆ ให้ขั้นพลังสูงขึ้น จนถึงระดับมั่นคงแล้ว ค่อยออกจากที่นี่ไปตามหาราชาแห่งเสี้ยวโลกมรณะหยิน ตามหาทางเข้าสู่โลกแท้จริงลำดับที่ห้า และ….ออกไปจากที่นี่!

ซูหมิงหลับตาปกปิดนัยน์ตาแวววาวเอาไว้ แม้จะถูกตัดความรู้สึก สูญเสียความเจ็บปวด ทว่าความงดงามในความทรงจำยังคงอยู่ เพียงแต่ตอนที่นึกถึงมันเขาจะรู้สึกเฉยชา ความเฉยชานี้ทำให้ส่วนลึกในใจเกิดความขมขื่นขึ้น

ซูหมิงเงียบพลางโคจรพลังในร่างกาย และเริ่มสูบรับกลิ่นอายร้อนระอุของที่นี่อย่างที่ทำมาตลอดหนึ่งปีอีกครั้ง นอกจากนี้เขายังกินพลังแห่งเลือดเนื้อภายในหินสีครามด้วย ส่งผลให้ร่างกายแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปเช่นนี้ หนึ่งเดือน สองเดือน…พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี

หนึ่งปีบนดาวแดงเพลิงไม่มีสี่ฤดู ราวกับไม่ว่าเมื่อไรก็เต็มไปด้วยความร้อน ความร้อนนี้สามารถอบผิวหนังคน ระเหยโลหิตกับเหงื่อ ทั้งยังค่อยๆ แผดเผาจิตใจแน่วแน่ของผู้คนจนเกลี้ยง

ในหนึ่งปีมานี้ซูหมิงออกไปข้างนอกหนึ่งครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ไปไกลนัก แต่อยู่ในระยะพันจั้งรอบปากภูเขาไฟ เขาออกไปนอกพันจั้งไม่ได้ เพราะหากเข้าใกล้ระยะพันจั้งจะปรากฏม่านแสงสีครามขึ้นปกคลุมรอบๆ ปากภูเขาไฟและขวางเขาเอาไว้

นอกจากนี้แล้ว ตอนที่ออกจากภูเขาไฟ เขายังรู้สึกชัดเจนว่าพลังวิญญาณในฟ้าดินน้อยยิ่งนัก การโคจรพลังในร่างกายก็มีแต่ปล่อยออกไปไม่มีสูบเข้า ฉะนั้นจึงยากจะเพิ่มเติม แม้ว่าในถุงเก็บวัตถุจะยังมีหินผลึกอีกไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็มีวันใช้หมด ดังนั้นซูหมิงเลยใช้น้อยมาก เขาไม่รู้ว่าต้องอยู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตอีกนานเท่าไร บางที…..อาจจะชั่วชีวิต

ตอนที่หินผลึกเหล่านี้หมดลงแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าตนจะเหมือนกับคนอื่นๆ หรือไม่ ต้องเข่นฆ่าและแบกศพมาหาเทพที่พวกนักโทษเอ่ยถึงอย่างเช่นหงส์งูเพลิงเพื่อขอแลกกับหินผลึกชำรุดก้อนหนึ่ง

ดีที่ร่างกายเขาตอนนี้ต่างจากคนอื่นมาก เขาสูบพลังแห่งเปลวเพลิงอันร้อนระอุจากในหินหนืดได้ แม้พลังแห่งเปลวเพลิงจะมีลักษณะพิเศษเพียงอย่างเดียว ทว่าบนดาวแดงเพลิงยากแค้นนี้ ผู้ที่สูบพลังเปลวเพลิงปะทุได้ถือว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่นแล้ว

หลังจากผ่านไปสองปี ขั้นพลังซูหมิงยังอยู่ที่ขาดชะตาตอนต้น หรือก็คือธรณีประตูของระดับดิน ถึงจะไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย กลิ่นอายมรณะหยินในร่างกายก็หายไปแปดถึงเก้าส่วน ส่วนอภินิหารก็มีพลานุภาพของเปลวเพลิงครองพื้นที่อยู่มากกว่าครึ่ง

มันกลายเป็นพลังที่รุนแรงที่สุดของเขาแล้ว

ส่วนกายเนื้อ จากการฝึกฝนและกลืนกินมาตลอดสองปี บวกกับของอีกไม่น้อยที่ได้จากคนเหล่านั้นซึ่งมาพึ่งพิงหงส์งูเพลิงในทุกๆ สามเดือน ทำให้การฝึกฝนร่างกายดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด ทว่า…พอเวลาผ่านไป ด้วยความที่คนเหล่านั้นซึ่งมาพึ่งพิงหงส์งูเพลิงตายจากไปเรื่อยๆ ความเร็วในการฝึกฝนร่างกายจึงช้าลงด้วย

ก่อนหน้านี้ที่ออกไปข้างนอกก็เพราะเรื่องนี้ เขาอยากไปหาหินผลึกสีครามเอง

ในวันนี้ อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวันที่คนมาเซ่นไหว้ในทุกๆ สามเดือนแล้ว ซูหมิงกำลังกำหนดลมหายใจอยู่ในหินหนืด ดวงวิญญาณแผ่กระจายออกไปรอบๆ เขาทำสิ่งนี้จนติดเป็นความเคยชินแล้ว

ทว่าครั้งนี้ดวงวิญญาณแผ่กระจายออกไปไม่นาน เขาก็พลันลืมตาขึ้น

ใต้เทือกเขานอกปากภูเขาไฟ ยามนี้เยวี่ยหงปังมีสีหน้าเศร้าหมอง โลหิตอาบทั่วร่าง กำลังมุ่งหน้ามาอย่างเร็วรี่ หลายคนข้างกายเขาตอนนี้เหลือเพียงชายชราร่างซูบผอมคนเดียว ตรงหน้าอกชายชรามีบาดแผลเกือบทะลุ โลหิตหลั่งไหล ใบหน้าซีดขาวแล้ว หากไม่ใช่เพราะยังมีปราณแท้ประจำตัวอยู่ เขาคงสิ้นใจไปนานแล้ว

ด้านหลังสองคนนั้นมีร่างคนสามคนกำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว สามคนนั้นเป็นบุรุษสองสตรีหนึ่ง แต่ละคนร่างกายซูบผอม แต่นัยน์ตากลับเปล่งประกายสว่างไสวและกระหายเลือด กำลังไล่ตามมาติดๆ

ในสามคนนี้ นอกจากชายชราที่มีขั้นพลังบรรลุถึงระดับฟ้าแล้ว บุรุษหนึ่งสตรีหนึ่งที่มีอายุใกล้เคียงกันล้วนอยู่ระดับดิน สามคนนี้ไล่ตามกันมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งชายชรายังหัวเราะเยาะหยัน

“เยวี่ยหงปัง ข้ารอฆ่าเจ้ามานานมากแล้ว แต่เจ้าก็สมกับเป็นทายาทรุ่นสามของพวกนักโทษจริงๆ ข้าวางกับดักเอาไว้ พวกเจ้าสองคนกลับเพียงบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น

ครั้งนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ กล้ามาบุกถิ่นอาศัยของข้า เจ้าต้องตาย!” นัยน์ตาชายชรามีจิตสังหารและความโลภวูบผ่าน เขายกมือขวาขึ้นพลางบริกรรมคาถาเสียงก้อง จากนั้นก็ทำสัญลักษณ์มือซ้ายแล้วตบลงข้างล่าง พลันมีสายลมดำลอยอยู่ตรงหน้า ก่อนจะกลายเป็นกระบองเขี้ยวสีดำยักษ์ตรงไปหาเยวี่ยหงปังพร้อมกับเสียงอื้ออึง

“ฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะใช้ศพทายาทรุ่นสามของนักโทษแลกหินผลึกจากเทพมาได้สิบก้อน เพียงพอจะชดเชยพลังที่ข้าต้องเสียไปกับการฆ่าเจ้าแล้ว!”

สายลมดำม้วนกระบองเขี้ยวพาเข้ามาใกล้ในพริบตา เยวี่ยหงปังมีสีหน้าสิ้นหวัง เขาพลันหันหน้าไปพ่นโลหิต สองมือประสานสัญลักษณ์ โลหิตกลุ่มนั้นพลันรวมกันอยู่ตรงหน้าแล้วกลายเป็นค้อนสีแดงทุบเข้าใส่กระบองเขี้ยวอย่างแรง

เสียงโครมดังกึกก้อง เยวี่ยหงปังตัวสั่นสะท้าน ร่างกระเด็นถอยไปพร้อมกับกระอักโลหิตคำใหญ่ บาดแผลหลายจุดบนตัวปริแยกทั้งหมด

ค้อนสีแดงนั้นยังสลายเป็นผุยผง

แต่กระบองเขี้ยวที่มาพร้อมกับสายลมสีดำกลับหยุดชะงักเพียงครู่เดียวเท่านั้น แม้จะมีแตกหักเช่นกัน ทว่าก็ยังคงตรงไปหาเยวี่ยหงปัง

เห็นมันใกล้เข้ามา ชายชราร่างซูบผอมข้างเยวี่ยหงปังก็ตะโกนเสียงดัง ก่อนกระโดดขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเยวี่ยหงปัง ใช้ร่างกายตนขวางกระบองเขี้ยวเอาไว้ หลังจากปะทะกันในพริบตา เยวี่ยหงปังตาแดงก่ำ มีน้ำตารินไหล

ทว่าเขากลับไม่หยุดแม้แต่น้อย แต่อาศัยจังหวะที่ชายชราซูบผอมเข้ามาขวาง ห้อเหยียดไปยังปากภูเขาไฟด้วยความเร็วทั้งหมด

“หึ!” ชายชราระดับฟ้าในบรรดาสามคนที่ล่าสังหารเยวี่ยหงปังยิ้มเยาะ ท่ามกลางเสียงระเบิด เขาไม่มองคนที่ถูกกระบองเขี้ยวโจมตีแม้แต่หางตา นัยน์ตาฉายประกายเย็นเยียบ มองปากภูเขาไฟที่เยวี่ยหงปังห้อวิ่งไปแวบหนึ่ง

“ถ้ำภูเขาไฟของเทพหงส์งูเพลิง…เยวี่ยหงปังเจ้าโง่รึอย่างไร ไม่อยากเชื่อว่าจะไปขอให้เทพช่วย เทพบนดาวแดงเพลิงพวกนี้ล้วนสูญเสียสติปัญญาไปแล้ว ขอเพียงไม่ล่วงเกินพวกมัน พวกมันก็จะไม่ลงมือโดยเด็ดขาด ดี ข้าจะเอาศพเจ้าเซ่นไหว้ให้เทพที่นี่เสียเลย จะได้ไม่ต้องแบกกลับไป” ชายชราเอ่ยพลางหัวเราะเสียงน่าสะพรึงกลัว แล้วพาบุรุษหนึ่งสตรีหนึ่งข้างหลังตามเยวี่ยหงปังไป ตรงหน้าเป็นกระบองเขี้ยวพร้อมสายลมดำที่รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้ห่างจากเยวี่ยหงปังไม่ถึงสิบจั้งแล้ว

ช่วงที่ภยันตรายมาถึง เยวี่ยหงปังก็ร้องตะโกนเสียงดัง

“ท่านเทพช่วยข้าด้วย!”

เพิ่งตะโกนออกไป กระบองเขี้ยวก็เข้ามาใกล้แล้ว วินาทีที่ปะทะกับเยวี่ยหงปัง เขาใช้สองมือประสานสัญลักษณ์ ทั่วร่างขยับแสงสีแดงวูบวาบ พอต้านเอาไว้ครู่หนึ่งแล้วก็กระอักโลหิตส่วนสำคัญออกมา การโจมตีครั้งนี้ยังทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว อาการบาดเจ็บสาหัสใกล้จะสิ้นใจ จากนั้นร่างก็กระเด็นถอยไปตกอยู่ตรงขอบปากภูเขาไฟดังโครม แม้กระบองเขี้ยวจะหายตามไปด้วย พวกชายชราสามคนก็อยู่ห่างไปไม่ถึงสามสิบจั้งแล้ว เยวี่ยหงปังจึงมีสีหน้าสิ้นหวัง

“ท่านเทพช่วยข้าด้วย ถ้ำของบุคคลผู้นี้สร้างขึ้นจากหินสีครามทั้งหมด ท่านเทพช่วยข้าด้วย!”

“ทั้งโง่ทั้งบ้าจริงๆ วันนี้ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!” ชายชราหัวเราะเสียงดัง ถึงแม้ภายนอกจะยังหัวเราะอยู่ แต่ในใจกลับเต้นรัว เขารู้ว่าเยวี่ยหงปังไม่ใช่คนเขลา อีกฝ่ายเอ่ยขอให้เทพช่วยถึงสองครั้ง หรือว่าที่นี่จะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง

ชายชรานึกสงสัยในใจ แต่ก็ยังไม่เผยทางสีหน้า เพียงลดความเร็วลงแล้วคว้าบุรุษที่ตามอยู่ด้านหลังเหวี่ยงไปทางเยวี่ยหงปัง

“ฆ่ามัน ข้าจะให้หินผลึกหนึ่งก้อนเป็นรางวัล!”

ชั่วขณะที่บุรุษถูกชายชราเหวี่ยงไปจนอยู่ห่างจากเยวี่ยหงปังไม่ถึงสิบจั้ง

และเยวี่ยหงปังมีสีหน้าสิ้นหวัง พลันมีเสียงหึเย็นชาแว่วมาจากปากภูเขาไฟ ขณะเดียวกันก็มีร่างเงาสีแดงบินมาจากในภูเขาไฟ ด้วยความเร็วของร่างเงานี้ เสี้ยววินาทีเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าเยวี่ยหงปัง วินาทีที่เยวี่ยหงปังมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจภายในความสิ้นหวัง ซูหมิงยกมือขวาชกใส่บุรุษระดับดินที่กำลังตรงเข้ามา

หมัดยังไม่ทันถึงตัวก็เกิดเสียงครึกโครมสะเทือนนภา แม้แต่อากาศยังพังพินาศลง มิหนำซ้ำยีงมีความร้อนระอุแผ่กระจายมาจากซูหมิงอย่างรุนแรง กระทั่งในหมัดยังแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นบิดเบี้ยวแห่งกฎด้วย

บุรุษที่ถูกโยนมาหน้าเปลี่ยนสี ระหว่างที่กำลังจะถอย การโคจรฟ้าดินรอบๆ ตัวคล้ายหมุนย้อนกลับ ตัวเขาจึงหยุดชะงักครู่หนึ่งกลางอากาศอย่างไม่อาจควบคุม

ราคาของครู่หนึ่งนี้ก็คือหมัดของซูหมิงที่ตรงเข้าใส่หน้าอกบุรุษผู้นี้

หนึ่งหมัดชกไปไม่มีเสียงระเบิด แต่เป็นเสียงดังคล้ายชกใส่ถุงว่างเปล่า บุรุษผู้นี้ตัวสั่นทั้งตัว ร่างค่อยๆ สลายไปโดยมีจุดที่ซูหมิงชกใส่เป็นใจกลาง แวบเดียวร่างครึ่งหนึ่งก็สลายเป็นเถ้าธุลีหายไป

ซูหมิงชักมือขวากลับ ยืนอยู่ตรงหน้าเยวี่ยหงปังด้วยแววตาไร้อารมณ์ มองชายชราที่ห่างไปยี่สิบจั้งกว่าด้วยความเย็นชา ความเย็นเยียบนี้แผ่กระจายมาจากตัวเขาโดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย

ชายชราคนนั้นหรี่ม่านตาลง หยุดชะงักโดยทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!